เจริญมรณสติชีวิตในวันหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า เมื่อต้องแสงอาทิตย์ในยามเช้า ก็เหือดแห้งหายไปโดยฉับพลัน ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปสู่ความเสื่อมสลาย คล้ายฟองน้ำเมื่อเวลาฝนตกหนัก มีฝนหนาเม็ดเกิดเป็นฟองน้ำขึ้นแล้วก็แตกสลายไป ในชั่วพริบตาเดียว
ช่วงเวลาของชีวิตเรานั้นสั้นนัก เราไม่ควรประมาทพึงเร่งทำความเพียร เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เช่นเดียวกับพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย
มีพระคาถาบทหนึ่งใน ขุททกนิกาย ทสรถชาดก กล่าวว่า
"ทหรา จ หิ เย วุฑฺฒาเย พาลา เย จ ปณฺฑิตา
อทฺธา เจว ทลิทฺทา จสพฺเพ มจฺจุปรายนาฯ
สุตฺต. ขุ. ชาตกํ ๒๗/๑๕๖๗/๓๑๗
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งคนโง่และคนฉลาด
ทั้งคนจนและคนรวย ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้งสิ้น"
ครั้งหนึ่ง พระบรมศาสดาได้เทศนาโปรดชาวเมืองอาฬวีให้เจริญมรณสติว่า
"ท่านทั้งหลายจงพิจารณาว่าชีวิตของเราไม่ยั่งยืน แต่ความตายเป็นของแน่นอน ตัวเราก็จะต้องตายในที่สุด"
ในจำนวนมหาชนที่ฟังธรรมอยู่นั้น มีธิดาของนายช่างหูกคนหนึ่งได้ตั้งใจปฏิบัติตามพุทธโอวาท ด้วยการเจริญมรณสติทุกวัน ไม่ว่านางจะทำภารกิจ หรือทำการงานอะไร ก็จะนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ทำอยู่อย่างนี้ถึง ๓ ปี ทีเดียว
วันหนึ่งพระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้เห็นกุมาริกานั้นเข้ามาในข่ายพระญาณ ทรงทราบว่ากุมาริกามีอินทรีย์แก่กล้าพอที่จะบรรลุธรรม แต่วันนี้นางจะไม่สามารถรอดพ้นจากความตาย เพราะการตายของปุถุชนย่อมมีคติไม่แน่นอน ถ้านางได้ฟังธรรมแล้วจะได้บรรลุธรรม ละโลกแล้วจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันไม่มีประมาณ พระองค์จึงเสด็จไปโปรดนางที่เมืองอาฬวี ฝ่ายกุมาริกาเอง เมื่อทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา ก็เกิดความปีติปราโมทย์ใจ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปฟังธรรม แต่เนื่องจากวันนั้น พ่อของนางได้สั่งให้ทอหูกให้เสร็จเสียก่อน นางจึงต้องรีบทอหูกให้เสร็จตามที่พ่อบอก เพื่อจะได้ไปฟังธรรม
ชาวเมืองอาฬวีได้ถวายภัตตาหารแด่พระบรมศาสดาแล้ว ยืนรอคอยการอนุโมทนาจากพระองค์อยู่ แต่พระองค์กลับประทับนิ่ง ไม่ตรัสอะไรเลย เพราะทรงดำริว่า
"เราเสด็จมาไกลถึง ๓๐ โยชน์ เพื่อโปรดกุลธิดาช่างหูก แต่นางยังไม่มา เราจะรอจนกว่านางจะมา"
ฝ่ายกุมาริการทอหูกไป ก็นึกถึงแต่พระบรมศาสดา อยากจะฟังธรรมเป็นอย่างยิ่ง หลักจากทอหูกเสร็จแล้ว นางรีบเดินทางมายังที่ฟังธรรม ได้ยืนอยู่ด้านหลังของพุทธบริษัท แลดูพระพุทธองค์ด้วยจิตอันเลื่อมใส นางทราบว่าพระองค์กำลังรอนางอยู่ จึงรีบเดินเข้าไปในท่ามกลางพุทธบริษัท แล้วก้มลงกราบพระพุทธองค์
พระองค์ทรงถามกุมาริกาว่า "กุมาริกา เธอมาจากไหน?"
"ไม่ทราบ พระเจ้าข้า" กุมาริกาตอบ
"เธอจักไป ณ ที่ไหน ?"
"ไม่ทราบ พระเจ้าข้า"
"เธอไม่ทราบหรือ ?"
"ทราบ พระเจ้าข้า"
"เธอทราบหรือ ?"
"ไม่ทราบ พระเจ้าข้า"
มหาชนได้ยินธิดาช่างหูกตอบเช่นนี้ ก็นึกว่านางพูดเล่นลิ้นกับพระบรมศาสดา จึงเกิดเสียงฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์กัน พระบรมศาสดาทรงรู้ข้อกังขาของมหาชน จึงตรัสถามอีกครั้งว่า
"กุมาริกา เมื่อเราถามว่า เธอมาจากไหน ทำไมถึงตอบว่า ไม่ทราบ"
กุมาริกากราบทูลว่า
"พระองค์ย่อมทรงทราบว่าหม่อมฉันมาจากเรือนช่างหูก แต่ที่พระองค์ตรัสถามนั้น ย่อมประสงค์ว่า ก่อนมาเกิดหม่อมฉันมาจากที่ไหน ? หม่อมฉันไม่ทราบว่า ตัวเองเกิดมาจากไหน จึงตอบว่า ไม่ทราบพระเจ้าข้า"
พระบรมศาสดาได้ประทานสาธุการแก่กุมาริกานั้นว่า
"ดีละๆ เธอตอบได้ถูกแล้ว"
จากนั้นพระองค์ตรัสถามข้อต่อไป
"เมื่อเราถามว่า เธอจะไปไหน ทำไมจึงตอนว่า ไม่ทราบ"
"พระองค์ทรงทราบ หม่อมฉันผู้ถือกระเช้าด้ายหลอดเดินไปยังเรือนช่างหูก พระองค์ย่อมประสงค์ถามว่า หม่อมฉันละจากโลกนี้แล้ว จะเกิดในที่ใด ? ก็หม่อมฉันไม่ทราบว่า ตายแล้วจะไปเกิดในที่แห่งใด จึงตอบว่า ไม่ทราบพระเจ้าข้า"
พระบรมศาสดาได้ประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ ๒ อีก แล้วตรัสถามต่อไปว่า
"ที่เราถามว่า เธอไม่ทราบหรือ เพราะเหตุไรจึงตอบว่า ทราบ"
"หม่อมฉันทราบว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน ไม่สามารถรอดพ้นความตายไปได้ จึงกราบทูลอย่างนั้นพระเจ้าข้า"
แม้ครั้งที่ ๓ พระบรมศาสดาก็ประทานสาธุการแก่นาง แล้วตรัสถามถึงข้อต่อไปว่า
"ที่เราถามว่า เธอทราบหรือ ทำไมถึงตอบว่า ไม่ทราบ"
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันย่อมทราบว่าตัวเองต้องตายแน่นอน แต่ไม่ทราบว่า จะตายในเวลาใด เพราะเหตุนั้นจึงทูลอย่างนั้น พระเจ้าข้า"
แม้ครั้งที่ ๔ พระบรมศาสดาทรงให้สาธุการแก่นางว่า
"ตอบได้ถูกต้องแล้ว เธอแก้ปัญหาที่เราถามได้ถูกแล้ว"
จากนั้นได้ตรัสเตือนพุทธบริษัทให้หมั่นเจริญมรณสติ นึกถึงความตายเนืองๆ จะได้ไม่ประมาทในวัยและชีวิต แล้วให้เร่งสั่งสมความดี เพราะไม่มีใครรู้ว่า ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไร จึงตรัสเตือนให้หมั่นทำความเพียรว่า
"อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํโก ชญฺญา มรณํ สุเว
น หิ โน สงฺครนฺเตนมหาเสเนน มจฺจุนาฯ
สุตฺต.อุป.๑๔/๕๒๗/๓๔๘
พึงรีบทำความเพียรในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความความตายในวันพรุ่ง
เพราะว่าความผัดเพี้ยนต่อมฤตยูผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย"
เมื่อจบพระธรรมเทศนา มหาชนได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นจำนวนมาก ต่างก็ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ส่วนกุมาริกาเมื่อได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว นางได้ถวายบังคมลาพระบรมศาสดา
ฝ่ายบิดาของนางกำลังนั่งหลับอยู่ เมื่อนางกลับถึงบ้านแล้ว ได้น้อมกระเช้าด้ายหลอดส่งให้บิดา กระเช้าด้ายหลอดกระทบที่ฟืม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องทอผ้าทำให้เกิดเสียงดัง ส่งผลให้บิดาตกใจ เลยเผลอไปกระตุกฟืมอย่างแรง ปลายฟืมกระแทกหน้าอกของนาง ทำให้นางเสียชีวิตในทันที และได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ดังนั้น การเจริญมรณสติ หมั่นระลึกนึกถึงความตายบ่อยๆ จึงมีอานิสงส์มาก นึกถึงแล้วเราจะได้ไม่ประมาทในชีวิต จะได้ตั้งใจทำความดีสร้างบุญสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อถึงเวลาจะละโลก เราย่อมไม่เกิดความกลัว ไม่หวาดหวั่นต่อมรณภัยที่กำลังเกิดขึ้น เหมือนบุคคลเห็นงูพิษขวางอยู่ข้างหน้าในที่ไกล ก็สามารถตั้งสติเอาไว้ได้ แล้วหาไม้เขี่ยให้พ้นออกจากทาง
เพราะฉะนั้น ท่านสาธุชนทั้งหลาย ผู้เห็นโทษเห็นภัยในความแก่ ความเจ็บ และความตายแล้ว พึงอย่าได้ประมาท ให้เร่งรีบทำความดี หมั่นเจริญสมาธิภาวนาอย่าได้ขาด ตั้งใจมั่นว่า จะต้องเข้าถึงพระธรรมกายให้ได้กันทุกคน
อ้างอิงจากหนังสือตามรอยตะวัน
ที่ระลึกงานอุปสมบทอุทิศชีวิต
วันวิสาขบูชาที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙