O หอมกลิ่นร่ำ .. O by บ้านกลอนไทย klonthaiclub.com
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
30 ตุลาคม 2024, 10:44:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
 
  หน้าแรก ภาพตกแต่งเว็บ ค้นหา ติดต่อเรา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O หอมกลิ่นร่ำ .. O  (อ่าน 22101 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
09 มีนาคม 2014, 07:57:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« เมื่อ: 09 มีนาคม 2014, 07:57:PM »

ที่มา .. http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2012&date=16&group=24&gblog=22

.. ปฐมบท ..
O พอสายตาคล้อยหัน .. ก็บรรจบ-
งาม-กว่างามชาติภพ .. เคยพบเห็น
แววในตาเหงาเงียบดูเยียบเย็น-
เหมือนแฝงเร้นเรื่องครั้งแต่ปางบรรพ์

O ในภาพเก่าคร่ำคร่า .. แววตาโศก-
เหมือนเฝ้ามองดูโลก .. ปวงโศกศัลย์
ที่ที่ความโอดอื้นทั้งคืนวัน-
เกินตัดบั่นลับลา .. จากอารมณ์

O ริ้วแพรเนื้อบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่
ช่อดอกมาลย์เสียบไว้ที่ปลายผม
สังวาลย์เพชรล้ำค่า, แววตาคม-
ค่อย-ล้อมห่มดวงจิต .. จนติดตรึง

O แววตาซ่อนเร้นความ .. เงียบ .. งาม .. นิ่ง
สบแล้วยิ่ง .. เกินหวังจักหยั่งถึง
ชั่วสบด้วยวูบเดียว .. ก็เหนี่ยวดึง-
ห้วงคำนึงย้อนกลับ .. ลำดับนั้น !

O ตายังจับจ้องรูป .. จิตวูบผ่าน-
แววอ่อนหวานในรูปที่วูบ .. สั่น
เมื่อเรียวรูปปากอิ่ม .. เหมือนยิ้ม, พลัน-
ภาพกาลบรรพ์ก็พรั่งพร้อม .. ขึ้นล้อมรอ !


.. พศ.๒๔๒๗ ..
O บริบทงดงาม .. แห่งยามเช้า-
ค่อยทอดเงาเคียงหมู่ท่านผู้ขอ
ศรัทธาชนในธรรม ราวร่ำรอ-
การเติมต่อ .. แต่งหวังอยู่ทั้งเป็น

O ฝ่าแสงยามตรู่สาง .. ท่านย่างเหยียบ-
ยอธรรมเทียบทุกข์สรรพ .. ช่วยดับเข็ญ
เพื่อหัวใจปรุงปองได้ผ่องเพ็ญ
ข่มสร้อยโศกหลีกเว้น .. บีบเค้นใจ

O ผ่านแสงตรู่ยามเช้า .. กลิ่นข้าวหอม
ย่อมอบอวลอยู่พร้อม .. การน้อมไหว้
ฝ่าแสงเงาตรู่สาง .. เหยียบย่างไป
ล่มโศกไข้ทุกข์เขลา .. ให้เบาบาง

O บริบทยามเช้า ตรู่เช้านั่น
ก่อน-ค่อยผันผ่านเลย .. ก็เผยร่าง-
เรียวรูปผู้เยาว์วัย .. อยู่ในทาง
เหมือนคอยขวาง .. ฝากรูป .. โลมลูบใจ

O นิ้วเรียวรูปเคลื่อนขยับ .. หยิบจับลง-
ใส่บาตรสงฆ์ .. จากรูป .. สู่รูป .. ให้-
ห้วงจิตรู้รมยา .. เกินกว่าใคร-
อาจพรากสุขแจ่มใส .. จากนัยน์ตา !

O บริบทยามเช้า ตรู่เช้านั่น
กอปร-รูปนาม .. เบญจขันธ์ .. กลางพรรษา
สบ .. สัมผัส .. เป็นเหตุ .. ดลเวทนา
จวบ-ตัณหา .. อุปาทาน .. ละลานล้อม !

O ตั้งขึ้นเป็น .. ภพ .. ชาติ - แรงปรารถนา
โดยแววตาพริ้มพรับ .. คอย-ขับกล่อม
ที่เหมือนทั้งเจตจินต์ .. คล้ายยินยอม-
เข้าแนบน้อม .. มธุรส เป็นบทเดียว !

O หลังกรุ่นหอมกลิ่นข้าว .. ตรู่เช้านั่น
มีดวงขวัญตื่นตอบ .. การลอบเหลียว
พร้อมดวงใจปลิดปลิวด้วยนิ้วเรียว-
ที่-ใครเหนี่ยวโน้มวางลงกลางมือ !

O ทิวแถวท่านผู้ขอ .. เคลื่อน .. รอ .. ก้าว
หาก-ตาวาว-วามอยู่ .. อาจรู้หรือ ?
ว่า-ทุกการเคลื่อนขยับ .. พริ้มพรับ-คือ-
แรงยุดยื้อไขว่คว้า .. อีก-อารมณ์ !

O แถบแพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่
เสียบแซมกลีบช่อไม้ที่ปลายผม
สังวาลย์เพชรวางสาย .. ให้หมายชม-
หรือ-เพื่อข่มขับมืด .. ให้จืดจาง ?

O ดู-ข้าทาสหญิงชาย .. ที่รายล้อม-
แสนนอบน้อม .. นั่ง, ลุก และทุกย่าง-
ที่-คอ, หลัง .. ค้อมรับ-หยิบ .. จับ .. วาง-
ข้าวของกลางแวดล้อม .. อยู่พร้อมเพรียง

O ในท่ามกลางสายตา, รูปหน้านั้น-
ค่อยค่อยสั่นโยกใจ .. จนให้เสียง
รูปนามแห่งยามเช้าทอดเงาเคียง-
การร้อยเรียงธรรมบทลงจดใจ

O ในคาบยามบรรจบ .. แห่งภพชาติ-
เหมือนเพรงวาสน์พาดช่วงเกินหน่วงไหว
จับจูงเอา .. อิริยา .. รูปหน้าใคร-
จำหลักไว้ตรึงมั่น .. ลงสัญญา

O แล้วรูปนามพริ้มเพราแห่งเช้าวัน
ค่อยค่อยผันรูปกลับ .. จนลับหน้า
แวบเดียว .. ที่เหลือบคล้ายจะชายตา-
ปรารถนาก็ช่วงในห้วงใจชาย

O สวยปีกผีเสื้อบินกลางถิ่นทุ่ง
ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย
ลมเช้าพลิ้วแผ่วร่ำ .. ล้อมรำบาย
แตะร่องรอยความหมายขึ้นว่าย-วน

O แดดใสแผ่นฟ้าคราม .. ในยามนี้
เหลื่อมแสงสีอบอุ่นแทนฝุ่นฝน
เมฆขาวแทนมืดดำฟ้าคำรน
วิหคบนแทนวิชชุที่คุไฟ

O งามเงื่อนหางยูงฟ้าในป่าแดด
ทอดลงแวดล้อมอยู่ .. จนรู้ได้-
ว่า .. อ่อนหวานโลมทั่วทั้งหัวใจ-
ด้วยรูปใคร .. เผยองค์ขึ้นบงการ

O ระยับแดดเหลื่อมแล้วที่แววขน
พร้อมตาคนวาบแล้วด้วยแววหวาน
ที่ช่วงใจเต้นรับอยู่นับนาน
จนสุดหาญฝ่าบ่วงให้ล่วงพ้น

O งามปีกผีเสื้อลาย .. ระบายป่า
กระหยับทาทิวเถื่อนอยู่เกลื่อนกล่น
ปีกแห่งรักพลิ้วพรายลอยว่ายวน
ด้วยหัวใจดิ้นรน .. คิดวนเวียน

O โลมแดดอุ่นแอบลมไว้ข่มรื่น
เมื่อใจตื่นนิรมิตเกินปลิด .. เปลี่ยน
จำหลักรอยแฝงฝาก .. ให้พากเพียร-
ว่า-เนื้อเนียนกลิ่นร่ำ .. คือ-จำนง !

O สวยปีกผีเสื้อลาย .. พลิ้วพราย .. ร่อน
เมื่ออาวรณ์พิสวาดิด้วยชาติหงส์-
ค่อยหลอมรวมหวานหอม .. รอน้อมลง-
จบ .. บรรจง .. เสพรับชั่วกัปกัลป์

.
.
ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
09 มีนาคม 2014, 08:10:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #1 เมื่อ: 09 มีนาคม 2014, 08:10:PM »

.. พศ.๒๕๓๗ ..
O เอื่อยอ่อยลมทะเล .. คล้ายเห่กล่อม
พาจิตน้อมนึกย้อน .. กาลก่อนนั่น
แถวผู้ขอ, รูปนาม .. ผู้ล่ามพัน-
รัดดวงขวัญ .. จบจูบด้วยรูปเงา

O หาดทรายโล่ง, ทิวมะพร้าว .. ทอดยาวลิบ
น้ำระยิบล้อแดดให้แผดเผา
เผยภาพความสดใสแห่งวัยเยาว์,
แถวผู้ขอ-ทอดเงา .. ตรู่เช้านั้น

O เพียง-วูบเดียว .. ภพชาติก็พาดช่วง
แล้วลามล่วงจนใจเริ่มไหวสั่น
อีก-วูบเดียว .. ภพชาติก็คลาดกัน
หากในสัญญารู้ .. ยังอยู่ครบ !

O คำนึงในช่วงกาล .. อาหารมื้อ
ข้าวกรุ่นหอม, เรียวมือ, ยกถือ .. จบ
ก่อนรูปกายโค้งค้อม .. ลงน้อม .. นบ-
เอาชาติภพยกธรรม .. ขึ้นบำบวง

O ภาพ-ที่เคยจ้องดู .. รับรู้ว่า-
ต้นวงศาสืบสายมาหลายช่วง-
ของเพื่อน-ที่เรื่องหลัง .. สิ้นทั้งปวง-
นั้น-คงช่วงโชนอยู่ไม่รู้เลือน

O หลัง-อกเมืองร้อนร้าวด้วยข่าวโศก
ผลักอารมณ์แห่งโลกจนโยก .. เคลื่อน
ความหมกไหม้กรอมเกรียมก็เยี่ยมเยือน-
อกผู้เหมือน .. แตกดับอยู่นับปี

O ด้วย-โศกนาฏกรรม .. เรือคว่ำจม
พาชีพล่มมอดดับอยู่กับที่
หลังเรือต้องคลื่นน้ำเข้าตามตี
แผ่นดินนี้ก็ต้องโศกเข้าโยกคลอน !

O ขณะบางรูปเงา ยังเยาว์นัก
เขียนอ่าน-อักขรา-รู้ .. อย่างครูสอน
อาจรับทราบอยู่บ้างในบางตอน-
ของเรื่องราวม้วยมรณ์ .. ครั้งก่อนนั้น

O กฎเกณฑ์เช่นโซ่ล่าม .. วางข้ามช่วง
เพื่อเหนี่ยวหน่วงความคิด .. เพื่อปิดกั้น
ปรุงบทบาทให้ประณีต .. เพื่อกีดกัน-
การข้ามล่วงชนชั้น .. จากบรรพชน

O เอาสมมุติ .. ยึดถือ-ว่าคือยศ
ชี้ .. กำหนด .. สำทับอย่างสับสน
จวบสมมุติ .. ฆาตเข่น-ความเป็นคน
ก็รู้ควรปลิดป่นให้ปราศรอย !

O น้ำกระเซ็นเต้นฟอง, แดดผ่องแผ้ว
เมื่อลมพลิ้วผ่านแล้วอย่างแผ่วค่อย
คำนึงรูปแพงทอง .. ใจล่องลอย-
สู่ภาพความอ่อนช้อย .. เมื่อคอยพระ

O ลมโล้ .. น้ำกระเพื่อมพื้นเหลื่อมรับ-
ลำแสงวับวาบปลั่ง .. โยนจังหวะ
เช่นรูปนามรายล้อมไม่ยอมละ
ฤๅอาจผละพ้นผ่าน .. อ่อนหวานนั้น ?

O เมื่อผุดเผยรูปนามคุกคามโลก
แล้วคอยโยกคลอนใจจนไหวหวั่น
ว่างเว้นฤๅ-รูปพักตร์ .. แม้นสักวัน-
อาจกีดกันล่วงแล้วจากแววตา ?

O แล้วเรื่องราวรูปนาม .. แห่งยามเพรง
เหมือนรอใจรุดเร่ง .. คร่ำเคร่งหา
ด้วยอยากรู้อยากเห็นความเป็นมา-
ของรูปหน้าพริ้มเพรา .. ตรู่เช้านั้น

O ขณะรอบเขตคาม .. สยามประเทศ-
กลับต้องเลศกลทรามเข้าห้ำหั่น
ถูกแบ่งแยก, ปกครอง .. สุดป้องกัน-
ถูกลดชั้นเป็นทาสรองอาชญา

O เพื่อต่อต้านบทบาทอำนาจใหญ่
จึงต้องมีหัวใจยิ่งใหญ่กว่า
ถ้วนอุบาย ทุกวิธี .. เขามีมา
ก็รู้ว่าล้วนอุบายที่หมายครอง

O เลศแยบคายดักรอ เช่นขอวาง
แม้น-ก้าวย่างลดเลี้ยว-ยังเกี่ยว .. ต้อง
โยนเศษเนื้อเถือสับ .. รำงับ-ปอง
จนแผ่นพื้นขวานทองพ้นผองภัย

O โอหังการ .. รอบรั้ว .. เฝ้ายั่วหยอก-
พร้อมกระบอกปลายปืน .. หยิบยื่นให้
ที่ที่เขลารอบด้านล่มลาญไป
คือเยี่ยงอย่างของไฟ .. สุมใส่ตน

O จนสิ้นชาติสิ้นศัพท์ให้รับรู้-
พร้อมนายผู้เผยตัวอยู่ทั่วถนน
โมหะการณ์คลุ้มคลั่ง .. ย่อมฝัง-ปรน-
เปรอ-เลศกลศัตรู .. ที่รู้คอย !

O ธงของชาติเป็นนาย .. ปัดป่ายลม
ไว้เพื่อคอยกด .. ข่ม .. สร้าง-ปมด้อย-
แทรกสำนึกลามรุกไปทุกรอย-
ของผู้น้อย-บวงเซ่นผู้เป็นนาย

O ใช้กระสุนดินดำ .. เป็นคำตอบ-
ไว้กดครอบ .. ศักดิ์ศรีจนหนีหาย
คืนความจริงสำทับให้อับอาย-
ว่า-มีนาย .. ผิวขาวคอยกล่าว .. ชี้ !

O แล้วเพื่อนบ้านคู่แค้นมาแสนนาน
ก็ถึงกาลถูกหัก .. สิ้นศักดิ์ศรี
ถูกชี้สั่ง .. ใช้สอย-นับร้อยปี
อิสระเสรี .. หรือมีรอ ?

O ภาพเปลวไฟพวยพุ่ง .. ท่วมกรุงศรี
น้ำตา, เลือด-ไหลรี่ .. บัตรพลีต่อ-
ขัตติยะจัญไร .. ผู้ใจคอ-
ชอบแต่เพียงเคล้าคลอ .. ด้วยนวลนาง-

O -ก็ปรากฏสอดรับลำดับช่วง-
การย้อนล่วงกาลสู่ยามตรู่สาง
แถวจำเลยเลาะเลียบ .. ย่ำเหยียบทาง
ค่อยผ่านพ้นเลือนลาง .. ก้าวย่างไป

O แว่ว-ล้วนเสียงโอดอื้นในผืนอก
ทุกก้าวยก .. เหยียบ .. ย่าง-หรือสร่างได้ ?
เห็น-ล้วนความสิ้น-หวัง, กำลังใจ-
ที่ขับไขเต็มตา .. เบื้องหน้านั้น !

O เมื่อสามารถเคยมี .. มาหนีหาย
เพราะจิตชายในชาติ .. คอยหวาดหวั่น-
สิ้นแรงฮึกฮือโหมเข้าโรมรัน
ศักดิ์ศรีของชาติพันธุ์ .. ก็บรรลัย

O ด้อยสามารถ .. หาก-รุมเข้าอุ้มชู
เมื่อสบศึกศัตรู .. ฤๅ-สู้ไหว ?
คะเนนึกตรึกตรองทำนองใด-
ล้วนยาวไกล .. เทียบก้าว .. เพียงก้าวเดียว !

O ยกชนชั้น-มือเท้า .. เป็นเจ้านาย
ความฉิบหายถ้วนสรรพ .. ก็ขับเคี่ยว
เอาหางยกขึ้นชู, แม้นครู่เดียว-
อาจล่มลาญแม้เสี้ยวส่วน .. เดียวนั้น !

O ด้อย, สามารถ, เด่น, ดี .. ดูที่ผล
ว่า-อับจน, โศก, ทุกข์ หรือสุขสันต์
หรือจำเริญก้าวล้ำ .. จนสำคัญ
หรือชาติพันธุ์ท้องกิ่ว .. ผู้หิวโซ ?

O มอง-อาการ, พจน์, ภาพ .. แล้วปลาบปลื้ม
ด้วยหลงลืมสำรวจ-คำอวดโอ้
ย่อมคือเหตุเภทภัยอันใหญ่โต
จากความโง่เขลานั้น .. แต่บรรพกาล !

O เมื่อศัพท์เสียงจากอดีตยังหวีดแว่ว
อยู่ในแก้วหูคน .. ยากพ้นผ่าน
สอดแทรกภาพไฟควันจากวันวาน
จิตวิญญาณรับรู้ .. จึงรู้เอง-

O-ว่าที่หลงสมมุติ .. เฝ้ายุดยื้อ-
ด้วยสองมือ-กอดกำ .. อย่างคร่ำเคร่ง
ล้วนจากจิตวิญญาณดื้อด้าน-เกรง-
กลัวพิศเพ่งแล้วเห็น .. ความเป็นมา !

.
.
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
09 มีนาคม 2014, 08:33:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #2 เมื่อ: 09 มีนาคม 2014, 08:33:PM »

.. บ้านริมน้ำ ปลายถนนสาทร ..

O บ้านริมน้ำสาทร .. ลมว่อนไหว
น้ำก็ไหลล้อแดดที่แผดจ้า
คนสวนและสาวใช้เดินไปมา
เตรียมโต๊ะตั่งปูผ้าที่ท่าน้ำ

O ร่มกางบังร้อนแรงไอแสงสูรย์
ที่เพิ่มพูนฤทธิ์ข่ม..เย้ยลมร่ำ
รูปหนึ่งเนตรแจ่มใสด้วยใฝ่ธรรม
ค่อยย่างย่ำหญ้าเขียวเลาะเลี้ยวมา

O มุมปากมารดาเพื่อน .. คล้ายเปื้อนยิ้ม
ความเอิบอิ่มผ่องใสเต็มใบหน้า
มือรับไหว้ .. โดยเจตอันเมตตา-
ต่อ-บรรดาเพื่อนลูกที่ผูกพัน

O ก่อนนั่งลงร่วมในวงสนทนา
พร้อมกับบางสายตาเบื้องหน้านั่น-
มองด้วยความเคารพเมื่อพบกัน
ยินดีนั้นก็ท่วมทับอยู่กับใจ

O หมายรับรู้รับฟังเรื่องครั้งก่อน
ที่ห้วงจิตรุมร้อนเกินผ่อนไหว
ปรุง-พากย์พร้อมจับจูงผู้สูงวัย
สู่กาลไกล .. สืบค้นด้วยสนทนา

O แล้วเรื่องราวรูปนามแห่งยามก่อน
เหมือนกลับย้อนเดินเรื่องอยู่เบื้องหน้า
ภาพในจินตนาการค่อยผ่านตา-
เป็น-รูปนามงามสง่า .. ท่วงท่าที

O เห็นบ่าวทาสมากครันเดินกันไขว่
กลางเรือนไทยแวดล้อมอยู่พร้อมที่
ไม้ร่มรื่น, ผืนหญ้าจดวารี-
ก็เผยรูปเขียวขจี .. ขึ้นจับตา

O ไม้เหยียดกิ่งก้านรอ .. แดดทอต้อง
เมื่อลมล่องผ่านเยือนริมเขื่อน .. ท่า
รูปหนึ่งมองเหม่อลอย .. นั่งปล่อยอา-
รมณ์ .. ตามสายน้ำ-บ่า .. แดดจ้า-ทอ

O บนเสื่อ-ถาดดอกไม้วางไว้คอย-
การจับร้อยเรียงช่วง .. เป็นพวงช่อ-
หอมเพื่อคอยเหนี่ยวนำ .. ใจ-ย้ำยอ-
ยกปัญญาคอยรอ .. ตรองข้อธรรม

O วัยสิบเก้ารูปนาม .. งดงามพร้อม-
ความอ่อนน้อมเผยสู่ให้รู้ .. สัม-
ผัส .. แล้วแต่งชาติภพบรรจบ .. นำ-
รูป .. อิริยา เก็บงำ – ไว้คำนึง

O แววใคร่ครวญในตา .. กอปรท่าที
ของความที่ความเห็นต้องเป็นหนึ่ง
ความรู้รอบเลื่องลือ .. จนอื้ออึง-
ไปจนถึงรอบวังแต่ครั้งนั้น

O บิดารับใช้ชาติ .. ช่วยราชกิจ
รูปโสภิตเคียงอยู่เป็นคู่ขวัญ-
ดูแลเรือน, บ่าวไพร่ .. อยู่ในวัน-
คือแม่ผู้ดวงขวัญผูกพันรัก

O สองพี่ชายคือแกล้วในแถวทัพ
พร้อมสำหรับ-รุดหน้า .. เข้าฝ่า .. หัก-
เข่นชีพปวงศัตรู .. ให้รู้พัก-
ผ่อน .. ลงทักทายดิน เมื่อสิ้นลม

O เริ่มแต่วัยสิบแปด .. กลางแวดล้อม-
ที่เหมือนความแปลกปลอม .. เข้าห้อมห่ม
ทุกคืนแรมจันทร์เลือน .. คือเงื่อนปม-
รูปงามสมศักดิ์ชาติ .. บำราศรอย !

O บรรจถรณ์หมอนหนุนเคยอุ่นร่าง
ยังคงว่าง .. เย็นเยียบทั้งเงียบหงอย
จนน้ำค้างวางเม็ด .. ดั่งเพชรพลอย
รูปนามค่อยเผยร่างขึ้นกลางเรือน

O แล้วจรดเท้าก้าวย่องเข้าห้องหับ
บานประตูปิดงับ, กลอน-จับเคลื่อน
ก่อนแสงยามตรู่สางจะย่างเยือน
การแล่นเลื่อนชาติภพก็จบลง !

O ทอดกายบนที่นอน .. หนุนหมอนนิ่ง
เมื่อรับรู้ใจหญิง .. ก็ยิ่งสง-
สัย ..ว่าบางวาทกรรม .. บางจำนง-
มีเหตุส่งสืบเนื่อง .. จากเรื่องใด ?

O บ้านเมืองในเบื้องหน้า .. เผย - ปรากฏ
พร้อม -โวหารภาพพจน์ .. เผยบทให้-
สบ .. รับรู้ .. รับทราบ .. พร้อมคราบไคล-
ของเลศนัยเสแสร้ง .. สำแดง-ปน

O ภาพผู้คนเรือนแสน .. เนืองแน่น .. พร้อม-
ชุดเขียว, ปืนตั้งป้อม .. รายล้อมถนน
ตรงยกพื้นเวที .. ก็มีคน-
พูดแจกแจงเหตุผลให้คนฟัง

O พอภาพเปลวไฟแปลบ .. นั้นแลบรัว,
ควันขุ่นมัวล้อมถิ่น .. ก็สิ้นหวัง
สองข้างที่ริมถนน .. ชีพป่นพัง
พร้อมแววตาชิงชัง ก็ปลั่งเรือง

O คำบรรยายเรื่องราว .. ข้อข่าวแจง-
ว่า-อำนาจแอบแฝงปั้นแต่งเรื่อง
วาทกรรมกล่อมเขลา .. ฤๅ-เปล่าเปลือง
หากต่อเนื่องกล่อมมัน .. ทุกวันไป

O คำบรรยายพร้อมภาพ .. ทุกภาพนั้น
เพรียกสำนึกพร้อมกัน .. ร่วมฝันใฝ่
กับแนวทางเหตุผล, เพื่อคนไทย-
จักเป็นใหญ่ในถิ่นแผ่นดินตน

O การชุมนุมเยี่ยงไร .. จึงใหญ่ยิ่ง
พาชายหญิงรวมตัวอยู่ทั่วถนน
ความตื่นตาตื่นใจก็ไหววน-
ทั้งสับสนอลเวง .. ยามเพ่งพิศ

O ภาพชายร่างผอมเกร็ง-เสียงเปล่งร้อง
สองมือกำไม้พลอง .. ยก-ป้องสิทธิ์
รอฟาดสู้ดินปืน .. ขัดขืนฤทธิ์-
ด้วยหัวจิตหัวใจ ที่ไม่กลัว !

O เมื่อร่ำเรียน .. รับรู้ .. ย่อมรู้ว่า
เดช, ศักดาเคยข่มให้ก้มหัว
ต้องแรงมือโยกสั่น .. ย่อมสั่นรัว
เสพรับการเย้ยยั่ว .. ในชั่วยาม !

O เมื่อใคร่ครวญ .. ไตร่ตรอง .. ย่อมมองเห็น
ความลำเค็ญ, ขื่นขม-สุดข่มข้าม
จากศักดาฤทธิ์เดชครองเขตคาม
ปวง-ชั่วร้ายเลวทราม .. ฤๅข้ามพ้น ?

O คนถือหอกถือดาบเคยฉาบฉุด-
เอาคมกุดชีพอรินทร์จนสิ้น .. ป่น
มาบัดนี้ .. ปืนถือในมือพล-
รอคำรนเสียงลั่น .. ฆ่ากันเอง !

O เป็นเพียงแกล้วเชี่ยวชาญในการฆ่า
กลับถูกบ้าบอดงำ .. จนคร่ำเคร่ง-
กับยศศักดิ์, อำนาจ ไม่หวาดเกรง-
การพิศเพ่ง-จากชนชั้น .. ใช้ปัญญา

O จมปลักกับนักรบ .. ที่ครบเครื่อง-
การโกงกินทุกเรื่องที่เบื้องหน้า
เพื่อสังคมผู้ดีได้ตีตรา-
รสนิยมสูงค่า – เมียหาซื้อ !

O โอ .. วิญญาณนักรบบนภพพื้น
โอบกอดปืน ให้เห็น - แล้วเซ็นชื่อ-
อนุมัติโครงการ, เงินผ่านมือ-
แย่ง, ยุดยื้อ, เม้ม, ครอง-เป็นของตน

O สะสมเงินแฝงฝากจนมากยิ่ง
กระทั่งหยิ่งจองหองทำพองขน
ลืมกำพืดเงินเดือน – ว่าเปื้อนปน-
กับเงินทองฉ้อฉล .. เงินคนไทย !

O บ้านเมืองในเบื้องหน้า .. ยัง - ปรากฏ
ถ้อยคำมดเท็จแฝงเลศแต่งให้-
ผู้ด้อยการขบคิด .. วางจิตใจ-
ลงบนคำปราศรัย .. สาไถยนั้น

.
.
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
09 มีนาคม 2014, 08:43:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #3 เมื่อ: 09 มีนาคม 2014, 08:43:PM »

.. พศ.๒๔๒๗ ..

O บริบทตรู่เช้า .. หมอก-ขาวมัว
ลมโรยตัว .. ลูบไล้ก็ไหวสั่น
แถบผ้าขาวป่ายริ้ว-ห่มผิวพรรณ-
พร้อมด้วยข้าวในขัน .. มุ่งมั่นรอ

O แล้วพิมพ์ภาพงดงาม .. แห่งยามเช้า-
ค่อยทอดเงาเคียงหมู่ท่านผู้ขอ
ศรัทธาของรูปนาม ก็งามพอ-
สืบสาน-ต่อเติมธรรม .. ลงย้ำใจ

O คำข้าว..ช่อดอกไม้..ถวายพระ
ตอบภาวะศรัทธา .. เพื่ออาศัย-
สำหรับน้อมจิตนำ .. พากย์ธรรมนัย-
กำหนดให้อัตตานั้นล้าตัว

O ข้าวหอมกรุ่นในขัน .. คด .. บรรจง-
ใส่บาตรสงฆ์เบื้องหน้าแต่ฟ้าหลัว
จวบแสงทองอำไพส่องไล่มัว
สุขก็ซ่านเอ่อทั่วทั้งหัวใจ

O หากเช้านี้ .. ผิดแผกจนแตกต่าง
ชั่วพระย่างพ้น .. พลัน-ที่สั่นไหว-
คืออกผู้-เบือนหน้าสบตาใคร-
แล้ว-เลศนัยเชิงชู้ .. ก็จู่โจม !

O ด้วยเช้านี้มีชายที่หมายรู้-
ว่า-งามผู้แสงรุ้งช่วยปรุงโฉม
นั้น .. ฤๅ-เพื่อรอช่วงแข่งดวงโคม-
ผ่านรอบโสมนัสช่วงกลางห้วงใจ ?

O ดู .. สายตาจับจองความผ่องแผ้ว
ก็ล้วนแววเอ็นดูจนรู้ได้
ดู .. สายตาจับจองความยองใย
ความอ่อนไหวอ่อนโยนก็โชนแวว !

O เมื่อมีรูป, มีใจ-หวั่นไหวอยู่
อารมณ์ผู้จับจ้องก็ผ่องแผ้ว
พร้อมริ้วลมโรยตัวอยู่ทั่วแนว
การจับจองรูปแก้ว .. ฤๅ-แล้วเลือน ?

O แต่เมื่อตาสบรูป .. การวูบไหว-
ของดวงใจ .. คือ-งามเจ้าลามเลื่อน-
ยอรูปองค์ .. ล้อมชาติเกินอาจเบือน-
สายตาเคลื่อนจากงาม .. แม้ยามเดียว !

O ตาสบรูป .. จิตวูบด้วยรูปนั้น
ตั้งแต่หันมองตอบ .. เฝ้าลอบเหลียว
ตาต้องรูปร่ำล้อ .. ดั่งขอเคียว-
เจ้าคล้องเกี่ยวเหนี่ยวใจ .. เอาไปครอง

O เช้านี้ .. จึงช่างแปลกจนแตกต่าง
ด้วยเรียวร่างงามที่ไม่มีสอง
ด้วยรูปพักตร์รูปเดียวเฝ้าเหลียวมอง
โลกทั้งผองก็เหมือนวาง .. ให้ย่างเท้า !

O ไร้ซึ่ง - ความเหงาเงียบให้เหยียบย่าง
สิ้นทั้งโลกผืนกว้าง .. เคยว่างเปล่า
มีแต่แววซ่อนยิ้ม, ความพริ้มเพรา-
ของรูปเงาเบื้องหน้า .. ให้ปรารมณ์ !

O พร้อม-ลมเอื่อยแผ่วผ่านอยู่นานเนิ่น,
แววขัดเขินเผยอยู่ .. สุดรู้ข่ม
สบ – สัมผัสหอมหวานอยู่นานนม-
ดวงใจที่จ่อมจมก็ .. สมยอม

O ช่อขาวเกสรปีบ .. รอบีบกลิ่น
ต้องลมรินโรยผ่าน .. รสหวานหอม-
ก็แฝงฝากลมร่ำให้ด่ำดอม-
รื่นรมย์ที่รายล้อม..อย่างพร้อมเพรียง

O ยิ่งปีกผีเสื้องาม, ตาวามนัย-
แฝงฝากให้อาวรณ์ออดอ้อนเสียง
เฉกลวดลายปีกบาง..ลอยร่างเพียง-
เพื่อเข้าเคียงหวานหอม..แนบน้อมรส

O เมฆขาวเวิ้งฟ้าใส .. ลมไหวแว่ว
วันผ่องแผ้วบังเดือนให้เลือนบท
หญ้าต้องลมโลมสู่ .. ยอดคู้คด
ภู่จ่อจดหวานหอมไม่ยอมลา

O นกโผเกาะกิ่งพฤกษ์ .. เมื่อนึกย้อน
ถึงช่วงตอนใจละห้อยแต่คอยหา
ดื่มด่ำด้วยรูปฝัน .. แรงฉันทา-
ต่อเรียวร่าง .. อิริยา .. ท่วงท่าที

O ทอดตามองที่นี่และที่นั่น
รูปรอยฝัน .. แทรกฝ่าเรื้องราศี
กลางลมอุ่นโอบไล้, รอบไมตรี-
ก็ค่อยคลี่โอบรับไว้กับทรวง

O เมื่อลำดวนฟุ้งกลิ่นรวยรินสู่
หอมก็จู่จบแทนความแหนหวง
แรงอาวรณ์ซาบซึ้ง .. ใจหนึ่งดวง-
หวัง-ผ่านหอมหวานล่วง .. อีกดวงใจ

O ปีกนกยังคลี่กาง .. ร่อนกลางฟ้า
กลางแววตา, อาวรณ์ .. แสนอ่อนไหว-
ที่ละห้อยแหนหวง .. พร้อมห่วงใย-
แต่เพียงผู้เยาว์วัย .. อยู่ในยาม

O ลมร่ำสายโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
เมื่อเสียงอ้อนออดชู้ .. สุดรู้ห้าม-
คอยกระซิบเร้ารุก .. คอยคุกคาม
หลังสบแววตางาม .. วาบวามนัย

O ปีกนกกางโล้ลม, อารมณ์ถวิล-
ก็หลั่งรินรอชู้ .. ร่วมสู่สมัย-
การจับจูงเกี่ยวร้อยทุกรอยใจ
กำหนดให้ .. ร่วมย่างบนทางเดียว !

.
.
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
10 มีนาคม 2014, 06:33:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #4 เมื่อ: 10 มีนาคม 2014, 06:33:AM »

.. พศ.๒๕๓๗ ..

O ดูเถิด..รูปเรียวร่างคิ้วคางแก้ม-
ซับเลือดแต้ม, เนตรชม้อยก็คอยเหลียว-
เวียนสบเลศนัยชาย..ที่คลายเกลียว-
เข้ารัดเหนี่ยวโอบขวัญ..ลอบพันธนา

O ลมเช้าโชยแผ่วมา..ล้อมอารมณ์
เมื่อเนตรคมเหลือบชม้อย..เหมือนคอยท่า
สบ..ขัดเขิน..ยิ่งแล้ว..ในแววตา
รมยา..ก็วาบ-วกในอกชาย

O นัยน์ตาซึ้งโศกหวาน..นั้นซ่านแวว-
ความผ่องแผ้วอ่อนโยนออกโชนฉาย
มีรูปคราญบริสุทธิ์เป็นจุดปลาย-
การทอดสายตาล้อม..ไม่ยอมเบือน

O เอนไหวเรียวกิ่งก้าน..ดอกมาลย์สี-
ลมวาดวีโลมเลียบก็เปรียบเหมือน-
เลศในแววตาวาม..นั้นตามเตือน-
จนสุดเคลื่อนคล้อยผ่าน..หอมหวานนั้น

O เมื่อมีรูป..มีใจ..หวั่นไหวรูป
เช่นลมวูบวาบผ่าน..ช่อมาลย์..สั่น
งามเจ้าเอยโลมไล้..ดั่งไฟควัน-
แต่จะรุมล้อมขวัญ..ตราบวันวาย

O งามปีกผีเสื้อบิน..กลางถิ่นทุ่ง
ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย
ลม-ร่ำกลิ่นหอมนักมาทักทาย
ความเอียงอายก็อบร่ำในคำนึง

O งามปีกผีเสื้อลายบินว่าย-วน
เมื่อใจคนต้องพิษ..ความคิดถึง
แววแห่งความวุ่นว้า..คล้ายตราตรึง-
บนใจซึ้งทราบชู้..เช้าตรู่นั้น

O โอภาสแดดอบอุ่น..ล้อมฝุ่นดิน
ใจผู้ดิ้นรนอยู่..ฤๅ-รู้หวั่น-
กับการไขว่คว้าครอง..ที่พ้องกัน-
แต่เมื่อแววตานั้น..คล้าย..สั่นสะทก

O งดงามความนัยชู้..ในตรู่สาง-
ก็พรายพร่างโลมไล้อยู่ในอก
หวานเอย..สุดขับข่ม..เมื่อลมวก-
พาหวานปกคลุมครองทุกห้องใจ

O ปีกผีเสื้อโบยบิน..ล้อมกลิ่นหวาน
เมื่อแรกกาลเบิกบทความสดใส
เรณูเสียดช่อช้อย, รูปรอยใคร-
ก็เสียดรูปขับไข..ค้างนัยน์ตา

O ลืมได้ฤๅ-แววชม้อยชม้ายสู่
แฝงเลศนัยซ่อนอยู่..ให้รู้ว่า-
ความรู้สึกอ่อนหวาน..ส่งผ่านมา-
ให้ตอบรับคุณค่า..และท่าที

O คืนอบอุ่นอ่อนหวาน..ที่หวานกว่า-
หวานถ้วนทั้งบรรดา..รูปราศี
พร้องลำดับภพชาติ..ขึ้นวาดวี-
เยื่อใยดีสั่นพลิ้ว..กลางริ้วลม

O เหมือนรูปรอยคุณค่า..ค่อยตราตรึง-
ความซาบซึ้งแรงชู้..ลงสู่สม
พาอกใจละห้อยหาเฝ้าปรารมภ์-
แววเนตรคมเหลือบชม้อย..เฝ้าคอยรอ

O ริ้วลมร่ำโชยแล้วเพียงแผ่วค่อย
เมื่อจริตอ่อนน้อยเหมือนคอยล่อ-
ให้สายตาใฝ่เฝ้าพะเน้าพะนอ
ยั่ว..หยอกล้อเสน่หา..แต่ครานั้น

O พร้อม – แดดใส..ฟ้าคราม..แห่งยามสาย
คือ – เอียงอาย..วุ่นว้า..แววตาหวั่น
ชม้อยชม้ายเหลือบสบ..แล้วหลบพลัน-
ก่อนทรวงนั่นสั่นสะท้อน..เกินผ่อนเพลา

O พร้อม - แดดใสฟ้าครามแห่งยามสาย
คือ – ความหมายทอดทับความอับเฉา
รื่นเย็นสายลมลูบ..เมื่อรูปเงา-
แห่งยามเช้าทอดร่างลงกลางทรวง

O และแล้วก็มองเห็นความเป็นไป-
ของอกที่โหยไห้..อาลัย-หวง
แววอาวรณ์โลมไล้อยู่ในดวง-
ตาที่ห่วงใยอยู่แต่ผู้เดียว

O สายหยุดเจ้าหยุดกลิ่นแต่สิ้นสาย
เมื่อตาชายคอยแต่ชะแง้ - เหลียว
บนฟ้า..นกร่อนคว้าง.. เมื่อร่างเรียว-
เจ้ากอดเกี่ยวสายตา..ล้ออารมณ์

O โบกบินปีกนกกางร่อนกลางหาว
เมื่อเนตรวาววามชู้..เกินรู้ข่ม
โลมลูบแดดอุ่นอาย..ด้วยสายลม
กลิ่นชื่นฉมกุสุมาลย์..ก็หว่านล้อม

O อบอุ่นแดดยามสายโชนฉายสู่
เมื่อลมชู้พลิ้วผ่านทุกย่านหย่อม
โดยแววตาผ่านนัย..โดยใจยอม-
ร่วมหล่อหลอมนัยชู้..ร่วมดูแล

O ดูเถิด..รูปเรียวร่าง..คิ้วคาง..แกม-
ริ้วเลือดแต้มสองปราง..ดุจร่างแห-
เหวียงลงครอบคลุมใจ..เกินไหว-แปร-
เปลี่ยน-แกะแก้, ผูกพันจนมั่นคง

O ที่สถานศึกษา .. แววตาชาย-
สบ-แพ้พ่าย, เร้ารุม .. ด้วยลุ่มหลง
พร้อมกับความอ่อนหวาน .. แผ่ซ่านลง-
ซาบทรวงให้จำนง .. รูปองค์นั้น

O ราว-พิมพ์รูป .. พิมพ์ลักษณ์ .. พิมพ์พักตร์ผู้-
รอรูปธรรมย่างสู่ .. เช้าตรู่นั่น
อิริยา .. จับทำยิ่งสำคัญ-
เยี่ยงรูปในเบื้องบรรพ์ .. ในสัญญา !

O ภาพ-แพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่
กลีบดอกไม้แซมผม .. งามสมหน้า
กับ-เสื้อขาว .. กระโปรงดำ .. เห็นตำตา-
ก็เหมือนว่า .. ทับทาบเป็นภาพเดียว !


.. พศ.๒๔๒๗ ..

O ภาพ-แพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่,
พร้อมกับนัยน์ตาคอย .. ชม้อยเหลียว-
อยู่เบื้องหน้า .. เพรียกภิรมย์ – เข้ากลมเกลียว-
ด้วยร่างเรียวรูปพิไล .. ผู้ใยดี

O จาก-สบ .. เมิน .. เขิน .. หลบ .. แล้วสบอีก-
เกินสายตาจะอาจปลีก .. หลบหลีกหนี
รอบแรงชู้ราวร่ำรอ .. เข้าต่อตี-
ด้วยใจที่ขวยเขินสะเทิ้นอาย

O หลัง-เพรงวาสน์พาดช่วง, ในดวงตา-
หวานยิ่งกว่า-ทุกดวงก็ช่วงฉาย
ความอ่อนโยนเอ็นดู .. เกินรู้คลาย-
เผยผ่านแววตาชาย .. จนหมายรู้ !

O จึงทุกยามตรู่เช้า .. ทุกเช้านั่น-
มีดวงขวัญ .. ขันข้าว .. รอก้าวสู่
พร้อมหัวใจละห้อยเห็น-ความเอ็นดู-
จากตาวาบวามอยู่ .. ตาคู่นั้น !

O ในห้วงคิดตื่นอยู่ .. ย่อมรู้ว่า-
แววในตาวาบ-วก .. ทำอกสั่น
คือ-แววตาคู่ไหน .. คือ-ใครกัน-
ที่ทุกหันหน้าสบ .. เกิน-หลบพ้น

O มาตักบาตรทำบุญ .. หวัง-หนุนชาติ
พาทุกข์คลาดแคล้วช่วง .. ตราบร่วงป่น
กลับบรรจบหอมหวานเอ่อซ่านปรน-
เปรอ .. ใจคน .. ละห้อยเห็นไม่เว้นวาง

O จึง-ทุกเช้ารูปนาม .. ที่งามพร้อม-
คล้ายดักล้อมรอสู่ .. ของตรู่สาง
เพื่อล่มลาญเปล่าเปลี่ยวในเที่ยวทาง
ไล่ความอ้างว้างเหงา .. ผ่านเช้าวัน

O จน-เช้าหนึ่งรูปนาม .. ที่งามพร้อม
เคยดักรอรายล้อมเข้ากล่อมขวัญ
กลับบำราศรูปนามเคยล่ามพัน
ดอกไม้, ขันข้าวหอม ก็ย่อมเลือน

O คล้ายไม่เคยมีใคร .. อยู่ในที่-
รูป.. บาตร..ลีลาศรับ .. ขยับเขยื้อน
หากถิ่นที่แถวทาง .. การย่างเยือน-
ยังคงเหมือนบริบทเคยจดตา !

O วันแล้วและวันเล่า .. ไร้เงาร่าง
เหมือนยอโลกเปลี่ยวร้าง .. ลงขวางหน้า
ช่วงยามความเขินอาย .. ลอบชายตา-
ก็เหมือนว่าบำราศจนสิ้นรอย !

O เริ่มต้นการเฝ้าคอย .. ละห้อยหา-
ที่เหมือนว่าเพรียกโลก-ร่วมโศกสร้อย-
ให้เริ่มร่วมเริงขบวน .. คร่ำครวญคอย
จากเพียงน้อย-ค่อยถมจนเต็มทรวง

O ตราบแว่วยิน .. ข้อข่าวคนกล่างถึง-
ว่า-รูปนามรูปหนึ่ง .. เหมือนหนึ่งล่วง-
ลับหายไปจากเรือน .. เมื่อเดือนดวง-
เลื่อนรูปรอยสิ้นช่วง .. ดับล่วงไป

.
.
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
10 มีนาคม 2014, 01:42:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #5 เมื่อ: 10 มีนาคม 2014, 01:42:PM »

.. พศ.๒๕๓๗ ..

O น้ำค้างรุ่งเหน็บหนาว..พร่างพราวรับ-
แสงเช้าทอดจู่จับ..จนวับไหว
ผืนพลอยเพชร-เม็ดน้ำ..คล้าย-ร่ำไร
รอแสงไล้โลมต้อง..เพื่อ-ล่องลอย

O รวยรวยรสมาศไม้ที่ในสวน
กลิ่นหอมอวลอบเร้าความเหงาหงอย
รื่นรสกุสุมเช้า..เหมือนเฝ้าคอย-
บางรูปรอย..ผู้ถวิลแต่กลิ่นมาลย์

O คำนึงด้วยเจตจินต์..ที่ยินยอม-
การกักกุมรุมล้อมด้วยหอมหวาน
ที่ทั้งใจไหวสั่นแต่วันวาน
เมื่อใครผ่านความหมายขึ้นว่าย-วน

O งามจริตรูปละม่อมพรั่งพร้อมค่า
เปรียบช่อชั้นพวงผกา..แห่งป่าฝน
ที่เสียดยอดพลอดยามให้ตามยล
ถึงดิ้นรนด้วยใจ..พลอยไขว่คว้า

O นับการก้าวยกย่าง..บนทางฝัน
ช่างเต็มเปี่ยมมุ่งมั่น..การฟันฝ่า-
อุปสรรคทั้งปวง..ให้ร่วงคา-
อยู่ใต้ฝ่าเท้าย่ำ..ที่ดำเนิน

O นับสิบร้อยพันหมื่นการตื่นหลับ
คือลำดับรอยอุทธัจ..ความขัดเขิน-
ค่อยค่อยโหมหวนระลอกเข้าหยอกเอิน
ด้วยท่าทีที่สะเทิ้นด้วยเมิน-เมียง

O ละเมียดรส..ผกากรองละล่องกลิ่น
หอมตรึงจินตนาการนั้น-ปานเสียง-
กระซิบแผ่วผ่านถ้อยมาร้อยเรียง-
ความซาบซึ้งให้ประเดียงประดังใจ

O กลีบเรียวบางดอกดวง..บ้างร่วงหล่น
อยู่กับอกอึงอล..ลมวนไหว
ละครั้งที่งดงามของความนัย
ผ่านโลมไล้ลูบอก..พาวกย้อน

O หยาดน้ำค้างเคยเห็น..ก็เร้นหาย
ยังแต่สายสวาดิผู้สุดรู้ผ่อน
ในคำนึงเงียบเหงา..เหมือนเว้าวอน-
ความออดอ้อนแอบอำอยู่ค่ำเช้า

O รูปะภพอบร่ำในคำนึง
นั้น-เพียงหนึ่งอาลัย..คอยใฝ่เฝ้า
ผ่านเผยรูปรอยยิ้ม..อันพริ้มเพรา
ก็เพียงเงาเยาวรูป..โลมลูบทรวง

O นับแต่วันเดือนปีเท่าที่เห็น
ก็ยากเร้นงดงามที่ลามล่วง
ราวอดีตคำสาป..บุญบาปปวง-
ผ่านฤทธิ์หน่วงเหนี่ยวให้..อาลัยรอ

O ถ้วนปวงความอ่อนโยนและอ่อนหวาน
ต่างฤๅเมื่อดอกมาลย์..เบ่งบานช่อ-
ยังลามล่วงรุมเร้าพะเน้าพะนอ
เช่นรูปเงาแอบออ..ร่ำรอทรวง

O ถ้วนสิ้นความอ่อนโยนและอ่อนหวาน
จึงเปลี่ยนผ่านแปรให้..อาลัย-หวง-
แหนนั้น-เข้าห้อมห่มอารมณ์ปวง
แทรกความห่วงใยล้ำ..อยู่ค่ำเช้า

O น้ำค้างเร้นหยาดหยด..ไปหมดแล้ว
ลมโผยแผ่วลอดเลี้ยวความเปลี่ยวเปล่า
ประหนึ่งเพชร-แสงปลาบ..นั้นวาบเงา
เมื่อรูปเยาว์..หล่นคว้าง..ลงกลางใจ !

O อบอุ่นแล้วอีกคราว..เมื่อหนาวพ้น
ที่เหน็บหนาวเสียจน..ยากทนไหว
ยังดี-ที่ในทรวงมีห่วงใย-
คอยอุ่นไล้โลมสิ้น..จิตวิญญาณ

O อบอุ่นแล้วอีกคราว..เมื่อหนาวสิ้น
ด้วยลมรินเอื่อยอ่อย-ที่คล้อยผ่าน
ยอดหญ้าค้อมเรียวลู่-รับรู้กาล
กุสุมาดอกมาลย์ก็บานรับ

O ขณะวันสาดส่อง..ฟ้าผ่องแผ้ว
คือยามแววลึกล้ำ..เนตรดำขลับ-
ค่อยเหลือบชายให้ทราบ..ความวาบวับ-
ที่โหมลงจู่จับ..ลำดับนั้น

O จู่จับห้วงจิตใจ..เกินไหว-เบี่ยง
ด้วยชั่วเพียงสบรูป..แล้ว-วูบสั่น
จนสบแววอ่อนหวาน..ก็ปานทัณฑ์-
ผูกล่ามขวัญเอาไว้อยู่ในมือ

O แววเนตรไหว-วนวิ่ง, ยากยิ่งแล้ว-
จักฝ่าความผ่องแผ้ว..จนแล้ว..หรือ ?
สบรูปแล้ววิญญาณ..จักผ่าน ฤๅ ?
เหลือแต่คือ-ยื้อยุดไว้..สุดตัว !

.
.
ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
10 มีนาคม 2014, 07:53:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #6 เมื่อ: 10 มีนาคม 2014, 07:53:PM »

.. บ้านริมน้ำ ปลายถนนสาทร ..

O บ้านสาทรริมน้ำ .. ลมร่ำผ่าน-
โลมกิ่งก้านไม้ใบจนไหวทั่ว
ระลอกคลื่น .. ลมโยน-ก็โจนตัว-
กระฉอกยั่ว .. ดอกแดดที่แวดล้อม

O แวะมาร่วมปราศรัย .. เพื่อไต่ถาม-
ถึงรูปนามล่วงลับ .. ไว้ขับกล่อม-
จิตวิญญาณดื่มด่ำที่จำยอม-
อยู่ให้อ้อมโอบงาม .. ผูกล่ามไว้ !

O แดดสายทอระยับ .. น้ำวับวาม-
ล้อเรื่องราว .. ถ้อยความ .. การถามไถ่
ความเอ็นดูจับจูงผู้สูงวัย-
ค่อยเล่าไขแจงเรื่อง .. แต่เบื้องบรรพ์

O จนแว่วเสียงเรียกป้า .. เข้ามาใกล้
เมื่ออีกหนึ่งอกใจ .. จมในฝัน
แว่วเหมือนคนสองวัย .. รับไหว้กัน
ต่อจากนั้น .. รูปลออ ก็ล้อตา !

O เสื้อขาว .. กระโปรงดำ .. ตาดำขลับ-
คล้าย .. วามรับ-พิสวงที่ตรงหน้า
ก่อน-มือเรียวรูปนั้น .. ยกวันทา-
ปริศนาในทรวงก็ช่วงโชน !

O ชั่วเพียง-งามเพียบพร้อม .. เข้าล้อมกัก
ความไว้ตัวถือศักดิ์ .. ก็หักโค่น
พร้อม-ตาลอบเหลือบชม้าย .. ก็ถ่ายโอน-
ความอ่อนโยนตอบแล้ว .. ถ้วนแววตา

O ดวงตาเอย .. พริ้มพรับให้นับเนื่อง-
แทน-งดงามเรื่อเรื้อง .. ให้เบื้องหน้า-
สืบต่อภาพรูปพรรณในสัญญา
ที่ค้ำคาคงอยู่แต่ผู้เดียว !

O เกิดแต่เมื่อ .. พิศเพ่งผ่านเพรงยาม
สบรูปนามผุดผ่อง .. ให้มองเหลียว
สายใย-ราวสอดเส้น .. ม้วนเป็นเกลียว-
โอบรั้ง .. เหนี่ยว-ล่ามสิ้น .. จิตวิญญาณ

O เป็นญาติผู้น้องเพื่อน .. ที่เหมือนว่า-
ทั้งแววตาทั้งรูป .. คอยวูบผ่าน-
ให้รับรู้ .. รับรอง .. การพ้องพาน
ของรูปคราญ-แววตา .. อีกคราครั้ง

O ขณะแรงเสน่หา .. แทรกอารมณ์
คือชั่วยามริ้วลม .. ค่อยถมถั่ง-
โลมน้ำ .. โตนเป็นคลื่น .. จนตื่น-ดัง
พร้อม-แก้มปลั่งเผยยั่ว .. ตา-หัวใจ !

O แต่เมื่อเดินผ่านมาให้ตาเห็น
ก็บีบเค้นอารมณ์เกินข่มไหว
โลกตรงหน้าพลิกผันขึ้นทันใด
เมื่อรูปคราญสดใส..ล้อมนัยน์ตา

O หรือหัตถ์พรหมลอบเร้น..บีบเส้นทาง
ให้ยกย่างเหยียดก้าวมุ่งเข้าหา
แล้วรอการสัมผัส..รูป-ทัศนา
ก่อคุณค่าจับวางลงกลางใจ

O แต่บัดนั้น..รุ้งเรื้องที่เบื้องหน้า-
ก็เหมือนว่าทอดโค้งยึดโยงให้-
แววขัดเขินอ่อนหวานที่ด้านใน-
อกทรวงใคร..ล้อผกายกับสายตา

O ยิ้มรับความสดใสแห่งวัยเยาว์
เช่นยามเช้าสุมาลย์ช้อยช่อคอยท่า-
ภุมรินผึ้งภู่..ย่อมรู้มา-
ตฤปรสผาณิตหอม..อย่างยอมตน

O ยิ้มรับความอ่อนไหว..ของใครนั้น
กับแวววามไหวสั่นนับพันหน
เอ็นดูความขัดเขินหยอกเอินคน-
ผู้เอ่อล้นหวานแล้ว .. ถ้วนแววตา !

O เหมือนว่างามลามรุกไปทุกบท
ชี้..กำหนด..รูปรอยให้คอยหา
และเหมือนงามลามรุกไปทุกครา-
กับท่วงท่าเหลือบค้อน .. แววซ่อนยิ้ม

O หวังเช่นหวังกุสุมาลย์ .. โน้มก้านค้อม-
ให้ภู่ล้อมเสพอยู่ .. ไม่รู้อิ่ม
ดูเถิดรูปรมยา .. เปลือกตาพริ้ม-
ดั่งรอพิมพ์พักตร์ละม่อม .. รายล้อมใจ

O เหมือนว่าเนตรเหลือบค้อน, อย่างซ่อนเร้น-
คอยตอบเต้นเวียนวก .. ทำอกไหว-
จนอบอุ่นวาบหวาม .. กับความนัย-
ที่เผยให้ผ่านต้องด้วยสองตา

O รู้ .. รับทราบรูปภพ .. บรรจบผ่าน-
ความอบอุ่นอ่อนหวานที่ปานว่า-
กี่รอบกาลหวานซึ้งเคยตรึงตรา
เหมือนสิ้นไร้คุณค่า .. ชั่วนาที

O สบชม้อยชม้ายเมียง .. หรือเพียงว่า-
หมายหยอกยั่วเสน่หา .. ทำหน้าที่
จึง-เงื่อนงำแววตา .. เหมือนว่ามี-
แววไมตรีสื่อตอบ .. รับมอบกัน

O จะแปลความเยี่ยงไรก็ไม่พ้น-
ไปจากแววหวานล้น .. วก-วนนั่น
แก้มอิ่มเนียนเพ่งผ่านก็ปานทัณฑ์-
รอบีบคั้นบีบเค้น .. ไม่เว้นยาม

O ชั่วเพียงเผลอพิศมองครรลองรูป
จึงเหมือนต้องจบจูบ .. จนวูบหวาม-
จากอาวรณ์อาลัยที่ไหลลาม-
เกินหักห้ามรอบชู้ .. ให้รู้รอ

O หรือนี่เป็นปรารมภ์ .. ท้าวพรหมท่าน
ดลรูปการณ์ .. รับรอง .. คำร้องขอ ?
จึงฝากงามรุมเร้าพะเน้าพะนอ-
ยั่ว-หยอกล้อ .. อกใจ .. คอยไขว่คว้า

O หรือนี่เป็นรสประณีต .. ท่านกรีดผ่าน-
ด้วยคมมีดอ่อนหวานที่หวานกว่า-
ถ้วนรสซึ้งรอยหวาน .. เคยผ่านมา
เติมคุณค่าหอมหวานแผ้วผ่านใจ

O หรือ-อบอุ่นอ่อนหวานที่ด้านหน้า
คือบัญชาท้าวพรหม .. ช่วยข่มให้-
ความว้าเหว่ในทรวง .. เลือนล่วงไป
ด้วยแววตาวูบไหว .. ของใครนั้น ?

O ราวทิพโลกชะลอลงที่ตรงหน้า
เมื่อแววหวานในตา .. คล้าย-พร่า .. สั่น
เผลอเผยความหวานหอม .. ออกล้อมกัน-
ถ้วนรอบฉันทารส .. รินรดใจ

O โอ งามหรือจะตามมาล่ามทัณฑ์-
ผูกรัดความมุ่งมั่น .. แนบฝันใฝ่
โอ นั่นเหมือนรูปลักษณ์ .. วงพักตร์ใคร-
แทรกรูปไว้ให้คะนึงทุกกึ่งยาม

O ท่ามกลางเสียงหลากหลายที่รายรอบ
แว่ว-เหมือนหัวใจตอบ .. เสียงสอบถาม-
จากอีกใจเร้ารุก .. เข้าคุกคาม
ว่า-สุดแรงพยายาม .. ข่มห้ามแล้ว

O โอบรับนัยแห่งชู้ .. รับรู้ผ่าน-
ความอ่อนหวานซึ้งห่ม .. สายลมแผ่ว-
แต่เมื่อเลศนัยคราญ .. เผลอผ่านแวว-
ความผ่องแผ้วโชนผกาย .. ตอบสายตา

O งดงามรูป .. สัมพันธ์ในวันผ่าน
กับหนึ่งความทรมาน .. คอยผลาญพร่า
ใครกันหนอ .. นับยามถูกล่ามคา-
ด้วยโซ่ตรวนเสน่หา .. แต่ครานั้น ?

O กระโปรงดำ .. เสื้อขาว .. เนตรวาววับ-
ที่ทุกพรับพริ้มรูป .. แล้ววูบสั่น-
ที่หัวใจชายผู้ .. สุดรู้กัน
ก็ค่อยผันรูปลับ .. ไปกับตา

O ชั่วรับรอง .. อัญชลิต .. โสภิตผู้-
แก้มเนียนก่ำเรื่ออยู่ .. ก็รู้ว่า-
รื่นจากลมลูบไล้ .. หรือนัยน์ตา-
ที่ยามลา .. ตอบเต้น .. บีบเค้นใจ

O แม่ของเพื่อน-มองหน้า .. ปากตานั้น-
เหมือนรับรู้ .. เท่าทัน .. ความสั่นไหว-
ของอารมณ์เร้นซ่อนดั่งฟอนไฟ-
สุมทรวงให้ครวญคร่ำ .. แต่คำนึง

.
.

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
10 มีนาคม 2014, 08:03:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #7 เมื่อ: 10 มีนาคม 2014, 08:03:PM »

มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

O ใต้ร่มไม้ .. สถาบันการศึกษา
มีแววตาเหม่อลอย .. ละห้อยถึง-
การพบพาน .. สบตา จนตราตรึง-
พร้อมอ่อนหวานซ่านซึ้ง .. ติดตรึงใจ

O ดังช่อมาลย์ช้อยกลีบขึ้นบีบกลิ่น-
หอมรวยรินให้รู้ .. ว่าอยู่ไหน
ท่ามกลางช่อขาบเขียวแห่งเรียวใบ
เหมือนซ่อนงามสดใส .. อยู่ในวัน

O หากมิใช่กลีบกุสุม .. เร้ารุมกลิ่น
เพียงเจตจินต์สืบสร้างเป็นร่างฝัน
ในคาบยามชาติภพบรรจบกัน
ก็โอบขวัญดื่มด่ำ .. ในคำนึง

O แผ่วลมพลิ้วผ่านระลอก .. ยั่วหยอกไม้
เมื่อห้วงจิตดวงใจ .. เฝ้าใฝ่ถึง-
แววอบอุ่นในตา ยังตราตรึง
เหมือนแทรกซึ้งหวานสู่ .. ให้ผู้เดียว

O วาบหวามแล้วไหววูบ .. จิตรูปเยาว์
แต่ยามเช้า .. พบพ้อง .. แล้วข้องเกี่ยว
ใช่สุมาลย์กิ่งทอด .. ช้อยยอดเรียว
แต่เป็นเสี้ยวใจขวัญ .. คล้าย-มั่นคอย

O วาดหวังนั้นจำเริญ .. จนเขินอาย
หวัง-ใจชายคิดคืบ .. เข้าสืบสอย
เพื่อดอกมาลย์จะอวลกลิ่นไม่สิ้นรอย
หอมจะลอยล่องลมเข้าบ่มทรวง

O ปากแก้มเหมือนซ่อนยิ้ม .. เนตรพริ้มพรับ-
ย้อนภาพการจ้องจับ .. ให้กลับช่วง
แล้วทั้งหวานทั้งหอม .. กว่าหอมปวง-
ก็ลามล่วงยั่วเย้า .. ให้เฝ้ารอ

O ใต้ร่มพฤกษา .. มหาวิทยาลัย
มีหัวใจทาบทวง .. บำบวงขอ-
พรเทวัญชั้นฟ้าให้มาออ-
แอบความหมายฉายทอ .. โลมล้อใคร

O จะรู้กันบ้างไหม .. นะใจนั้น
ว่า-สร้างความผูกพัน .. ความหวั่นไหว-
เข้าแนบน้อมโลมทั่วทั้งหัวใจ
เมื่อแววตาช่วงนัย .. ว่า-ใยดี ?



.. คอนโดมิเนียมกลางกรุง ..

O ปฏิพัทธ์แห่งชายเมื่อบ่ายโบก
ผ่านลมโลกแล่นระลอกยั่วหยอกศรี
จะเปรียบหวานละลานค่าด้วยมาลี
เหมือนหลู่ค่าราศีให้มีรอย

O ด้วยว่าหอมหวานมวลแห่งมาลี
จะต้องเกณฑ์ราคี .. บัดพลีถ้อย
ถ้วนคันธารสพะยอม .. แม้-น้อมคอย
ฤๅเปรียบหอมละม่อมน้อย .. รูปรอยเดียว ?

O รอเถิด .. รูปแพงน้อย .. รอคอยรับ-
การปรุงศัพท์ปรับพากย์ .. อันกรากเชี่ยว-
ด้วยอาวรณ์รำบาย .. เพื่อคลายเกลียว-
รัดทุกเสี้ยวใจขวัญ .. หมาย-พันธนา !

O รอเถิด.. รูปแพงเจ้า .. จงเฝ้าคอย
เพื่อแววตาปริบปรอย .. ละห้อยหา-
ได้ผ่านเผยภาพประทับ .. ไว้กับตา
ร่วมรับรู้ปรารถนา .. ในอารมณ์

O รอเถิดรูปแพงเจ้า .. จง-เจ้ารู้
เมื่อแรงชู้หลอมหลั่งเข้าสั่งสม
ก็ด้วยการ-ชี้ชัดจากหัตถ์พรหม-
ผูกเป็นปมเงื่อนตาย .. สุดคลายคลอน !

O เหมือน-หยุดยืนเคว้งคว้างในทางน้อย
ท่ามกลางหมอกล่องลอยดั่งคอยอ้อน
ทางทอดรอ .. มุ่งหมาย .. สู่ปลายจร
รอก้าวย่างแรมรอน .. อย่างท้าทาย

O ไร้ดื่นดาวแสงระยิบจากลิบโพ้น
เพียงแสงวันอ่อนโยนเริ่มโชนฉาย
ลมเช้าโชยพรมพรำ .. ช่วยรำบาย-
ความมืดหม่นให้สลายคลี่คลายตัว

O หล่นร่วงรูปใบบางในทางเที่ยว
ความเปล่าเปลี่ยวเย็นเยือกก็เกลือกกลั้ว
ลมโชยผ่านใบนั้น .. ย่อมสั่นรัว-
จนหลุดขั้วร่วงคว้างลงกลางแดน

O ลมแผ่วผ่านโลมลูบ .. ใบวูบหล่น
ให้แดดบนฟ้าห้อมดุจอ้อมแขน
เพื่อหน่ออ่อนเขียวสด .. งอกทดแทน-
ความขาดแคลนชุ่มชื้น .. บนพื้นดิน

O เจ้า-ดั่งลมหนาวร่ำพรมพรำโลก
มาลบโศกถ้วนสรรพให้ดับสิ้น
เพื่อเห่กล่อมปถวี .. ปวงชีวิน-
และยอดตฤณที่ใต้ร่มใบบัง

O เห่เสียงกล่อมเหนื่อยล้าให้ลาลับ
แลร่วมขับขานถ้อยให้คอยหวัง
วาดวีบทวังเวงเป็นเพลงดัง
ต่อกำลังก้าวย่างสู่ทางจร

O โบกบ่ายความสดชื่นความรื่นรมย์
ผ่านสายลมพลอดพร่ำ .. แทนคำอ้อน
เผย"ความนัย"อ่อนเจ้า .. ช่างเว้าวอน-
ทั้งแสนอ่อนโยนเหลือทุกเนื้อความ

O วัลย์เลื้อยเถารัดล้อมราวอ้อมกอด-
สองแขนสอดรัดทรวง .. ว่าหวงห้าม
ลมแผ่วพลิ้วโลมลูบ, หวัง-รูปงาม-
จักวาบหวามในอก .. สะทกสะท้อน

O ลมแรกเช้าเฉื่อยโชย .. ค่อยโรยล้อม-
ดอกแก้วบานพรั่งพร้อมกลิ่นหอมอ่อน
ใบไม้ร่วงพลิ้ววางในต่างตอน
เมื่อทางจรทอดยาว .. รอก้าวไป

O โอ..นั่นรูปเรียวก้อยเจ้าคอยยื่น-
มาร่วมขืนขัดร้อยเกี่ยวก้อยให้-
ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง .. ต้องร้างไกล
เหลือสดใสทอดช่วง .. ที่ดวงตา

O ยิ้มรับสายลมอ่อน, ความอ่อนโยน-
ก็ถ่ายโอนรุมล้อมอยู่พร้อมหน้า
เจ้าเอยที่ตรึงมั่นในสัญญา
รู้เถิดว่าเกินถอน .. แล้วอ่อนน้อย

O ลมผ่านวูบ .. ใบบางก็คว้างหล่น
ทิ้งรูปกล่นเกลื่อนแล้วอย่างแผ่วค่อย
เห็นเพียงความกรอบเกรียม ..นั้นเปี่ยมรอย
ที่จักคล้อยเคลื่อนลับ .. ไปกับกาล

O เห็นรูปเรียวเสียดยอดขึ้นพลอดแสง
แทรกทิ่มแทงโลกธาตุอย่างอาจหาญ
ใจที่คอยพิศเพ่งก็เบ่งบาน-
บนรูปคราญอ่อนน้อย .. ทุกรอยใจ

O ริ้วแห่งลมโลมภู่ให้รู้หอม
จนรายล้อมรู้หวานทุกหวานได้
แววอ่อนหวานวาบสู่ .. ถึงผู้ใด
จึงสั่นไหวทุกหอมเคยหอมล้ำ

O ก้อยเรียวพร้อมแววประหวั่นเจ้า
ย่อมรุมเร้าใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ร่วมเกี่ยวร้อยก้อยเรียวร่วมเหนี่ยวกรรม
ให้โลกร่ำลือนาม .. เช่นยามเพรง

O ที่เคยหยุดเคว้งคว้างในทางน้อย
กลับมีก้อยเกี่ยวฉุดให้รุดเร่ง
เคยอ่อนล้าสิ้นหวัง .. กลางวังเวง
กลับมีเพ่งพิศอยู่ .. คอยคู่เคียง

O แดดเช้า .. ลมชื่น .. ใจตื่นช่วง
แว่วยินท่วงทำนองพร่ำพร้องเสียง
จากแมกไม้พุ่มกอ หรือพอเพียง-
แทนสำเนียงอาวรณ์ถึงอ่อนน้อย

O ลมผ่านสายใบบางยังคว้างร่วง
ผ่านทุกช่วงยามโลกอย่างโศกสร้อย
ก้อยยังเกี่ยวก้อยย่ำ .. ซ้ำซ้ำรอย
ใดจะลอยหลุดร่วงไม่ห่วงเลย

O ลมเห่กล่อม, ดอกแดดทอแวดล้อม
คืออุ่นอ้อมแขน-อ้อนเถิด .. อ่อนเอ๋ย
โลมดอกแดดอบอุ่นให้คุ้นเคย-
ก่อนชิดเชยอกอุ่น .. ที่หมุนรอ !

.
.
ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
11 มีนาคม 2014, 06:15:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #8 เมื่อ: 11 มีนาคม 2014, 06:15:AM »

.. บ้านริมน้ำ ปลายถนนสาทร ..

O แวะเวียนมาหาเพื่อน .. หวัง-เหมือนว่า-
บางรูปหน้าจะปรากฎ .. จน-จดจ่อ
บริบทงามเงียบ .. ก็เงียบพอ-
ให้รูปเงาเคล้าคลอ .. ล้อม-ทรมาน !

O นั่งคุยอยู่กับเพื่อนที่ท่าน้ำ
หาก-ความ, คำ .. ล้วนปล่อยให้ลอยผ่าน
ภาพในความคิดนั้น .. ภาพวันวาน-
ที่โลกหมุนหอมหวานเวียนผ่านมา

O แต่เมื่อภาพวันวาน .. ค่อยผ่านสู่
สบ, เอ็นดู-รูปละม่อม .. ก็พร้อมหน้า
มือเรียวรูปคู่นั้น .. กบ-วันทา
ละห้อยหา .. ละห้อยเห็น .. ฤๅ-เว้นวาย ?

O ยิ้มรับความสดใสแห่งวัยเยาว์
ที่รุมเร้าใจอยู่ไม่รู้หาย
ขณะรื่นล้อมห่มอารมณ์ชาย
กับแววฉายผ่านตา .. เพ-ลานั้น

O เป็นเช้า ที่เคลื่อนผ่านแสนนานช้า
ด้วยแววตาบ่ายโบกโลมโลกฝัน
เม็ดน้ำค้างหยาดเงา .. บนเถาวัลย์
ฤๅ-เท่าขวัญหยาดช่วง-บนดวงใจ ?

O วูบ-วาบระทึกดวง .. เมื่อดวงตา-
สบเลศกาละนั้น .. ก็พลันไหว-
สั่นแกว่งตัว .. ปัดป่ายอยู่ภายใน
รุมร้อนหนอกระไร-หัวใจคน

O ไร้ดาว .. ดาดดื่นบนผืนฟ้า
ดาวตรงหน้ากลับช่วง .. ราวห้วงหน-
รู้เหนี่ยวรั้งปลั่งเรื้องจากเบื้องบน
ลงปลาบปนปริศนากอปรท่าที

O แทนหมอก-ยามอรุณ, แดดอุ่นร้อน
ดูเถิด-ช้อนตาสบไม่หลบหนี
ชะม้ายลอบเหลือบบ้างเป็นบางที
วันเคลื่อน, ฟ้าเปลี่ยนสี-นาทีนั้น

O เช้านั้น-หมายอาจเอื้อม .. หยิบเหลื่อมรุ้ง-
จากขอบคุ้งโค้งฟ้า .. เพื่อ-พาฝัน-
ล่องลอยกับระลอกของหมอกควัน
และพุ่มพรรณโกสุม .. ปีกภุมริน

O แววตาอ่อนโยน .. ก็โชนแสง
สบ-ทิ่มแทงใจอยู่ไม่รู้สิ้น
หมอกขาว, มาลย์, ลมโชย, ภู่โบยบิน
คน-เดือดดิ้นอกใจ .. กับไขว่คว้า

O แววอ่อนโยนแฝงตอน .. รอยซ่อนยิ้ม
เปลือกตาพริ้มหลบล้อม .. ละม่อมหน้า
ล่มแสงวันลับเลย .. เมื่อเงยมา
แวววับวาวในตา .. ก็ตราตรึง

O จวบแว่วเสียงฝีเท้า .. ย่างเข้ามา
หอมกลิ่นร่ำลมพา .. ผ่านมาถึง
ก็รู้ว่า .. รูปธรรมในคำนึง-
แทรกหวานซึ้งดักล้อมอยู่พร้อมแล้ว

O รูปการณ์ก็จับจูงผู้สูงวัย-
มาทันได้ยินเสียง .. ตอบเพียงแผ่ว
ทันเห็น-ตาหญิงชาย .. นั้นฉายแวว-
ความผ่องแผ้วส่งรับอยู่วับวาม

O เอ่ยชวนไปทำบุญ, เกื้อหนุนธรรม
จน-ตกลงรับคำ .. ที่ย้ำถาม
ขณะโลกเปลี่ยวเปล่า .. เริ่มเฉาตาม-
หัวใจที่วาบหวาม .. ที่ตามล้อ

O ดูเอาเถิด .. สาวน้อยตาคอยหลบ
เมื่อชาติภพเบิกบท .. ให้จดจ่อ
ขัดขืนฤๅ-นามธรรมที่ร่ำรอ-
คอยแอบออยั่วเย้า .. ค่ำเช้าเย็น ?

O รื่นรมย์เหลือกระไรจะได้เที่ยว
และเมื่อเหลียวเหลือบมอง .. ก็มองเห็น-
แววตาจ้องพักตร์ละม่อม .. เพียบพร้อมเอ็น-
ดู .. คล้ายเต้นคุกคามอย่างย่ามใจ

O ดูเอาเถิด .. สาวน้อยตาคอยหลบ
หากทุกเมินเมียงสบ .. ฤๅ-หลบไหว ?
เมื่อทุกเมินเมียงสบ .. ชาติภพใคร-
ตั้งภาวะอาลัย .. เอาไว้รอ

O แก้มเนียนเนื้อเปล่งปลั่งอยู่ยังหน้า
และแววตาเหลือบชม้อย .. ดั่งคอยล่อ-
อารมณ์ชาย .. รุมเร้าพะเน้าพะนอ-
เพื่อจดจ่อ .. แต่งามทุกยามไป

O เอ็นดูหลานวัยเยาว์ .. ป้าเฝ้าพิศ
เห็น-แก้มเรื่อ .. ความคิด-ฤๅปิดได้
อีกแววตานั้นเล่า – ยิ่งเข้าใจ-
ช่างเผยความสดใส .. โดยไม่บัง !

O หากดวงตาอีกคู่ .. ยากดูออก
เหมือนบ่งบอกบางเรื่อง .. อยู่เบื้องหลัง
ที่ดูคล้ายเหม่อลอย .. เหมือนคอยฟัง-
เสียงแว่วดัง .. ร่ำล้อให้ทรมาน



.. แต่เพรงกาล ..

O แว่วยินไหม .. รำพันดวงขวัญเอ๋ย
ฝากให้ .. ลมรำเพยรำพึงผ่าน
ว่า .. ค่ำนี้แสงดาวคงร้าวราน
จาก .. ความหวานโชนช่วงในดวงตา

O จันทร์เอย .. เลื่อนขึ้นฟ้า .. ช้าช้าก่อน
ให้ความวอนเว้าปวง, แรงห่วงหา-
ได้ทอดเสียงกระซิบความ .. ส่งข้ามมา-
กล่อมหัวใจปรารถนา .. ผ่านราตรี

O ชะลอการเลื่อนดวงขึ้นสรวงฟ้า
เพื่อรอแสงในตารูปราศี-
ทอดทอแววสวาทสู่ .. ให้รู้ที-
รู้ท่า .. ความใยดี - ผู้มีใจ

O เห็นไหม .. แสงอ่อนโยนแต่โพ้นภพ
ทอดฝ่าพลบ .. ฝ่าฝัน .. ถึงกันได้
ฝัน .. ที่รอคาบช่วงแห่งดวงไฟ-
เชื่อมอาลัยผูกพัน .. ลงสัญญา

O หนึ่งหัวใจทะยานสู่ความรู้สึก
ดำดิ่งลึกลอดบ่วงความห่วงหา
เชื่อมอาวรณ์ช่วงฉายผ่านสายตา
ล่มทุกแสงจันทราจนล้าเลือน

O จันทร์เอย .. จันทร์เจ้า .. ช่วยเว้าวอน-
ความออดอ้อนรำบายลงป่ายเปื้อน-
ดวงใจผู้ห่วงละห้อย .. เพื่อคอยเตือน-
ให้ .. ถวิลทุกเขยื้อนขยับใจ

O ดู .. ธารดาวทอ-ดวงบนสรวงสวรรค์
แทนดวงตาทอฝัน .. ที่สั่นไหว-
ด้วยรูปรอยเจ้านั้น .. เช่นจันทร์ไกล-
แต้มรูปต่ายลงไว้ .. ที่ในดวง

O ช่างเนิ่นนานหนักหนา .. แต่ครานั้น
ก่อนรูปฉันทาชาติจะขาดช่วง
นับภาพซึ่งสุมใส่อยู่ในทรวง
ล้วน – รูปพวงดวงพักตร์จำหลักพร้อม

O ค่อยเบือนเหลียวสบลักษณ์ .. รูปพักตร์ล้ำ
มือกุมกำเรียวก้อย .. เอ่ยถ้อยกล่อม
หยาดน้ำตาร่วงตก .. ห้วงอกตรอม-
ก็แวดล้อมกาลลาด้วยอาลัย

O ฝ่าลานทุ่งรุ้งทองลอยล่องถึง
ธารดาวซึ่งทอส่องความผ่องใส
รอบวงกัปหมุนกาล .. ตราบนานไกล-
จนบรรจบรูปใจ .. เช่นในจันทร์

O ยังเป็นจันทร์ดวงเดิมที่เริ่มฉาย-
แสงลงป่ายเปื้อนโลก .. เมื่อโศกศัลย์, -
เสียงคร่ำครวญ-ล่มลาญแต่นานวัน
หลังรูปขวัญเผยกายต่อสายตา

O ยิ่งต่ายแต้มในจันทร์ .. เจ้าขวัญน้อย
เมื่อผ่านเผยรูปรอยมาคอยท่า
ก็สอดรับรูปฝันในสัญญา
เสน่หาในอก .. ฤๅยกพ้น ?

O ลมเยียบเย็นโรยฝ่าขอบฟ้ากว้าง
ในท่ามกลาง ดาวช่วงที่ร่วงหล่น
แรงอาวรณ์เวียนวก .. ในอกคน-
ก็เวียนจนอ่อนแรง .. แล้วแพงน้อย !

O ป่านฉะนี้ร่างนั้นในบรรจถรณ์
จะรุ่มร้อนเย็นเยียบหรือเงียบหงอย
หรือมองดาวไกลลิบตาปริบปรอย
หรือละห้อยห่วงหา .. ทั้งราตรี ?

O จน-นกค่ำส่งเสียงจำเรียงร้อง
แสงจันทร์ส่องฉาบฟ้า .. อวดราศี
ก็รับรู้อาลัยความใยดี-
ผ่านลมวีวาดสายรำบายความ

O แสงพรายประกายพรึกอันลึกลับ
ก็ค่อยพรับพรายดวง .. คล้ายหวงห้าม-
แรงอาวรณ์อาลัยพึงไหลลาม-
ล้อมรูปทรามสวาดิชู้แต่ผู้เดียว

O มวลเมฆดำมืดมนเคยหม่นเศร้า
และเวิ้งฟ้าเงียบเหงาเคยเปล่าเปลี่ยว
กลับเลื่อนรูปจนเห็น .. คล้ายเส้นเกลียว-
ของสายใยพันเหนี่ยว .. รูปเรียวนั้น

O แล้วค่ำก็ถูกกลืนด้วยคลื่นดาว
จนห้วงหาวไกลลิบกระพริบสั่น
แล้วลมก็ร้องร่ำเสียงรำพัน-
เพื่อโอบขวัญอบร่ำ .. ด้วยคำชาย

O เบื้องไกลพู้นเวิ้งว้าง .. ที่กลางหาว
กลาดเกลื่อนดาวลอยดวงขึ้นช่วงฉาย
หลากสีสันท่ามกลางแสงพร่างพราย
ก็เพียงหมายแสงช่วง .. ของดวงเดียว !

.
.
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
11 มีนาคม 2014, 06:49:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #9 เมื่อ: 11 มีนาคม 2014, 06:49:PM »

.. เช้าตรู่ เรือนริมน้ำ อยุธยา ..

O ภาพเบื้องหน้า .. งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว
ตาวับวาวชะเง้อคอย .. ชม้อยเหลียว
ข้าวในขันอุ้มถือ .. ด้วยมือเรียว
ความรื่นรมย์ก็กอดเกี่ยวทุกเสี้ยวใจ

O เพียงลมเช้าเฉื่อยโชย..อย่างโผยแผ่ว
พายวาดแล้ว-อ่อยเอื่อย, เรือเรื่อยไหล
คลื่นน้ำพลิ้วโยนระลอก..แผ่ออกไป
พร้อมริ้ววงน้ำไหว..คือใจรอ

O บรรจงหยิบจับของประคองถวาย
นอบน้อมกายมอบสู่ท่านผู้ขอ
หมายนัยธรรมผ่านเสียง..จะเพียงพอ-
ช่วยเติมต่อภูมิธรรมลงย้ำใจ

O ภาพ-พระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย-
กับงามหนึ่งรูปรอย..ที่ค่อยไหว-
ค้อมคอลงรับคำ..พากย์ธรรมนัย
พาเงื่อนเหตุอาลัย..พลอยไหววน

O แสงเช้านั้นรองเรืองที่เบื้องหน้า
เมื่อสบตาปลาบปลั่ง..อีกครั้งหน
ช่อดอกไม้, ขันข้าว, เนตรวาวจน-
สะท้อนพื้นสายชล-วาบ-วนเวียน

O จวบแว่วเสียงสาธุ..บรรลุโสต
เช่นกาลโชติช่วงแสงเข้าแปลงเปลี่ยน
คือใจตรองธรรมพากย์..พลอยพากเพียร-
เอาปัญญาตัดเตียน..บ่งเสี้ยนแซม

O ชื่นเช้ากับนัยธรรม..จากคำพระ
เมื่อสุดผละแววตา..จากหน้า-แก้ม
พาอ่อนหวานรำบายลงก่ายแกม
ก่อนป่ายแต้มพักตร์พิไลติดนัยน์ตา

O จึงเช้าชื่น..ด้วยหมอก, ปวงดอกไม้-
น้อมแนบไว้ด้วยละห้อยเฝ้าคอยหา
ช่วงเช้านี้ลมเห่..กาลเวลา
เกสรา-ภุมรินก็บินล้อม

O ไหว้พระ..อธิษฐานเพื่อกาลหน้า
สืบคุณค่าตั้งรอ..ร่วมหล่อหลอม
รูปหน้าหรือนัยธรรม..หนอ-ด่ำดอม
จนดูเหมือนจำยอม...อย่างพร้อมใจ

O กราบพระ..บำบวงผ่านห้วงสินธุ์
หวังบรรลือแรงถวิล..จนสิ้นได้
จังหวะพายจ้ำจ้วง..หวัง-ทรวงใคร-
จักหวามไหวตามระยะจังหวะแรง

O กราบพระ..บำบวงผ่านท่วงที
แววตาที่อ่อนโยนเริ่มโชนแสง
พร้อมความหวานหอมล้ำ..ที่สำแดง
ลงเติมแต่งโลกธรรม..ล้อมรำบาย

O ภาพ-กุศลสืบสาน, ดอกมาลย์หอม
ก็งามพร้อมแสงสรวงขึ้นช่วงฉาย
ความอ่อนหวานอ่อนไหว..หัวใจชาย-
ก็กำจายฝากคลื่น.แนบผืนน้ำ

O ร่ำรอภาพ-บุญกุศลให้วนกลับ
เพื่อสำหรับปลาบปลื้ม..แสนดื่มด่ำ-
จักวนรอบเวียนรับ..ลำดับกรรม
เอาหยั่งย้ำอาวรณ์..แนบนอนทรวง

O ภาพสาวน้อย..ละม่อมหน้า..ที่ท่าน้ำ
ค่อยตอกย้ำอกใจพลอยไห้หวง
กราบพระดูแช่มช้อย, คำถ้อย-ปวง-
หวังผ่านล่วงถึงใคร...หนอใจนั้น..?

O น้ำกระทบกราบเรือ, แสงเรื่อส่อง-
ก็เหลื่อมต้องผ่านแต้มสองแก้มนั่น
ตากระทบรูปเยาว์, เมื่อเช้าวัน-
ก็เฝ้าฝันใฝ่อยู่...ไม่รู้แล้ว

O คล้ายเสียงธรรมล้อมโลก..เข้าโบกโบย
เมื่อลมเช้าเฉื่อยโชย..ยังโผยแผ่ว
ใจคนฤๅต้องสาป..เมื่อภาพแวว-
ตาผ่องแผ้วผ่านนัย..รอไขว่คว้า

O ก่อนเสียงธรรมจางหายกับสายลม
เมื่อปรารมภ์มุ่งมั่นขอฟันฝ่า
หมายเอื้อมเหนี่ยวพวงพะยอมให้น้อมมา
ร่วมรับรองคุณค่า..แรงอาลัย

O ลมเช้ายังเฉื่อยโชยอย่างโผยแผ่ว
เมื่อดวงแก้วบนฟ้าทาบทา..สมัย
ปลายปีกนกผกบินสู่ถิ่นไกล
เมื่อหัวใจถวิลเห็นไม่เว้นวาง

O ภาพพระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย-
เหมือนดั่งคอยเฝ้าอุบัติขึ้นขัดขวาง
พร้อมรูปมือเรียวงามอยู่ท่ามกลาง-
ม่านหมอกพรางขุ่นขาวแห่งเช้าวัน

O ผมหล่นล้อมวงหน้า..เมื่อหน้าก้ม
มือประนมคอค้อมอยู่พร้อมนั่น
ด้วยรูปและโดยใจของใครกัน-
แต่งเป็นสัญญาร่าง..ขึ้นขวางไว้

O ภาพ-จีวร, ลำเรือ, แดดเรื่อส่อง,
พักตร์ผุดผ่องรูปขวัญ, เช้าวันใหม่-
ก็เคลื่อนบทบาทล้อมเข้าย้อมใจ
กลางลมไหววาดวี..ในที่นั้น

O ภาพ-จีวร, ลำเรือ, ผิวเนื้อเนียน,
เนตรวกเวียนเหลือบชะม้าย, น้ำส่ายสั่น-
ก็เคลื่อนผ่านวูบไหวดั่งไฟควัน-
แทรกส่วนสัญญารูป..โลมลูบใจ

O จนเสียงธรรมจางหายกับสายลม
เหลือเพียง-เนตร, เส้นผม..เกินข่มไหว-
เข้ารายล้อมดวงตา..เกินฝ่าไป-
พ้นผ่านรูปเพ็ญพิไล..ของใครแล้ว !

.
.
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
11 มีนาคม 2014, 07:20:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #10 เมื่อ: 11 มีนาคม 2014, 07:20:PM »

.. หัวใจที่ร่ำรอ ..

O ปล่อยเถิด .. ความในทรวงให้ร่วงหล่น
ร่วงลงบนเปลี่ยวเหงาอย่างเบา .. แผ่ว
ปล่อยนัยน์ตาอ่อนโยนได้โชนแวว-
ความผ่องแผ้วพริ้มพรับ .. ให้รับรู้

O ยิ้มรับภาพงดงาม .. อยู่ท่ามกลาง-
การเร้นพรางอาวรณ์ .. แอบซ่อนอยู่
วันแล้วและวันเล่า-ที่เฝ้าดู-
ความนัยชู้ .. จากชาย .. ผู้หมายเชย

O คล้ายว่าแรงสุมซ่อน .. อาวรณ์นั้น-
จะไหวสั่นรูปรอย .. ให้ค่อยเผย-
ผ่านแววตาอ่อนละมุน .. แสนคุ้นเคย
แทนการเอ่ยถ้อยความออกตามใจ

O แววตากอปรคำนึงหวานซึ้งอยู่
ก็ทอดทอนัยสู่ .. จนรู้ได้-
ว่า-วงรอบเสน่หาความอาลัย
ค่อยเวียนรอบวนไหว .. ที่ใจคน

O ร้างรูปดาวบนฟ้า .. กล่อมราตรี
เพียงเรื่อยรี้ลมล่วง .. โลมห้วงหน
เหลือจันทร์แรมลอยเรียว -โดดเดี่ยวบน-
ฟ้า, ใจคน..กลับช่วงกว่าดวงวัน

O เหมือนงดงามเรื่อเรื้อง .. ที่เบื้องหน้า
หยัดหยั่งบางคุณค่า .. เบื้องหน้านั่น
แล้วยอบทบาทสู่ .. ให้รู้กัน
ลบเงียบงันวันวานให้ผ่านพ้น

O หลัง-ม่านหมอกบังพราง .. พ้นสางตรู่
ความนัยชู้ทั้งปวง .. ก็-ร่วงหล่น
หลัง-วันเลื่อนลอยดวง, ในทรวงคน-
ความนัยอบอุ่นล้น .. ก็หล่นรอ

O พร้อม-สายลมอุ่นอ้อนแสนอ่อนโยน,
ดอกมาลย์โอนหอมยิ่งทุกกิ่งช่อ
รูปธรรม..ใจแนบลงแอบ-ออ
ก็อยู่ล้ออาลัย..คอยไขว่คว้า

O เตรียบความหมายนัยคำ .. หวังทำให้-
บางอกใจวนวิ่งเสียยิ่งกว่า-
เมื่ออกอุ่นอ้อมแขนห้อมแหนมา
เนตรพรายพร่าสั่นไหว .. ด้วยนัยนั้น

O รื่นรมย์อยู่ดีไหม .. หัวใจเจ้า
กับยั่วเย้าอารมณ์ให้ซมสั่น
รื่นรมย์ทั้งหัวใจ-ของใครกัน ?
กับรำพันเร้ารัว .. หยอกยั่วใจ

O เถิด-ให้เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
เก็บทุกแววหวานซ่อน .. อย่าอ่อนไหว
อย่าพลั้งเผยแววตา .. ความอาลัย-
เผลอออกให้เขาเห็น .. ความ เป็น มี

O ให้รับรู้ความนัย .. แต่ในฝัน
ด้วยว่านั่น-คือหลักแห่งศักดิ์ศรี-
ของอาวรณ์เชิงชู้ .. กุล-ผู้ดี
จากใจที่แฝงเร้น .. ขีดเส้นทาง

O โอ – ลวดลายชาติภพ .. บนคบสูง
จะเหมือนยูงอกแอ่นรำแพนหาง-
อยู่กับฝูง .. งดงามอยู่ท่ามกลาง-
การลอบเร้นอำพราง .. ได้อย่างไร ?

O ยิ้มรับใจวุ่นวาย .. ที่คล้ายว่า-
เผลอเผยอาวรณ์นั้น .. ด้วยหวั่นไหว
รอการแกว่งสั่นรัว .. บางหัวใจ-
จะแว่วให้รับรู้ .. ให้ดูแล

O แว่ว .. มาเถิดอกใจผู้ใฝ่ฝัน
หากมุ่งมั่นร่วมเคียง .. อย่าเพียงแค่-
เก็บซ่อนไว้ปิดกั้น .. ให้ผันแปร-
แล้วเฝ้าแต่ซ่อนเร้น .. ความเป็นไป

O เพียงเพื่อความเงียบงันแห่งวันวาน
จัก-เคลื่อนผ่านหวานหอม .. รายล้อมให้-
การเผยรูป, สั่นรัวแห่งหัวใจ-
ค่อยสั่นไหวเผยรอบ .. ให้ปลอบโยน !

O กลางสายลมโผแผ่ว .. เหมือน-แว่วดัง-
เสียงกดข่ม, เหนี่ยวรั้ง .. ค่อยพัง-โค่น
รอบอาวรณ์, แหนหวง .. ใคร-ช่วงโชน-
เหมือน-ถ่ายโอนโอบแน่น .. ด้วยแขนเรียว !

.
.
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
12 มีนาคม 2014, 06:19:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #11 เมื่อ: 12 มีนาคม 2014, 06:19:AM »

.. เช้านั้น ..

O ภาพวันนั้น .. งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว
ควันจากข้าวกรุ่นลอย .. คน-คอยเหลียว
หมอกหม่นในยามสาง .. ถูกร่างเพรียว-
ล่มลาญความเปล่าเปลี่ยว พ้นเที่ยวทาง

O เริ่มวัน, น้ำแล่นริ้ว, ลมพลิ้วผ่าน
รูปพักตร์คราญรออยู่แต่ตรู่สาง
เพื่อน, ผู้สูงวัย, ดอกไม้วาง-
บนถาด .. ในท่ามกลางการรอคอย

O ภาพ-เรือน้อย, วงคลื่นบนพื้นน้ำ
พายจ้วงจ้ำ, พลิ้วแล้ว .. อย่างแผ่วค่อย
แสงแรกวันเริ่มส่อง .. เรือล่องลอย
คน-เหลือบตาเฝ้าคอย .. ชม้อยชม้าย

O ขับรถตามเพื่อนมา .. ด้วยว่าใจ-
มีรูปใครร้อยรัด .. เกินปัดป่าย-
จน-รูปพักตร์-สายตา .. สบตาชาย-
แววที่ฉายก็กระหวัดเข้ารัดรึง

O รูปแห่งธรรม .. เคลื่อนรอยจนคล้อยลับ
รูปเนตรพรับพริ้มอยู่ .. ก็จู่ถึง-
รายล้อม .. บ่งบัญชา ให้ตราตรึง-
แต่รูปหนึ่งเดียวนี้ .. อย่ามีคลาย !

O เห็นถึงความรมย์รื่น .. ริมผืนน้ำ,
แววดื่มด่ำในดวงตาช่วงฉาย
เห็นแววตาก้ำเกิน .. ความเขินอาย-
นั้น-เวียนว่ายบทกรรม อยู่ตำตา

O เห็น-เมือความอ่อนโยน .. นั้น-โชนเชื้อ
ความก่ำเรื่อก็ป่ายแต้มทั้งแก้ม .. หน้า
เห็น-ถึงความอ่อนหวานแผ่ซ่านมา
ให้พี่, ป้า มองเห็นด้วยเอ็นดู

O ระยิบเอย .. แววตาใต้ฟ้าต่ำ
ผ่องผกายหวานล้ำ .. ออกย้ำสู่
เผยอารมณ์อ่อนน้อย .. ขึ้นช้อยชู-
จนอารมณ์อีกผู้ .. รับรู้ความ

O หม่นมัว .. เข้าสายก็หายสิ้น
เมื่อหอมรินล้อมฝัง .. โลกทั้งสาม
ลมแผ่ว, สูรย์ระยับ .. ตาวับวาม-
ในคาบยาม .. ไม้ใบแกว่งไกวตัว

O ปีกผีเสื้อลวดลายค่อยบ่ายบิน
เมื่อทั่วถิ่นเคลื่อนพ้นความหม่นหลัว
โบกกระพือปีกนั้น..จนสั่นรัว
กับเพียงชั่วแสงสาง..เริ่มวางรอย

O งดงามในรุ่งเช้าอันเหงาเงียบ
หยาดเย็นเยียบทั้งปวง..ก็ร่วงผล็อย-
ตามลมลูบแดดต้อง, ปีกล่องลอย-
เลื่อนลายอ้อยอิ่งอยู่ในหมู่พรรณ

O เม็ดน้ำค้างหยาดพราว..หมอกขาวขุ่น
แดดอบอุ่นโอบผ่าน..ก็ปานฝัน
พลิกพลิ้วปีกบางเบาใต้เงาวัน-
เกาะกลีบคั้นหวานอยู่..ไม่รู้ลา

O ลมแผ่วผ่านโลมลูบ..หมอกวูบไหว-
ท่ามกลางไอแดดเรื้องอยู่เบื้องหน้า
ปีกลวดลายแผ่กางโบกคว้างมา-
เมื่อยอดหญ้าน้ำค้างเริ่มจางรอย

O เรียวเรณูหอมหวานเชิดก้านรอ
ให้ภู่ออแอบอ้อนเกสร-สร้อย
เห็นปีกบางกลาดเกลื่อนค่อยเลื่อนลอย-
ตฤปหวานอ้อยอิ่งอยู่อย่างรู้รส

O หวานหอมเยี่ยงใดเล่าจะเท่าที่-
เรณูชี้เชิดคอยนั้น..ค่อยหยด
หรุบปีกบางเกาะเกี่ยว..คลานเลี้ยวลด-
ค่อยจ่อจดหวานหอม..อย่างยอมตัว

O อุ่นไอละอองแดดค่อยแวดล้อม
เมื่อลมพร้อมพาระลอก..เข้าหยอกยั่ว
มาลีพรรณส่ายดอก..พร้อมหมอกมัว-
ก็เคลื่อนตัวล่มลาญแต่กาลนั้น

O ปลายปีกนกโบกคว้างที่กลางฟ้า
พร้อมแววตาของใคร..หนอไหวสั่น ?
รูปปีกเหยียดแผ่ช่วง..บังดวงวัน-
เมื่อดวงตาคู่นั้น..คล้ายสั่นสะทก

O ปีกนกยังคลี่กางที่กลางฟ้า
เมื่อแววตาเร้ารุม-ความ..สุมอก
เหลือบแววปรอยปรอยปริบ .. เฝ้าหยิบยก-
ขึ้นสาธก-แทนถ้อยให้คอยประเมิน

O ปีกผีเสื้อเกาะกุมโกสุมหอม
พักตร์ละม่อมก็อุทธัจด้วยขัดเขิน-
จากแววตาล่วงล้ำคอยก้ำเกิน
ครบครันการหยอกเอิน-สะเทิ้นใจ

O สายหยุดหยุดหอมสิ้นแต่สิ้นสาย
หลังแดดฉายโชนแต้มความแจ่มใส
รูปเอย..แต้มแววตา-รูปหน้าใคร-
จะรู้ตัวบ้างไหม..รูปใครกัน ?

O สิ้นสาย ผ่านสาย แล้วสายสวาดิ
ลดามาศก็อวลกลิ่นล้อมถิ่นฝัน
เมื่อวางภพวางชาติมาพาดพัน-
ฤๅอาจเบี่ยงเลี่ยงขวัญคลาดกันพ้น..?

O พร้อมแววตาอ่อนโยนนั้นโชนช่วง
ความเงียบเหงาทั้งปวงก็ร่วงป่น
ปีกนกเหยียดเต็มช่วงที่สรวงบน
เมื่ออกคนละห้อยเห็นไม่เว้นวาย !

O สิ้นช่วงการรอคอยละห้อยหา
เมื่อแววตาอ่อนโยน .. นั้น-โชนฉาย-
ความอ่อนหวานลึกล้ำ .. ร่วมรำบาย-
ส่งความหมายผ่องแผ้ว .. ไม่แล้วลา


.. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ..

O กระโปรงดำเสื้อขาว .. ค่อยก้าวย่าง
แก้มคิ้วคางเนตรคม .. งามสมหน้า
มีจิตใจมุ่งมั่นคอยบัญชา
เร่งศึกษาเรียนรู้ .. ไม่ดูดาย

O ใจเลื่อนลอยล่องไปสู่ใครหนึ่ง-
ที่คำนึงซึ้งอยู่ไม่รู้หาย
แต่จากกันปลีกเร้น ..ไม่เห็นกาย
เหมือนสิ้นสายเยื่อใย .. ร้างไมตรี

O บ่อยครั้งที่ใจหญิง..ทั้งนิ่งเงียบ
หวังปรุงเปรียบความหมายออกคลายคลี่-
เพื่อหล่อเลี้ยงเจตจินต์..ให้ยินดี-
ต่อครั้งที่สร้างบุญ .. เนื่องหนุนกัน

O นั่งเหม่อลอยปล่อยฝัน..สู่วันเก่า
ด้วยเงียบเหงาหัวใจ..ด้วยไหวหวั่น
ด้วยเหว่ว้า..เกินคำจักรำพัน
ใจเอยหัวใจขวัญ...เจ้าสั่นคลอน

O หนังสือวางตรงหน้า..ใบหน้าก้ม
หากสุดข่มใจจดกับบทสอน
บางความหมายรุมเร้า..แสนเว้าวอน-
พาความอ่อนหวานพร้อม..เข้าล้อมใจ

O จนอีกปลายม้านั่ง...คล้ายดั่งเคลื่อน
คล้ายใครนั่งแล้วเขยื้อน..ขยับใกล้
จนวงหน้ารูปเรียว..เบือนเหลียวไป
แล้ว..ดวงใจดวงนั้น..ก็สั่นสะท้าน...!

O นิ่งขึงตะลึงงัน..เมื่อพลันพบ
คล้อยบรรจบรูปฝัน..เมื่อวันผ่าน
ที่..ระทึกเต้นรับอยู่นับนาน
คือใจคราญหวานล้ำ..เข้ากล้ำกราย

O เถิด-แววเนตร..ฝืนอาย..รำบายบอก
ให้ระลอก..อ่อนโยน..นั้นโชนฉาย-
แรงอาวรณ์..ซาบซึ้ง..ต่อหนึ่งชาย
สืบความหมาย..สัมพันธ์..นิรันดร

O เมื่อมือรวบ..มือนุ่ม..เข้ากุมกอด
จิตฤๅคลายพร่ำพลอด..กับออดอ้อน
เมื่อเนตรคราญผ่านเงา..แทนเว้าวอน
จิตก็อ่อนโยนเหลือ..ด้วยเยื่อใย

O ยิ้มให้ด้วยหัวใจ..ที่ใฝ่ถึง
ด้วยซาบซึ้งต่อกัน..ด้วยหวั่นไหว
ด้วยถวิล..ปรารถนา..ด้วยอาลัย
ด้วยเยื่อใย..สายสวาดิ..พันพาดทรวง

O มือตระกองรูปหน้า...สบตาจ้อง
ใจสี่ห้อง..ผ่องแผ้วไม่แล้วล่วง
พระเอย..ฤๅนัยคำ..ที่บำบวง
จะเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ

O เคลื่อนคล้อยเกี่ยวก้อยกุม..ลับมุมตึก
ร่มเงาพฤกษ์บดบัง..คล้ายดั่งม่าน-
ก็รวบร่างจบจูบ..จน-รูปคราญ-
ใจหวิวหวั่นสั่นสะท้าน..ระทวยองค์

O อ่อนไหวด้วยอ่อนหวาน .. ใครผ่านสู่
เมื่อรับรู้เร้ารุม .. ก็ลุ่มหลง
ท่ามระลอกชื่นชู้ .. ฤๅรู้ปลง
เหลือแต่ร่วมจำนง .. ร่วมวงกรรม

O มือเกาะแขน-เนตรรื่น .. ใจตื่นรับ
ร่วมลำดับอภิรมย์โบยบ่มร่ำ
ขณะสูรย์พร่างแพร้ว .. ลมแผ่ว-พรำ
กระซิบคำ-คำหนึ่งก็ตรึงทรวง

O จับจูงมือก้าวย่างในทางเที่ยว
ความเปล่าเปลี่ยวใจแก้วก็แล้วล่วง
เหลือหวานหอมหลอมหลั่ง .. ใจทั้งดวง
ทั้งแหนหวงห่วงหาทั้งอาวรณ์

O รอเถิดรอบ .. รมยารูปราศี
แม้นกุมเก็บใจนี้ .. หลบลี้-ซ่อน
จะตามสืบเสาะหาด้วยอาทร
ตราบมอดมรณ์วงวัฏฏ์เป็นภัสม์ธุลี

O ล่ำลาเมื่อ .. รอบกาลเคลื่อนผ่านคล้อย
ให้ทราบรอยอาวรณ์ .. ช่วงตอนที่-
โหมขึ้นสอบน้ำใจ .. หัวใจมี
เมื่อจักลี้รูปพราก .. ไปจากกัน

O เสาร์นี้จะมาใหม่ .. รับไปเที่ยว
ก้อยรอเกี่ยวก้อยนวล .. ร่วมทวนฝัน
ตลาดน้ำดำเนิน .. นานเนิ่นวัน
ไม่เคยหันกายเยือน .. เข้าเรือนปี

O ร่างชายหนุ่มเคลื่อนลับไปกับตา
แต่งร่องรอยรมยา .. ทำหน้าที่
มีเนตรหนึ่งระยับช่วง .. บ่งท่วงที-
ของรูปรอยสุนทรีย์ .. โหมลีลา

O หัวใจสาวเจ้าเอย .. ฤๅเคยคิด
หลังแนบชิด .. แต่จะคอยละห้อยหา
อ้อมแขนอุ่น .. ยังอุ่นร่างไม่สร่างซา
จุมพิตจบเนิ่นช้า .. ก็คาใจ !

.
.
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
12 มีนาคม 2014, 07:52:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #12 เมื่อ: 12 มีนาคม 2014, 07:52:PM »

.. ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ..

O เดินผิวปากเข้าบ้าน .. สำราญรื่น
นึก-แววตื่นในตา .. ยามพร่าไหว
เมื่อปากจบแก้มเนียน .. ที่เปลี่ยนไป-
คือก่ำเรื่อโลมไล้ .. แก้มใครนั้น !

O รูปเอย .. รูปตรูแต่ตรู่สาง
รอใครย่างย้อนกลับมารับขวัญ
เตรียมกายเตรียมใจอยู่ใกล้กัน
อ่อนหวานนั้นล้อมทรวงไม่ล่วงลา

O หลังคาบยามพันแสงขึ้นแต่งสี
เมื่อใครหนึ่งถึงที่ .. หนึ่งปรี่หา
มือรวบมือเรียวไว้ .. จ้องนัยน์ตา
ค่อยจบหน้าผากแก้ว .. เพียงแผ่วเบา

O ก่อนคนขับ .. ออกรถก็จดจ้อง
แก้มเนียนผ่องผาดล้วน .. เนื้อนวลเจ้า
ก่อนชะโงกจบจูบ .. แก้มรูปเยาว์-
ที่ใฝ่เฝ้ามุ่งหมายมาหลายวัน

O แก้มเอย แก้มเนียน .. เมื่อเปลี่ยนสี
บอกท่าทีอยู่พร้อม .. รอกล่อมขวัญ
จะซ่านสีเรื่อสู่ .. ให้รู้กัน-
ว่าเรื่อนั้น-เลือดแดง .. จากแหล่งทรวง

O เนตรเอยเนตรผกาย .. เหมือนชายอ้อน
ผ่านความหมายเว้าวอนให้ย้อนช่วง
อิ่มเอิบท่ามกลางภวังค์ .. ใจทั้งดวง-
อาวรณ์หวงลึกล้ำ .. ก็จำเริญ

O คนขับรถรื่นรมย์ .. ต้องข่มยิ้ม
เอ็นดูคนแก้มอิ่ม .. ตาพริ้ม- เขิน
เมื่อรถถึงตลาดน้ำ .. ที่ดำเนิน
คนหลับเพลินก็ตื่น .. ด้วยรื่นรมย์

O จูงมือรูปแก้มอิ่ม .. ไปริมน้ำ
เรือหลากลำจอดเรียง .. คนเสียงขรม
พายหลบหลีก .. ตามติดให้พิศชม
จนเนตรคมวาบหวัง .. อยากนั่งเรือ

O เรือลำน้อยลอยลำ .. พายจ้ำ .. จ้วง
ใจสองดวงเพลิดเพลินจำเริญเหลือ
มีหอมหวานละเมียดละมุน .. คอยจุนเจือ
เติมแต่งเชื้ออาลัย .. พาไหววน

O ดูจอแจอึดอัด .. คนยัดเยียด
เรือเบียดเสียดกระแทกลำซ้ำซ้ำหน
พายคอยค้ำ .. ขัด-คา .. เพื่อพาคน-
ท่องสายชล .. ทัศนาบรรดามี

O เรือสวนลำต่างเที่ยว .. พลันหลียวเห็น-
รูปงามเด่น .. ท่วงท่า .. กอปรราศี
พร้อมเพื่อนฝูงมากหน้า .. ล่องวารี
คือคุณป้าคนดี .. วันนี้-มา

O เห็นแต่ไกล .. จึงค้อมคอน้อมไหว้
และเมื่อใบหน้าเรียว .. เจ้าเหลียวหา
เหมือนเผยให้พิศเล็ม .. อยู่เต็มตา
เป็นพิศป้ามองเห็น .. ว่าเอ็นดู

O ค่อยค่อยจ้วง ค่อยค่อยจ้ำ เรือลำน้อย
คนก็คอยชม้อยตา .. สบตาอยู่
แดดอุสุมโลมแต้ม .. เอาแก้มตรู-
ปลั่งเลือดฝาดรอยชมพู .. น่าดูนัก

O ถึงบ้านใหญ่มีเตาเคี่ยวน้ำตาล
ก็พาคราญแวะสู่ให้รู้จัก-
ผ่านกระทะเดือดปุด .. ก็หยุดพัก
พายจ้วงตักให้ชิมลองลิ้มรส

O น้ำตาลเคี่ยวหวานหอม .. คนล้อมหมู่
อีกหวานหอมพร้อมอยู่ .. เหมือนรู้บท
กลิ่นหอมโชยจากกระทะไม่ละลด
ใจก็จดจองหอมไม่ยอมล้า !

O มือเรียวเจ้าเกาะแขน .. กำแน่นอยู่
คอยมองเมียงเฝ้าดู .. เพื่อรู้ว่า-
จากขั้นปลาย .. ย้อนเห็น .. ความเป็นมา
ด้วยสายตา .. พิศเฝ้า อยากเข้าใจ

O เหงื่อซึมตามไรผม .. ตาคมเจ้า-
ก็วาบเงารื่นรมย์ .. เกินข่มไหว
มือเกาะแขนอยู่พร้อม .. ฤๅยอมไกล-
จากผู้ใฝ่เฝ้าครอง .. ทุกห้องทรวง

O จวบบ่ายคล้อยถึงตอนต้องย้อนกลับ
แววตาเอยวามวับ .. ไม่ลับล่วง
เมื่อหอมหวานที่ประดังใจทั้งดวง
ยังคงช่วงแรงอยู่ไม่รู้จาง

O ดอนหอยหลอด .. ทอดตัว .. คล้ายยั่วเย้ย
จะผ่านเลย .. ก็เอ็นดู-คนคู่ข้าง
จิตอ่อนโยนอ่อนไหว .. น้ำใจนาง
คล้ายจะพร่างพรมหยด .. คอยรดใจ

O แวะเข้าหาร้านนั่ง .. มีบังแดด
ท่ามกลางแวดล้อมทะเล .. คอยเห่ให้
หมู่พฤกษ์ทอดร่มผ่าน .. กิ่ง..ก้าน..ใบ
ลมแผ่วไกวกวัดคลื่น .. อยู่ครื้นเครง

O ปวงสำรับกับข้าว .. ช่วยเจ้าสั่ง
ก่อนเอื้อมโอบด้านหลัง .. คนนั่งเพ่ง-
เหม่อมองแสงแดดระยับ .. คล้ายกับเกรง-
กาลจะเร่งรุดตอน .. ไม่ย้อนคืน

O ลมอุสุมรุมร้อนเข้าย้อนย้ำ
พื้นผิวน้ำก็ประดุจจะสุดขืน
ค่อยค่อยไหวระลอกโถม .. อยู่โครมครืน
พร้อมใจตื่นแหนหวง .. เกินหน่วงแล้ว !

O เข้มครามหมู่เมฆขาวใต้ราวฟ้า
สกุณาส่งเสียง .. ยินเพียง-แผ่ว
ลำตะวันสาดสรวงทุกช่วงแนว
ส่งพราวแพรวโลมอาบทุกบาปบุญ

O เพียงครั้งคราวห้วงฝันชีวันหนึ่ง
ความตราตรึงบรรจบแสนอบอุ่น
กระแสธารเสน่หาได้การุญ
เอื้อละมุนละไมหวาน .. วาบผ่านใจ

O จึงครั้งนั้นไพจิตรนิมิตช่วง
โลกทั้งปวงปรากฏความสดใส
ถ้วนรสหวานกลิ่นหอมพะยอมใด
เหมือนหลั่งให้อบร่ำทุกค่ำคืน

O วันจะเลื่อนเดือนจะลับไม่รับรู้
เหลือเพียงผู้คะนึงหาเกินฝ่าฝืน
เปลื้องความหมายแจ่มชัด .. ทุกหยัดยืน
จนยากกลืนกลบละมุนอบอุ่นนั้น

O เพียงคราวครั้ง .. ตรึงติดในจิตหนึ่ง
ความคิดถึงบีบใจจนไหวหวั่น
คมอาวรณ์เสียดชีพคอยบีบคั้น
เกินบากบั่นก้าวถอยจากรอยกรรม

O คือร่องรอยบริบทความสดชื่น
พร้อมรมย์รื่นบรรจบให้อบร่ำ
ป่นมดเท็จเจ็บแสบ .. เคยแอบอำ
กลบชอกช้ำ .. ด้วยคุณค่า ในท่าที

O หวานเอยหวาน .. ชายตอบอีกรอบแล้ว
ส่งพร่างแพร้วเอ่อกมลแทบล้นปรี่
กลบอดีตกลืนยุค .. เคยคลุกคลี
จนหมดที่หมดทาง .. ระหว่างกัน

O ร้อยเป็นห่วงผ่านลมที่บ่มพัด
หวังเลาะรัดบ่มยิ้มกลางคิมหันต์
งามเจ้าเหมือนแรงหน่วงจากช่วงบรรพ์
ให้มุ่งมั่นแต่เห็น .. ไม่เว้นวาย

O โอบเอวรูปอ้อนแอ้น .. พักตร์แหงนเงย
เนตรเจ้าเผยอ่อนโยน .. ออกโชนฉาย
ด้วยอาลัยหวานละมุนแนบอุ่นอาย-
กับอกชายอ้อมแขน .. เจ้าแอ่นพิง

O เกศาหอมเสียดส่าย .. อยู่ใต้คาง
อวลกรุ่นเนื้อเนียนนาง .. จากปรางหญิง
ตรงหน้า .. ทะเลกว้าง .. เวิ้งว้างจริง
หากที่อิงแอบใจ .. แสนใกล้ชิด

O จวบคล้อยค่ำจึงขับรถกลับบ้าน
แสนเอ็นดู .. รูปคราญสำราญจิต
เจ้าเอียงหน้าเนตรชม้อยเฝ้าคอยพิศ
ก็โดยฤทธิ์เสน่หา .. เกินกว่ารั้ง

O สำรวจจ้องมองหน้า .. แววตายิ้ม
รูปแก้มอิ่มตัวเองก็เปล่งปลั่ง
บัดดล ! รถก็หยุด .. คนสุดยั้ง
จบปากฝังแก้มอิ่ม .. ไว้พิมพ์ใจ

O นิ่งนานจนอกใคร .. เริ่มไหวหวั่น
เมื่อเลื่อนจบปากนั้น .. คนสั่นไหว
อยู่อ้อยอิ่งนิ่งนาน .. ราว .. คว้านใจ
ตราบยินหอบโหยไห้ .. จากใจนั้น

O ก่อนค่อยเคลื่อนรถต่อ .. อย่างรอรี
เมื่อแห่งที่หัวใจ .. คลายไหวสั่น
แต่ละจบจูบย้ำ .. คือสัมพันธ์
จำหลักมั่นคงอยู่ .. ฤๅรู้เลือน

O รอยยิ้มวับวามแล้วในแววตา
และเหมือนว่ารอระยับ .. เพื่อขับเคลื่อน-
เอาท่วงทีรูปจริตเข้าติดเตือน
ทุกขยับหรือเขยื้อน ฤๅ-เคลื่อนพ้น ?

O ในความหมายเผยออก .. เหมือนดอกไม้-
ต้องลมไหวเอนช่อ .. ใช่-รอหล่น
หากเพื่อโปรยกลิ่นหอมออกล้อมลน
ให้แห่งหนรมยา .. รสมาลี

O ในแววตาสื่อผ่าน .. รูปคราญเอ๋ย
ราวผ่านเย้ยหยอกยั่วให้ตัวพี่-
โอบรูปเนื้อเนียนไว้ .. ด้วยใยดี
อย่าได้มีลังเลสักเวลา

O ด้วยแววตาส่งผ่าน .. รูปคราญเจ้า
ช่างรุมเร้าล้อมกักอยู่หนักหนา
ดูเถิดนั่น .. ท่วงทีกอปรลีลา
เหมือนแววสาแก่ใจ .. วาบไหวล้อ !

O โอ งามเหมือนจะตามเข้าลามล่วง
ลงแทรกทรวงเว้าวอน .. ออดอ้อนขอ-
แนบติดตรึงรุมเร้าพะเน้าพะนอ
อยู่ร่ำรอปรารถนาแรงอาลัย

O โอ งามเหมือนติดตามเกินห้าม .. หัก
ค่อยรายล้อมรูปพักตร์จำหลักให้-
ตรึงในแววตาผู้รับรู้นัย
เพื่อมอบใจสู่มือ .. ให้ถือครอง !

.
.
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
12 มีนาคม 2014, 07:56:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #13 เมื่อ: 12 มีนาคม 2014, 07:56:PM »

.. พศ.๒๔๒๘ ..

O บริบทงดงามแห่งยามเช้า
หมอกทึมเทารอบเรือนค่อยเลือนล่อง
แสงตรู่สางโอบเอื้อรูปเนื้อทอง-
ที่เผยรูปผุดผ่อง ในห้องเดิม

O ห่างหายไปนับเดือน .. จากเรือนพ่อ
โดยช่วงต่อสองกาล .. เคลื่อนผ่านเสริม
อีกคลื่นความถี่แสง .. ซ้อนแสงเดิม-
เข้าแต่งเติมโลกธรรมอยู่ตำตา

O แจ้งสิ้นถึง .. เงียบงามแห่งยามเพรง
กับรุดเร่งทุกเรื่องที่เบื้องหน้า
ความสับสนรอบด้านที่ผ่านมา
อีกแววความปรารถนาในตานั้น !

O ยิ้มรับความหวานหอมในอ้อมกอด
ความ, คำ-ออดอ้อนใส่จนใจสั่น
ยิ้มรับความอ่อนหวานที่ปานทัณฑ์-
ล้อมรัดขวัญฝากรักเข้าปักทรวง

O ขณะความมืดดำ .. ยังร่ำไร
ความรักแรงอาลัย .. อันใหญ่หลวง-
ค่อยแทรกลงหลอมหลั่งใจทั้งดวง
ให้แต่ห่วงละห้อยเห็น อยู่เช่นนั้น

O น้ำตาผู้บำราศ .. ค่อยหยาดรื้น
พร้อมความอื้นโอดห่ม .. ให้ซมสั่น
อาวรณ์ความอ่อนหวานแห่งวานวัน
ที่จักล่ามรัดขวัญตราบวันวาย

O ลำแสงสุกสว่างที่กลางห้อง
เคยครอบร่างเปิดช่องพาล่องหาย
และเส้นทางเดียวกันพาผันกาย-
คืนกลับให้เดียวดาย .. อยู่รายล้อม !

O ลับสิ้นแล้วรูปชายผู้สายสวาดิ
จักแคล้วคลาดสร้อยศัพท์ เคยขับกล่อม
ต่อแต่นี้แรงถวิล .. จักยินยอม-
แซ่เสียงห้อมห่มชู้ .. แทนผู้ตระกอง

O ก่อนแว่วเสียงอื้ออึง .. มาถึงที่
พ่อ, แม่, พี่ ตาพรับ .. คอยจับจ้อง
แววตาแสนตื่นเต้น เขม้นมอง-
รูปเนื้อทอง .. ที่ถลันเข้าอัญชลี !

O เข้ากอดแม่ร่ำไห้ด้วยใจรัก
คิดถึงนัก .. เมื่อพรากไปจากที่
หากหัวใจถวิลชู้ กลับรู้ดี-
ว่ายามนี้เศร้าอยู่ .. ด้วยผู้ใด

O แล้วเรื่องราวทั้งปวงก็ล่วงสู่-
ให้พ่อแม่ทั้งคู่ .. รับรู้ได้-
ว่า .. ที่กายลับเลือนจากเรือนไป
ผ่านลำแสงสุกใส .. จากไกลลิบ

O ผู้สูงวัยรับฟัง .. เรื่องทั้งหลาย
ลมผ่านสายเย็นเยียบ .. คนเงียบกริบ
บางครั้งคราวเหม่อลอย .. ด้วยถ้อยกระซิบ-
พร้อมตาปริบปรอยอยู่ .. ไม่รู้ตัว

O ภาพในห้วงสัญญา .. ยังบ่าออก
ล้วนภาพผู้กระซิบบอก .. คำหยอกยั่ว
ใจผู้หลงยุคนั้น .. ใช่หวั่นกลัว
หากสั่นรัวด้วยสวาดิที่พาดพัน

O เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วยังแว่วอยู่
เมื่อบ่าวทาสรวมหมู่ .. พร้อมอยู่นั่น
เดินกลัวกลัวกล้ากล้า .. เข้ามากัน
ข้าวในขันคอยท่า .. รู้ปรารมภ์

O แถบแพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่
เสียบแซมกลีบช่อไม้ที่ปลายผม
สังวาลย์เพชรวางสาย .. ให้หมายชม-
หรือ-เพื่อข่มขับมืด .. ให้จืดจาง ?

O ข้าวหอมกรุ่น, เช้าใหม่, รูปวัยเยาว์
สงฆ์ฝ่าสายลมเช้า .. ค่อยก้าวย่าง
ละม่อมรูป, อิริยาและท่าทาง-
หยิบ, ประจง-จับวาง หยัดร่างรอ

O ภัตตาหาร, ปรารถนา..ร่วมภาวะ
ในวาระมอบสู่ท่านผู้ขอ
ห้วงจิตใจดื่มด่ำ..นั้นร่ำรอ-
การเกิดก่อนามรูป..โลมลูบใจ

O งามรูปทรงเกศินี..ในที่นั้น
ช่อมาลย์พันผูกแซม..พักตร์แจ่มใส
ผืนแพรบางหอมอวลอบนวลใย
ห่วงกำไลสวมกรเจ้าอ่อนน้อย

O อธิษฐานนิรมิต..ด้วยจิตรู้-
ธรรมพระผู้ล่มโลก..ปวงโศกสร้อย
มือประคองค้อมคอ..เพียงรอคอย-
ก่องดงามแช่มช้อย..ทุกรอยกรรม

O เช้านั้นเรื้องพันแสงโลมแหล่งหล้า
พร้อมปัญญาอำไพเรื้องให้สัม-
ผัสกล่อมเกลาทุกข์โศกปวงโลกธรรม
อันคอยย้ำยุดอยู่..ไม่รู้ลา

O กรประคองน้อมกายถวายภัตต์
ก็โดยศรัทธ์ท่วมใจผู้ใฝ่หา
หมายอำรุงบาทพิถีผู้ลีลา-
ธรรมจักรยาตรา..สู่หล้าไกล

O น้อมใจลงจดจำพระธรรมพจน์
บริบทคอยสดับ..ก็ขับไข
เข้าล่มลาญหม่นมัวในหัวใจ
เผยร่องรอยสดใสผ่านนัยน์ตา

O ครั้งนั้นรูปละม่อม..เจ้าน้อมเศียร
รับพากย์เธียรกล่อมสู่..เพื่อรู้ว่า-
สุดเส้นทางตามตัด..คืออัตตา-
ต้องถูกพล่าผลาญหมด..ทุกบทตอน

O ประนมกร, คอค้อมลงน้อมนบ
ปรุงชาติภพจดจำในคำสอน
ชั่วนิ่งนึก .. ใจล่วงสู่ช่วงตอน-
ความเว้าวอนอ่อนหวานที่ผ่านมา

O ลมรุ่งเช้าเฉื่อยโชย .. ค่อยโรยผ่าน
เมื่อใจคราญแต่คอยละห้อยหา
ตราบสบเลศวามช่วง .. อีกดวงตา
หวามก็บ่าแรงล่วงถึงดวงใจ

O เบื้องหน้าคือ-รูปกาย .. ของชายซึ่ง-
แววตาซึ้งสบแล้ว .. ฤๅ-แล้วได้ ?
ฤๅมีกรรม .. ร่วมสร้างแต่ปางใด
สบแล้วให้แต่คะนึงคิดถึงกัน ?

O จะชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหน
พบปะหน้าเมื่อใด .. ต้องไหวหวั่น
ตาสบรูป .. ภพชาติต้องพาดพัน
ชั่วสบพลัน-แรงชู้ .. ก็ จู่โจม !

O หลัง-รูปชายยามเพรง .. ถูกเพ่งพิศ
นฤมิตยามรุ่ง .. ก็ปรุงโฉม-
ดลอาวรณ์ในรูป .. ล้อม-ลูบโลม-
พาแรงโสมนัสช่วงกลางห้วงใจ

O ที่ตลาดน้ำ .. โลกใหม่ กับใครนั้น
กลางช่วงวันแดดจ้า .. ท้องฟ้าใส
รูปหน้าชายเคยพิศ .. ยังติดใน-
ความทรงจำ .. เหมือนใคร .. เช้าใหม่นี้ !

O ดูเอาเถิด .. แววตาเบื้องหน้าตน
แม้น-ในท้องทางถนน .. ยังล้นปรี่-
ด้วยอาวรณ์อาลัยเยื่อใยมี
เหมือนผู้ที่เคยกอด .. อ้อนออด-คำ !

O ดูแววตาพิสวงที่ตรงหน้า
เพ่งมองมาเสียจน .. อีกคนขำ
ดูท่าทีขัดเขิน .. แสร้งเมิน – ทำ
ความรื่นรมย์ก็ร่ายรำอยู่ตำตา

O งามรูปทรงเกศินี .. ในที่นั้น
เช่นรูปฝันเผยรอย .. อยู่คอยท่า
แพรบางนุ่มคลุมไหล่ .. แววในตา
เหมือนทอดรอขวางหน้า .. เพื่อท้าทาย !

O แรกละอองพันแสง .. แต้ม .. แต่งโลก-
ย่อมล่มโศกอาดูรจนสูญสลาย
แรกสบพิศเพ่งมา .. แววตาชาย-
รู้-จับความเฉิดฉาย .. แนบสายตา

O จึงเช้านั้น .. สายตา, รูปหน้าสะคราญ
สบ .. ประสาน .. ละเมียดละมุนด้วยคุณค่า
เผยท่วงทีขัดเขิน .. เมียงเมินมา
เหมือนเพรียกอารมณ์ชาย .. อย่าคลายคะนึง !

O เจ้าของรูปเลือนลับ .. คล้ายกับว่า
ชี้ .. บัญชาให้คอยละห้อยถึง
ตาสบรูปวูบเดียวก็เหนี่ยวดึง-
อารมณ์ซึ้งหวานหอม ขึ้นล้อมรอ

O สิ้นช่วงการมองเมิน .. ก่อน-เขิน .. หลบ-
บันดาลภพชาติเกิด .. บรรเจิดต่อ
ชั่วเพียงหวานรุมเร้า คอยเคล้าคลอ
รูปลออก็สั่นรัวทั้งหัวใจ

O ขึ้นเรือน .. ทั้งแม่พ่อนั่งรออยู่
ก่อนเรื่องราวผ่านสู่ .. ว่า-ผู้ใหญ่-
ของชายหนึ่งสู่ขอ .. ด้วยพอใจ-
อิริยาละมุนละไมแห่งวัยเยาว์

O บัดนั้น - ใจวูบวาบ .. ถึงภาพผู้-
แอบมองอยู่จนเห็น – หรือ .. เป็นเขา ?
แววอ่อนโยนอ่อนหวาน .. แต่ผ่านเงา-
ก็คอยเร้ารุมอยู่ .. ไม่รู้เลือน

O แล้วเรื่องราวชายผู้ .. มาสู่ขอ
ก็มากพอรับรู้ .. ทั้งดูเหมือน-
ว่าหัวใจแม่พ่อ .. เฝ้ารอเยือน-
ด้วยยิ้มเปื้อนปนแล้ว .. ทั่วแววตา

O ทางหนึ่ง .. ให้พ่อแม่มาสู่ขอ
ทางหนึ่ง .. ยืนเฝ้ารอเห็นต่อหน้า
นิ่งนึกจนรู้ทัน .. ก็หันมา-
รับรู้คำบิดา .. รับปรารมภ์ !

O รูปสองชายต่างยาม .. ค่อยลามล้อม-
เหลือภาพเดียวแนบน้อม .. เข้าห้อมห่ม-
รอบสัญญาในจิตให้ติดจม-
อยู่ในห้วงอารมณ์ .. ด้วยรมยา

O ทั้งแววตาท่าที .. ราศีผู้-
เคยเคียงอยู่คู่ใจ .. กับใบหน้า-
ของรูปผู้ยืนรอ .. จ้องต่อตา-
นั้นเหมือนว่าร่างเดียว .. คนเดียวกัน

.
.
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
13 มีนาคม 2014, 05:53:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #14 เมื่อ: 13 มีนาคม 2014, 05:53:AM »

.. วังหน้าองค์สุดท้าย ..

O เหตุจาก .. ปฏิรูปการปกครอง
จึงจำต้องรวบรัด .. การจัดสรร-
เก็บภาษีที่เดียว .. จนเกี่ยวพัน-
ถึงตัดบั่น .. แหล่งทุนเหล่าขุนนาง

O กรมพระราชบวรวิไชยชาญ
ยากทนทานองค์ราช .. จึงบาดหมาง
รายได้หนึ่งในสามต้องจำวาง-
ให้ส่วนกลางเก็บเอา .. ส่งเข้าคลัง

O ปฏิกิริยาโต้ตอบ .. ย่อมตอบกลับ
ไม่ยินดีน้อมรับ .. ในรับสั่ง
ความขุ่นเคืองขุ่นข้อง .. แห่งสองวัง-
ก็เหมือนคั่งค้างใน-หัวใจคน

O เมื่อประโยชน์, อำนาจ ต้องขาดสิทธิ์
ความสัมพันธ์ญาติมิตร จำปลิด .. ป่น
ความกินแหนงแคลงใจ .. ยิ่งใหญ่จน-
แม้เลือดข้นร่วมสาย .. ยังคลายจาง !

O เมื่อสายเลือดร่วมเชื้อ .. แห่งเครือญาติ
ถูกตัดขาดแบ่งแยกจนแตกข้าง
บรรจบช่วงภัยอรินทร์ .. ล้อมถิ่นทาง
ชาติเหมือนวางลงเพิ่มเป็นเดิมพัน

O จวบถึงกาลวังหน้า .. ชีวาสิ้น
ความเดือดดิ้นในจิตก็บิดผัน
ความขัดแย้ง .. ทั้งปวงในช่วงวัน-
เหมือนถูกทอนถูกบั่น .. ในทันที

O สุดเส้นทางระแวดระวัง .. ถึงวังหน้า
ให้ช่วงกาลเวลา .. ทำหน้าที่-
พาขุ่นข้องลับเลยจากเคยมี-
จนหลีกลี้เลือนพรากสิ้นจากใจ

O ครั้งนั้น .. รูปผ่องแผ้วเจ้าแว่วอยู่-
หลังเรื่องราวผ่านหูจนรู้ได้-
ว่าอำนาจหมุนเวียนย่อม .. เวียนไป-
หลอกล่อให้ใจคน .. ดิ้นรนคว้า !

O ครั้งนั้น .. ภัยภายนอกยังกลอกกลิ้ง
หากภายในกลอกกลิ้งเสียยิ่งกว่า
เมื่อผู้คน .. ด้อยชั้นทางปัญญา
การศึกษา .. จึงต้องปรับเข้ารับรอง

O ด้วยสายตาผู้เคยผ่านโลกใหม่
ทั้งหัวใจ .. พร้อมสรรพการจับจ้อง
โลกท่ามกลางคาบยามที่ตามมอง
นั้น-ยังต้องพัฒนา .. อีกช้านาน

O เห็นถึงความเปลี่ยวเปล่า .. ยุคเก่าก่อน
ที่สายลมเหนื่อยอ่อน .. พัดย้อน .. ผ่าน
เห็นถึงการถนอมขวัญแห่งวันวาน
ที่ยังหวานซึ้งอยู่ .. ไม่รู้เลือน

O ลับรอยรูปแห่งธรรม .. ในยามเช้า
อีกรูปเงาก็กำจายลงป่ายเปื้อน-
บนหัวใจ .. ทวงสิทธิ์คอยติดเตือน-
เพื่อทุกการขยับเขยื้อน .. ยากเคลื่อนพ้น !

O เห็นถึงกาลเบื้องหน้า .. ก่อนหน้าเขา
ว่าเมืองเราเมืองนี้แทบปี้ป่น
ด้วยอำนาจการเมือง .. เขาเปลื้องปรน-
เปรอบำรุงกลุ่มคน .. พวกตนเอง

O จึงยังด้อยพัฒนา .. ยังล้าหลัง
เมื่อคนยังตาปิด .. ไม่พิศเพ่ง-
จนเห็นเลศกลทราม .. มัวคร้ามเกรง-
การข่มเหง .. สิทธิ์ เสรีของชีวิต

O เห็นถึงระบอบอุปถัมภ์ .. ยังค้ำเมือง
อำนาจเงินยักเยื้อง .. ปลดเปลื้องผิด
เห็นโง่เขลาถูกชู .. ไม่รู้คิด
ทั้งเห็นทิศเบื้องหน้า .. แสนพร่ามัว

O เมื่อเส้นขีด .. ถูกย่ำก้าวล้ำล่วง
ก็เหมือนช่วงฝนทาจนฟ้าหลัว
อกย่อมเหมือนเส้นไฟ.. วาบไหว .. รัว-
เริ่มลั่นเสียงเย้ยยั่ว .. สิ้น-กลัวเกรง

O เห็นถึงกาลข้างหน้า .. เบื้องหน้านั้น
เสียงหวาดหวั่นเคยฉุด .. ขวาง-รุดเร่ง
จักเปลี่ยนช่วงเยี่ยงฝน .. ที่อลเวง-
ร่วงฝ่าเพลงสายลมที่พรมพะนอ !

O ถ้วนสิ้นความอยู่ดีของชีวิต
คือมาตรวัดถูกผิด .. ให้คิดต่อ-
ว่า – ระบบหรือระบอบที่ชอบพอ-
ใด-อาจก่อประโยชน์ผล .. ต่อคนไทย ?

O เห็นโลกที่ตรงหน้า .. ยังช้าเฉื่อย
ดังสายน้ำอ่อยเอื่อย ค่อยเรื่อยไหล
ขณะแววตาวาว .. คิดยาวไกล-
ถึงบ้านเมืองทันสมัย .. แต่ไม่พัฒนา !

O พัฒนาการก้าวล้ำ .. จักสัมฤทธิ์
จำต้องคิดต่อเนื่องไปเบื้องหน้า
มุ่งไปสู่จุดหมาย .. ด้วยสายตา-
ของผู้กอปรปัญญา .. นำหน้าชน

O เห็นประเทศเพื่อนบ้าน .. ล้ำผ่านไป
จากสายตายาวไกล .. จึงได้ผล
สุจริต .. โปร่งใส .. ที่ใจคน
คือเบื้องต้นจุดเริ่ม .. ช่วยเสริมการณ์

O เมื่อล้วนแต่หัวเก่า .. นั่งเฝ้าเมือง
ย่อมเปล่าเปลืองทุกช่วงที่ล่วงผ่าน
อุปถัมภ์ .. คือปลักความดักดาน-
ค้ำจุนบัวใต้ธาร ครองบ้านเมือง !

O เมื่อเส้นขีดกีดกัน .. ถูกบั่นขาด-
โดยอำนาจเร้นแฝง .. คอยแต่งเรื่อง
ในเส้นทางปกครอง .. จึ่งนองเนือง-
ด้วยเลือดเนื้อเชื่อเชื่อง .. ต่อเนื่องมา



.. ราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย ..

O แล้ว .. เรื่องในโลกใหม่ก็ไหววาบ
ผุดเผยภาพต่อเนื่องอยู่เบื้องหน้า
เมื่อรัสเซียเปลี่ยนผ่าน .. ครั้งนานมา
มี-เข่นฆ่าล่มล้าง .. ชีพวางวาย

O ในเรื่องราวบันทึกเมื่อนึกย้อน
คือช่วงตอน .. สังคมเก่า-ล่มสลาย
ศักดินาถอดทิ้ง .. ชีพหญิงชาย-
ถูกเข่นฆ่าล้มตาย ที่ปลายวัน

O ครั้งเป็นหน่อราชนั้น .. เคยผ่านข้าม-
มาเยี่ยมเยือนเมืองสยาม, ในยามนั่น-
ไทย-รัสเซียก้าวล้ำ .. ผูกสัมพันธ์
ผ่านสององค์ราชันย์ .. แต่นั้นมา

O ด้วยไม่อาจปรับตนให้พ้นผ่าน
เมื่อช่วงกาล .. สืบเนื่องไปเบื้องหน้า
กรอบความคิดยุดยื้อ .. เยี่ยงขื่อคา
กระชากขา .. ครอบคิดให้ติดกรง

O ความเสื่อมแห่งอำนาจจึงพาดผ่าน
เมื่อสังขารในจิตแผ่พิษสง
มองว่าตนเยี่ยงหลักที่จักคง-
อยู่ดำรงคู่โลกยากโยกคลอน

O ไม่รับรู้รับฟังใครทั้งสิ้น
ว่าแผ่นดินทุกข์เข็ญเกินเร้นซ่อน
ผู้ลำบากตรากตรำ .. เคยพร่ำวอน-
บัดนี้ – ค้อน, เคียว พร้อม – มาล้อมวัง !

O ที่สุด .. ความขื่นขมระงมศัพท์
ก็โหมแรงลงทับเพื่อดับหวัง
ที่สุดแห่งอารมณ์ระทม .. ดัง
ใดเล่าอาจหยุดยั้ง .. การพังทลาย !

O แล้วอารมณ์แรงโกรธก็โลดเหลิง-
เป็นเปลวเพลิงลามล่วงขึ้นช่วงฉาย
แผดเผา .. พฤติ, วาทกรรมแห่งน้ำลาย,
ความบิดเบือนทั้งหลาย .. ที่ปลายวัน

O พ่อแม่ลูก .. วงศ์กษัตริย์ .. เพียงหยัดร่าง
เสียงปืนกลางห้องสลัว .. ก็รัวลั่น
พร้อมเลือดสาด .. ร่างทรุด .. ลมหยุด .. พลัน-
ที่ศักดินา .. ชนชั้น .. ล่ม – อันตรธาน !

O แล้ว .. สุดท้ายศักดิ์ศรีแห่งชีวิต-
ก็ถูกปลิดร่วงลงสู่สงสาร
อาจเหลือเพียง .. ความ, คำ .. เป็นตำนาน
ให้กล่าวขานถึงบ้างในบางครั้ง

O หากยอมรับปรับปรุง .. ก่อนยุ่งเหยิง
คาวเลือดเจิ่งเนืองนอง .. ฤๅต้องหลั่ง ?
เมื่ออัตตาปรุงตอบ .. ความชอบชัง-
จึงย่อมฝังลงจิต .. จนติดตาย

O ด้วยอำนาจจากไหน .. จึงได้สิทธิ์-
ให้ชีวิตอื่นพยุง .. ความมุ่งหมาย ?
กระนั้นสิทธิ์เดียวกันในบั้นปลาย-
ไย .. ถูกเหนี่ยวทำลายจนวายวาง ?

O ครั้งนั้นรูปโสภิตเจ้าคิดนึก
ว่า-ตื้นลึกเรื่องราวที่กล่าวอ้าง
มักเผยความจริงแท้ลงแผ่กาง
เมื่ออำนาจขัดขวาง .. ถูกล้าง .. ลบ

O เมื่ออำนาจคลุมแดน .. อย่างแน่นหนา
แรงศรัทธาเชิดชู .. สุดรู้กลบ
เสียงยกยอชื่นชมคอยสมทบ
ย่อมตระหลบล้อมถิ่นทั้งดินแดน

O กระทั่งเสียงทุกข์ทนของคนยาก
เริ่มผ่านปากเงียบเฉย .. ที่เงยแหงน-
ร่วมกับปวงภพชาติผู้ขาดแคลน-
จากหมื่นแสนเป็นล้าน .. เหยียบผ่านเมือง

O เสียงไพเราะดึงดีด .. สังคีตขับ
ก็ล่มลับบริบท .. ถูกปลดเปลื้อง-
ด้วยเสียงปืนแผดหนุน .. ความขุ่นเคือง-
ของเชื่อเชื่อง .. ทั้งปวงกลางช่วงยาม

O ทั้งน้ำตา .. หยาดเลือด .. ยากเหือดสาย
เมื่อความตายเร่งรุด .. เกินหยุด-ห้าม
กายยากแค้น, จิตทุกข์ .. ย่อมลุกลาม-
เป็นไฟความโกรธแค้น .. ลวก - แผ่นดิน !

O เสียงไพเราะดึงดีด .. สังคีตกล่อม-
ก็ล่มพร้อมทุรยศจนหมดสิ้น
ลับล่มถ้วนราศี .. แห่งชีวิน-
ด้วยเลือดรินหลั่งหยด .. จน – หมดตัว !

.
.
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
13 มีนาคม 2014, 06:56:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #15 เมื่อ: 13 มีนาคม 2014, 06:56:PM »

.. งานมงคล ..

O มโหรีปี่กลอง ร่วมฆ้องประโคม
กระหึ่มโหมเสียงฝ่าพืดฟ้าหลัว
ขณะใจรูปคราญ .. ซึ้งซ่านระรัว-
กับแววหวานหยอกยั่ว .. อยู่ทั่วตา

O ผ้านุ่งแดงเข้มอ่อน .. ห่มอ่อนน้อย
ผมยาวย้อยเคลียไหล่ล้อใบหน้า
เข็มขัด, กำไลทองผุดผ่องตา
ต่างหูเพชรสูงค่า .. น้ำพร่าพราย

O นวลวรรณาเกลี้ยงเกลา บนเยาวรูป
ดวงตาวูบวับวามด้วยความหมาย
ภาพในห้วงคำนึง .. เพียงหนึ่งชาย
กับแววสายตาเห็น .. แสนเอ็นดู

O ถึงฤกษ์ผานาที .. เหมาะดีพร้อม
มงคลสวมคล้องค้อมกระหม่อมคู่
มือประคองน้ำสังข์รดพรั่งพรู
พร้อมรูปตรูเจ้าคอยชม้อยชม้าย

O สวยปีกผีเสื้อบินกลางถิ่นทุ่ง
ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย
ลำลมหอบอุ่นนักมาทักทาย
แตะร่องรอยความหมายขึ้นว่ายวน

O แดดใสแผ่นฟ้าครามในยามนี้
เหลื่อมแสงสีอบอุ่นแทนฝุ่นฝน
เมฆขาวแทนมืดดำฟ้าคำรน
วิหคบนแทนวิชชุที่คุไฟ

O งามเงื่อนหางยูงฟ้าในป่าแดด
ทอดลงแวดล้อมขวัญจนสั่นไหว
สัมผัสแล้วอุ่นทั่วถึงหัวใจ
ซ่านลงใส่ล้อมสิ้นจิตวิญญาณ

O ระยับแดดเหลือบแล้วที่แววขน
เข้าปลาบปนเนตรแก้วจนแววหวาน-
นั้น .. เผยออกสำทับอยู่นับนาน
จนสุดต้านเงื่อนบ่วงได้ล่วงพ้น

O งามปีกผีเสื้อลายระบายป่า
กระหยับทาแนวเถื่อนอยู่เกลื่อนกล่น
ปีกแห่งรักพลิ้วพรายลอยว่ายวน
ดั่งจำนนต่อหมายที่ว่ายเวียน

O โลมแดดอุ่นทินกร .. ให้ร้อนผ่าว-
ล่มอบอ้าวสำหรับช่วยปรับเปลี่ยน
สำทับหอมหวานรส .. ลงบดเบียน-
หัวใจเพียรพร่ำชู้ .. อย่ารู้คลาย

O สวยปีกผีเสื้อบินล้อมถิ่นที่
ท่ามกลางเยื่อใยดีค่อยคลี่สาย
ม้วนรัดล่ามอาลัยด้วยใจชาย
ลงเงื่อนตายถวิลอยู่ แต่ผู้เดียว

O สุรโลก .. ชลอลงก็คงใช่
แต่เมื่อใครหนึ่งพ้องรับข้องเกี่ยว
เนตรนั้นปล่อยปรารมภ์..รอกลมเกลียว
เสมอเหนี่ยวเพรงภพ .. บรรจบวง



.. ชั่วฟ้าดินสลาย .. พศ.๒๕๓๗

O ไกลลิบระยิบช่วงบนสรวงนั้น
มีใฝ่ฝันทุกหลืบร่วมสืบส่ง
พร้อมแรงรักลึกล้ำเป็นจำนง-
อย่างมั่นคงตรึงมั่นในสัญญา

O หอมรสรื่นรวยริน..ของกลิ่นโมก
รำบายโบกแผ่วเบา..รุมเร้าหา
ลำเพาพักตร์นวลลออ..ก็คลอตา-
ด้วยสัญญากุมกัก..สุดหักล้าง

O ลิบลิบกระพริบช่วงแห่งปวงดาว
ก็ดูราววิบไหว..แสนไกลห่าง-
จากโลกหล้า, เปลื้องปรุงแสงรุ่งราง-
คงอยู่ค้างฟ้าทะมื่นในคืนแรม

O ลิบลิบดารดาษดวง..ในสรวงฟ้า
เช่น..นัยน์ตาวามแสงเมื่อแต่งแต้ม-
ด้วยรูปรอยแสนอุทธัจ..ระบัด..แกม-
บนริ้วแก้มแต้มหมาย..รำบายความ

O พร้อมแสงช่วงดวงดาว..เห็นวาววับ
คล้ายเห็นแววระยิบระยับนั้น-พรับข้าม-
คาบช่วงกาลผ่านนัยออกไหลลาม-
พาอบอุ่นวาบหวาม..เข้าลาม..ลน

O จึง-น้อมรับระยับช่วง..แห่งดวงดาว
อันวาบวาวปลาบปลั่งอีกครั้งหน
ความอ่อนหวานอ่อนไหวแห่งใจคน
ราวโซ่ตรวนพันวน..เกินด้นดึง

O ระทึกและสั่นไหว..อกใครหนอ-
หลังเติมต่ออาลัยส่งไปถึง
ร่วมครอบครองคุณค่าอันตราตรึง
เสพหวานซึ้งซ้ำอยู่ไม่รู้เลือน

O นึก-ระทึกวาบหวิวจนริ้วแก้ม-
ราวเกลี่ยแกมเลือดฝาดเข้าปาดเปื้อน-
เพื่ออยู่รอ-สายตา..ผ่านมาเยือน
รอ-ด้วยใจสั่นสะเทื้อนสะทกสะท้าน

O เลือดในอกผู้รอ..เมื่อหล่อเลี้ยง
อบอุ่นย่อมคล้อยเคียง..ลำเลียงผ่าน
ขัดเขินสักเพียงใด..หนอใจคราญ
จักซึ้งซ่านเพียงไหน..หนอใจคน

O ชั่วเคลิ้มคล้อยคิดตาม..กับความว่า-
อาจ-วุ่นว้านัยศัพท์พาสับสน-
บางความหมายหยิบยก..อาจวก-วน
เพื่อแฝงนัยให้คนวก-วนคิด

O ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม..ถ้อยความสื่อ
ตรองเถิดหรือ..ความปวงจากดวงจิต-
ล้วนเร่งรอบอาลัย..มาใกล้ชิด
เพื่อถือสิทธิ์ปักปลูกความผูกพัน

O แม้นหนทางขวางกั้น..ด้วยอรรณพ
อาจบรรจบด้วยใคร..แต่ในฝัน
ยังยอมอยู่เปล่าเปลี่ยว..ใต้เสี้ยวจันทร์
ด้วยใจหนึ่งใจนั้น..ดื้อรั้น-คอย

O ดึกสงัดพราวพร่าง..น้ำค้างหยด
ลมตอบบท..แขเปลื้องแสงเงื่องหงอย
เมื่อดวงจิตพลั้งเผลอ..จนเหม่อลอย-
ห่วงละห้อยถึงใคร..ผู้ไกลตา

O เหมือนฝัน..ฝันว่าฝน..นั้นหล่นสาย
เนื้อ..อุ่นอาย, อิงแอบ..เข้าแนบหา
นึก - แม้นโลกแหลกยับไปกับตา
ยอม - ชีวาดับวาง..กับร่างนั้น !


จบบริบูรณ์


ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
04 พฤษภาคม 2014, 09:22:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #16 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2014, 09:22:PM »

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2013&date=17&group=11&gblog=447


O ฝนเดือนหก .. O


O หยาดมาเถิดฝุ่นฝน .. สีหม่นเทา-
ลงปกคลุมรุ่งเช้าให้เหงาหงอย
ปีกเบาบางเคยขยับ .. ก็ลับรอย
ท่ามกลางน้ำฟ้าย้อย .. ลงเยี่ยมพื้น

O ร่วงหยดไหลหล่นล่าง .. หยาดพร่างพร้อย
ลงห่มเกสรสร้อยให้ช้อย-ตื่น
รับฉ่ำเย็นถ้วนตอนที่ย้อนคืน
ยามเสียงฟ้าครั่นครื้นอยู่อลเวง

O ไร้ปีกผีเสื้อบางสะบัดโบก
กลางฝนโชกฟ้าวาบ .. แสงปลาบเปล่ง
อติรูปในฝัน .. ก็บรรเลง-
สังคีตเพลงยั่วเย้า .. ในเช้าวัน

O อ้อยอิ่งกลางเม็ดฝนที่หล่นหยาด
ลดามาศก็ช้อยช่อร่ำรอหัน-
เรียวกลีบรับน้ำสรวงหล่นร่วงบรร-
โลมความชื่นฉ่ำนั้น .. เช้าวันนี้

O เจิ่งนองแผ่นพื้นโลกจนโชก-ชุ่ม
น้ำฟ้าร่วงผ่านพุ่ม .. โกสุมสี
ปีกล้อลมรำเพย .. อันเคยมี
จำปลีกลี้ฝุ่นฝนสีหม่นเทา

O ไหนเล่าดวงจำรูญ .. ในพู้นที่-
พร้อมรังสีเปลวแดด .. เคยแผดเผา
ฤๅ-บัดนี้ลับล่มใต้ร่มเงา-
ของเงียบเหงาเมฆทึมอันครึ้มมัว

O มืดอับพยับฝน .. เมฆหม่นแต้ม
ราวจะแย้มยั่วทาให้ฟ้าหลัว
งามรูปแพงทองเอย .. ฤๅเคยกลัว-
ความสั่นเร้าเร่งรัวของหัวใจ

O มืดอับพยับฝน .. เมฆหม่น-แกม
กลับแต่งแต้มรอบระยับขึ้นขับไข
ร้อยรวมความมั่นหมายจากภายใน-
ด้วยสายใยอาวรณ์ .. แสนอ่อนโยน

O พาตรู่เช้าลอยล่อง .. ละอองทิพ
ความ-คำแผ่วกระซิบ .. สู่ลิบโพ้น
อบอุ่นแห่งความหมาย .. ค่อยถ่ายโอน-
เข้าหักโค่นเปลี่ยวเหงาแห่งเช้าวัน

O ฝุ่นฝนสีหม่นเทา .. แห่งเช้ายาม
จึงเติมเต็มงดงาม .. เชื่อมความฝัน
ปีกผีเสื้อโบกบินกลางถิ่นพรรณ
ค่อยโบกขวัญฝากไว้ .. ที่ในทรวง

O หยาดน้ำฟ้า .. หยดย้อยเป็นสร้อยสาย
พร้อมความหมายในคน .. นั้นหล่นร่วง
แววนัยน์ตาวาบหวัง, ใจทั้งดวง-
ก็ผ่านช่วงหม่นเทา .. แห่งเช้าวัน

O หยาดน้ำค่อยสิ้นหยด, เหลือบทบาท-
พิสวาดิรายล้อมเข้ากล่อมขวัญ
ความนัยรู้รับรอง .. เมื่อพ้องกัน
ย่อมซาบซึ้งผูกพัน .. นิรันดร

O สิ้นหยดน้ำร่วงหยาด, สองชาติผู้-
ร่วมตอบรับนัยชู้ .. เกินรู้ถอน
แรงถวิลเสน่หา, รอบอาวรณ์-
ก็แทรกตอนจำนง .. เข้าบงการ

O ร้างหยดและไร้หยาด, ฝนขาดช่วง-
หากความหวง-ห่วงใย .. ยิ่งไพศาล
ลมเอย..ฝากเย็นรื่นของชื่นบาน
ห่มดวงมานผู้ถวิล .. อย่าสิ้นเลย

O ร้างหยดจนไร้หยาด .. ฝนขาดเม็ด
เหลือรุ้งเพชรรูปพลอยที่ค่อยเผย-
รอวันทอดทอสิทธิ์ลงชิดเชย
และสายลมรำเพยมาแผ่วพาน

O เพื่อจะไหวบทกระเพื่อมเป็นเหลื่อมรับ
ไว้ประดับธรณินทั่วถิ่นฐาน
เช่นแววตาจบจูบด้วยรูปคราญ
สั่นสะท้านสะเทือนทั่วทั้งหัวใจ -

O – ที่จักไหวส่ายรัว .. เพียงชั่วยาม-
ที่รูปนามรูปนั้น .. คอยสั่นไหว-
ยั่วหยอกความแหนหวง .. ความห่วงใย
เพรียกอาลัยวาดหวังอยู่ทั้งเป็น

O สิ้นแล้วหรือ .. ฝุ่นฝนสีหม่นเทา
เลื่อนรูปเงาพาโลกพ้นโศกเข็ญ
หรือ-เพียงรอถมเทียบความเยียบเย็น-
เข้าบีบเค้นอาลัย .. แห่งใจนี้

O ไร้ปีกผีเสื้อบางสะบัดโบก-
กลางแหล่งโลก-บินบ่ายอวดลายสี
ปีกเล่นลมรำเพยอันเคยมี
ราวปลีกลี้ลับสิ้นจากดินแดน

O เหลือแต่ปีกอาวรณ์เวียนว่อนอยู่
ด้วยแรงชู้ในทรวง, ด้วยหวงแหน-
รูปนามอันปรากฎเข้าทดแทน-
ติดตรึงแน่นในอก .. เกินยกแล้ว !

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:   Policy
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!