http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=03-2012&date=02&group=41&gblog=331..
O โอ-ศรัทธาบ้าบอด..ราวทอดเงา-
รอคอยให้สองเท้าย่างเข้าหา-
เพื่อย่ำเหยียบ..ย่ำยีด้วยลีลา-
ของผู้ใช้ปัญญาอีกคราครั้ง !
O ในโบสถ์รูปองค์พระ..แสงสะท้อน
แว่วเหมือนคำบวงวอน, คำสอนสั่ง-
เผยบทบาทแทรกปนให้ทนฟัง-
โมหะการณ์คลุ้มคลั่ง..ที่หลั่งริน !
2..
O กราบพระพร้อมคิดย้ำในคำนึง
องค์ผู้ซึ่งล่มตนเสียป่นสิ้น
แผ่องค์ธรรมโอบแคว้น..อาบแผ่นดิน
กล่อมจิตดิ้นรนส่ายให้คลายร้อน
O แจงองค์ธรรมล้ำลึก..ให้ศึกษา
ล่มบอดบ้าโง่เขลาให้เพลา..ผ่อน
จุดแสงในแววตา..ด้วยอาทร
แม้ผู้นอนหลับใหล..ยังได้รู้ !
O จนวันเดือนปีเปลี่ยนหมุนเวียนรอบ
ไย - เกณฑ์กรอบครอบเอาทุกเหล่า..หมู่
กรรม, วาท, วัตร..บิดเบือนไม่เหมือนครู-
ย่างเหยียบสู่หนทางล่มล้างตน
O ใบไม้ร่วงหล่นคว้างที่กลางป่า
เมื่อปัญญาแจ้งเลศ..ปวง-เหตุผล
สายวารีเลื่อมไหล..เมื่อใจคน-
ผ่านช่วงยามหลุดพ้น..จาก-วนเวียน
O คืนนั้น..จันทร์ทรงเพ็ญลอยเด่นฟ้า
พร้อมอัตตาตัวตน..ผ่านพ้น..เปลี่ยน
คืนนั้น..สายน้ำหลาก..ใจพากเพียร-
ก็กร่อนเกรียนทุกข์ทน..ไปพ้นทาง
O ที่ด้านบนกิ่งโพธิ์..เหมือนโล้..ลู่-
กิ่งก้านรู้นบนอบอยู่รอบข้าง
สายน้ำยังเอื่อยไหล..เมื่อใครวาง-
ตัวตนทิ้งคาค้าง..ที่กลางจร
O ครั้งนั้น..เนรัญชลา..ไหลบ่าสาย
พร้อมจันทร์ฉายแสงพลอด..ลงออดอ้อน
โพธิ์คงระบัดใบ..หากไฟฟอน-
ในอกร้อนรนทุกข์..ไม่ลุกโชน
O ครั้งนั้น..สายวารี..คงรี่ไหล
บางจิตใจ..กรอบ-กัก..กลับหักโค่น
ตัวตนถูกถอดถอน, ความอ่อนโยน-
ก็ถ่ายโอนออกแล้ว..ผ่านแววตา
O ที่โคนไม้ร่มพฤกษ์..ค่ำดึกนั้น-
มีแสงจันทร์อ่อนละมุน..พร้อมคุณค่า-
แห่งความเป็น..ความมี..เริ่มลีลา-
ล่มมิจฉาการณ์ปวง..ลับล่วงตอน
O แทบบัลลังก์โคนพฤกษ์..ค่ำดึกนั้น-
ความยึดมั่นในโลกถูกโยกถอน
ถ้วนสิ้นความปรารถนาเคยอาวรณ์-
กลับถูกทอนถ่ายบท..จนหมดรอย
O จากอุษากาล-พ้น..สู่สนธยา
ถ้วนมิจฉาการณ์สรรพ..ก็ยับย่อย
การตีความ..ใคร่ครวญก็ล้วนพลอย-
ช่วยปลดปล่อยสภาพธรรม..เคยค้ำยัน
O ล้วนบทบาท..อวิชชาค้ำคาใจ
จนพาให้คอยประพฤติแต่..ยึดมั่น
จำแนกการตีความ..ไว้ล่ามพัน
แล้วสร้างฝันแทรกซ้อนไว้ผ่อนพิง
O ที่บัลลังก์โคนโพธิ์..ภิญโญญาณ-
นั้น - เบ่งบานล้อมใจจนใหญ่ยิ่ง
รูปนามเคยโน้มแนบเข้าแอบอิง-
ก็หล่นกลิ้งเกลือกภาวะอารมณ์
O ปราศเชิงชั้นช่อฟ้า..ให้ตาเห็น
เพียงจันทร์เพ็ญแสงอยู่..เมื่อรู้สม-
มุติ..สัตย์..เท็จ..ต่าง..เหมือน..รู้เงื่อนปม-
การห้อมห่มรูปจริตให้ติดคา
3..
O โอ นั่นเสียงพากย์วอน..นัยอ้อนออด-
เอาบุญบาปก่ายกอด..ความบอดบ้า
ล้อมหัวใจเต็มพิกัด..ด้วยศรัทธา
เหนี่ยวจูงพาชาติภพ..บรรจบ-วน
O วัตถุธรรมล้ำเลิศ..บรรเจิดนัย-
ก็ผ่านให้ลูบคลำอยู่ซ้ำหน
ช่อฟ้าช้อยยอดเฟื้อย..ก็เลื้อยจน-
จะพุ่งพ้นหลังคา..สู่ฟ้าไกล
O กระเบื้องเหลือบแสงสูรย์..จำรูญสี
เมื่อความมี..ความเป็น..มองเห็นได้
ธูป, เทียน, บุษบัน..พร้อมควันไฟ-
ก็ก่อรูปขับไขสู่นัยน์ตา
O นั่น-รูปเศียรก้มหมอบอยู่รอบด้าน
พร้อมศัพท์เสียงบนบานที่ด้านหน้า
วางความเชื่อบนคำ..ให้นำพา-
ด้วยศรัทธาคลุมครอบอยู่รอบใจ
O เสียงพร่ำพร้องบาปบุญก็หนุนเนื่อง
เชิดชูเรื่องกล่าวรับเกินนับไหว
ยอโลกหน้าโลกนู้นที่พู้นไกล
รองรับความฝันใฝ่..ที่ในตน
O หนึ่งรูปนามทรงกาย..ริมสายน้ำ
ตรึกตรองธรรมจนรู้..เหตุสู่ผล
จิตใคร่ครวญแยบคาย..ก็ว่าย-วน
ผ่านสู่ความหลุดพ้น..ล้าง-หม่นมัว
O มีหรือโบสถ์งามลออ..ชั้นช่อฟ้า
ในที่ราตรีกาลคลี่ม่านหลัว-
ลงคลุมครอบโมหันธ์..จนสั่นรัว-
ก่อนคลายตัวเคลื่อนพ้น..อย่างอลเวง
O โอ ลวดลายพัดยศ..กำหนดรูป
กลางควันธูปแสงเทียนเฝ้าเวียน..เพ่ง
เย้ยสายตา, หยอกยั่ว..ให้กลัวเกรง-
การเร้าเร่งสั่นรัวของตัวตน
O แย้มยิ้มรับศรัทธา..ร่วมปราศรัย
แววตาไหวตอบรับ..ก็สับสน
ปฏิพากย์แอบอ้าง..ก็ต่างปรน-
เปรอ-ดวงใจดิ้นรน..ในหนทาง
O ที่ไหนเล่าพากย์ถ้อย..การปล่อยลง
เห็นเพียงสงสารกรรมเขานำอ้าง
สืบทอดรูปวัตถุธรรมเพื่ออำพราง-
การก่อสร้างรูปนิมิตให้พิสดาร
O พระ-จำพรากเวียงวังแต่ครั้งก่อน
ก็เพื่อสอนจิตหลง..ละ-สงสาร
ใช่เพื่อศักดิ์ภิญโญ..ยศโอฬาร
แต่เพื่อผลาญเผาฆ่า..ธรรมารมณ์
O กลับมาไหว้วัตถุ..สาธุเสียง-
ก้มกราบกันพร้อมเพรียง..ขับเสียงขรม
บัวใต้น้ำงอพับอยู่กับตม
ฤๅ-อาจชมแสงเรื่อ..ที่เหนือน้ำ ?
O ดูนั่นเถิด..รูปวิจิตร..เขาปิดทอง
ปากลิ้นฟ้องทุกข์โศกแห่งโลกต่ำ
องค์พระรูปงามลออ..เขา ก็นำ-
แผ่นทองคำปิดครอบอยู่รอบองค์
O สรวงสวรรค์ชะลอลงที่ตรงหน้า
หรือ-บอดบ้ากอดกุมความลุ่มหลง ?
กี่รอบเดือนปีเปลี่ยน..ยังเวียนวง-
อยู่ในสงสารวัฏฏ์..ยากตัดใจ
O ยากจริงหนอ..โลกพิสุทธิ์สมมุติสร้าง
จักปล่อยวาง..รอบวงความหลงใหล
หรือ..กรอบเกณฑ์พิธีกรรม..อาจนำไป-
สบความใสสว่างรู้..แม้..ครู่เดียว ?
.
.
หรือ..กรอบเกณฑ์พิธีกรรม..อาจนำไป-
สบความใสสว่างรู้..สัก..ผู้เดียว ?