๏ ๏ ยังจำได้ไหม- บทอาขยาน สมัยเราเด็กๆ ๏ ๏ by บ้านกลอนไทย klonthaiclub.com
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
30 ตุลาคม 2024, 10:44:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
 
  หน้าแรก ภาพตกแต่งเว็บ ค้นหา ติดต่อเรา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๏ ๏ ยังจำได้ไหม- บทอาขยาน สมัยเราเด็กๆ ๏ ๏  (อ่าน 5622 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
26 มิถุนายน 2014, 03:04:PM
อ่านกลอน
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 50
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 61



« เมื่อ: 26 มิถุนายน 2014, 03:04:PM »

                                              


 


ชั้น ประถมปีที่ ๑

๏ ๏ แมวเหมียว แยกเขี้ยวยิงฟัน ๏ ๏
(ร้องลำแขกบรเทศ)
-นายทัด เปรียญ - แต่ง

แมวเอ๋ย แมวเหมียว
รูปร่าง ประเปรียว เป็นหนักหนา
ร้องเรียก เหมียวเหมียว ประเดี๋ยวก็มา
เคล้าแข้ง เคล้าขา น่าเอ็นดู
รู้จัก เอารัก เข้าต่อตั้ง
ค่ำค่ำ ซ้ำนั่ง ระวังหนู
ควรนับว่ามัน กตัญญู
พอดู อย่างไว้ ใส่ใจเอย......



๏ ๏ ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน ๏ ๏
(ร้องลำลมพัดชายเขา)
-สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ- ทรงนิพนธ์

ตั้งเอ๋ยตั้งไข่
จะตั้งใย ไข่กลม ก็ล้มสิ้น
ถึงว่า ไข่ล้ม จะต้มกิน
ถ้าตกดิน เสียก็อด หมดฝีมือ
ตั้งใจ เรานี้ จะดีกว่า
อุตส่าห์ อ่านเขียน เรียนหนังสือ
ทั้งวิชา สารพัด เพียรหัดปรือ
อย่าดึงดื้อ ตั้งไข่ ร่ำไรเอย.......






๏ ๏ จิงโจ้โล้สำเภา ๏ ๏
(ร้องลำมอญรำดาบ)
-หลวงวิจิตรวาทการ- แต่ง

จิงเอ๋ยจิงโจ้
เล่นโล้ ในลำ สำเภาใหญ่
เพื่อออกแรง ออกกำลัง โดยตั้งใจ
ที่จะให้ เข้มแข็ง และอดทน
เรานักเรียน ต้องไม่คร้าน การกีฬา
เรื่อง พลศึกษา ต้องฝึกฝน
ให้แข็งแรง ถ้วนทั่ว ทุกตัวคน
เพื่อเป็นคุณ แก่ตน และชาติเอย.......

 
ชั้น ประถมปีที่ ๒


๏ ๏ ชักซ้าวมะนาวโตงเตง ๏ ๏
(ร้องลำสารถีชักรถ)

ซักเอ๋ย ซักซ้าว
ผลมะนาว ทิ้งทาน ในงานศพ
เข้าแย่งชิง เหมือนสิ่ง ไม่เคยพบ
ไม่น่าคบ เลยหนอ พวกขอทาน
ดูประหนึ่ง ขัดสน จนปัญญา
มีทางหา กินได้ หลายสถาน
ประหลาดใจ เหตุไฉน ไม่ทำงาน
ประกอบการ อาชีพ ที่ดีเอย....


๏ ๏ นกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่า ๏ ๏
(ร้องลำแขกไซ)
หลวงวิจิตรวาทการ - แต่ง

นกเอ๋ย นกเอี้ยง
คนเข้าใจ ว่าเจ้าเลี้ยง ซึ่งควายเฒ่า
แต่นกเอี้ยง นั้นเลี่ยง ทำงานเบา
แม้อาหาร ก็ไปเอา บนหลังควาย
เปรียบเหมือนคน ทำตน เป็นกาฝาก
รู้มาก เอาเปรียบ คนทั้งหลาย
หนีงานหนัก คอยสมัคร งานสบาย
จึงน่าอาย เพราะเอาเยี่ยง นกเอี้ยงเอย........




ชั้น ประถมปีที่ ๓

๏ ๏ สัตว์สวยป่างาม ๏ ๏
จาก - มูลบทบรรพกิจ -
ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย)

เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน.......เหมือนอย่างนางเชิญ
พระแสงสำอางข้างเคียง
เขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง...........เริงร้องซ้องเสียง
สำเนียงน่าฟังวังเวง
กลางไพรไก่ขันบรรเลง............ฟังเสียงเพียงเพลง
ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง
ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง.......เพียงฆ้องกลองระฆัง
แตรสังข์กังสดารขานเสียง
กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง........พญาลอคลอเคียง
แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง...........เพลินฟังวังเวง
อีเก้งเริงร้องลองเชิง
ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง..........ค่างแข็งแรงเริง
ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง
ป่าสูงยูงยางช้างโขลง...........อึงคะนึงผึงโผง
โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป


๏ ๏ นิติสารสาธก ๏ ๏
ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย)

อย่าเกียจคร้านการเรียนเร่งอุตส่าห์
มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน
จะตกถิ่งฐานใดคงไม่แคลน
ถึงคับแค้นก็พอยังประทังตน
อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว
แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
อาจจะชักเชิดชูฟูสกนธ์
ถึงคนจนพงศ์ไพร่คงได้ดี
เกิดเป็นชายชาวสยามตามวิสัย
หนังสือก็ไม่รู้ดูบัดสี
ต้องอับอายขายหน้าทั้งตาปี
ถึงผู้ดีก็คงด้อยถอยตระกูล
จะต่ำเตี้ยเสียชื่อว่าโฉดช้า
จะชักพายศลาภให้สาบสูญ
ทั้งขายหน้าญาติวงศ์พงศ์ประยูร
จะเพิ่มพูนติฉินคำนินทา
หนึ่งหนังสือหรือตำรับฉบับบท
เป็นของล้วนควรจดจำศึกษา
บิดาปู่สู้เสาะสะสมมา
หวังให้บุตรนัดดาได้ร่ำเรียน
จะได้ทราบบาปบุญทั้งคุณโทษ
ปะบุตรโฉดต่ำช้าก็พาเหียร
ไม่สมหวังดังบิดาปู่ตาเพียร
เป็นจำเนียรแพลงพลัดกระจัดกระจาย

ชั้น ประถมปีที่ ๔


๏ ๏ โมกขศักดิ์ ๏ ๏
จากเรื่อง รามเกียรติ์
พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑

บัดนั้น............................................พระยาพิเภกยักษี
เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี................อสุรีกราบลงกับบาทา
ทูลว่าพระลักษณ์สุริยวงศ์.................ยังไม่ปลงชีวังสังขาร์
อันโมกขศักดิ์อสุรา..........................พรหมาประสิทธิ์ประสาทไว้
ทรงอานุภาพฤทธิรุทร.....................ต้องใครจะฉุดนั้นไม่ไหว
แต่มียาคู่หอกชัย..............................ให้ไว้สำหรับแก้กัน
แม้นละไว้จนรุ่งราตรี.......................ต้องแสงพระระวีจะอาสัญ
ขอให้ลูกพระพายเทวัญ....................ไปห้ามพระสุริยันในชั้นฟ้า
อย่าเพ่อรีบรถบทจร..........................ข้ามยุคนธรภูผา
แล้วให้ไปเก็บตรีชวา........................ทั้งยาชื่อสังขรณี
ยังเขาสรรพยาบรรพต.....................ปรากฏอยู่ยอดคีรีศรี
กับปัญจมหานที...............................สรรพยาทั้งนี้มาให้ทัน
แม้นว่าได้บดชโลมลง......................องค์พระอนุชาไม่อาสัญ
จะดำรงคงชีพชีวัน..........................หอกนั้นก็จะหลุดขึ้นมา


 ชั้น ประถมปีที่ ๕

สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน
ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพยอม
อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม
ไม่ดูดดื่มบรเพ็ดต้องเข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์
ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย...........



ชั้น ประถมปีที่ ๖


๏ ๏ บทไหว้ครู ปฐม ก กา ๏ ๏

• นะโมข้าจะไหว้        วระไตรระตะนา
   ใส่ไว้ในเกษา        วระบาทะมุนี
• คุณะวระไตร         ข้าใส่ไว้ในเกษี
   เดชะพระมุนี        ขออย่ามีที่โทษา
• ข้าขอยอชุลี        ใส่เกษีไหว้บาทา
   พระเจ้าผู้กรุณา        อยู่เกษาอย่ามีไภย
• ข้าไหว้พระสะธรรม        ที่ลึกล้ำคำภีร์ใน
   ได้ดูรู้เข้าใจ        ขออย่าได้มีโรคา
• ข้าไหว้พระภิกษุ        ที่ได้ลุแก่โสดา
   ไหว้พระสกิทาคา        อะระหาธิบดี
• ข้าไหว้พระบิดา        ไหว้บาทาพระชะนะนี
   ไหว้พระอาจารีย์        ใส่เกษีไหว้บาทา
• ข้าไหว้พระครูเจ้า        ครูผู้เฒ่าใส่เกษา
   ให้รู้ที่วิชา        ไหว้บาทาที่พระครู
• จะใคร่รู้ที่วิชา        ขอเทวามาค้ำชู
   ที่ใดข้าไม่รู้        เล่าว่าดูรู้แลนา
• ไชยโยขอเดชะ        ชัยชะนะแก่มารา
   ระบือให้ลือชา        เดชะสามาไชยโย
• ไชยโยขอเดชะ        ชัยชนะแก่โลโภ
   • กุมาระกุมารี        ตะรุณีย์ที่เยาว์ไว
   จะฬ่อพอเข้าใจ        ให้รู้จำคำวาที
• ว่าไว้ใน ก กา        ก ข ขา อา อิ อี
   ว่าไว้ในเท่านี้        ที่พอได้ใน ก กา
• แต่พอให้รู้เล่า        ที่ผู้เขลาเยาวะพา
   ได้ดูรู้แลนา        กุมาราตะรุณี
• จะใคร่ได้รู้ธำม์        ที่ลึกล้ำจำไว้ดี
   ได้แน่แต่เท่านี้        ดีจำเอาเบาใจครู
• จะว่าแต่ฬ่อๆ        ว่าแต่พอฬ่อใจดู
   ว่าไว้ได้พอรู้        ดูว่าเล่าเอาใจใส่

จากหนังสือปถม ก กา หัดอ่าน
หนังสือเรียนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น



๏ ๏ พระอภัยมณี ๏ ๏
- สุนทรภู่ -

พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม
จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป
ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช
จตุบาทกลางป่าพนาสิน
แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน
ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ
อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญา
จะนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟังแล้ว

หยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้
เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง
พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง
สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจ
ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย
ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย
จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
พระจันทรจรสว่างกลางโพยม
ไม่เทียบโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย
ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง
สำเนียงเพียงการเวกกังวาลหวาน
หวาดประหวัดสตรีฤดีดาล
ให้ซาบซ่านเสียวสะดับจนหลับไป
ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่
ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล
พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ
เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทรายฯ







                                                        

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 
ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:   Policy
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!