โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๒ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
28 มกราคม 2025, 09:27:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๒ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย  (อ่าน 4585 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
03 สิงหาคม 2024, 04:50:PM
kapheetam
LV3 นักกลอนประจำบ้าน
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« เมื่อ: 03 สิงหาคม 2024, 04:50:PM »
ชุมชนชุมชน

โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๒

ถึงมณฑล  ดงรัง  อันใหญ่กว้าง
ดอกรังลาน  ตาว่อน  ล่องเวหา
ต้องลมหนุน  หมุนติ้ว  พลิ้วไปมา
ร่อนถลา  พาเพลิน  เจริญใจ
เหล่ามาตงค์  ดมไร  ใคร่ผลุนผลัน
พุ่งชนรัง  ดันโคน  ต้นโอนไหว
ดอกหลุดพวง  ร่วงร่อน  ว่อนพฤกษ์ไพร
แล้ววิ่งไล่  ให้สนุก  สุขอุรา
โพธิสัตว์  ฉัททันต์  ครั้นแลเห็น
เหล่ากเรนทร์  นาเคศ  ชายเนตรหา
จึงย่างเท้า  ก้าวล้ำ  ภรรยา
เดินเข้าหา  พฤกษาแกร่ง  เจ้าแห่งรัง
ครั้นถึงหน้า  พญาไม้  รายใบตก
ราชาคช  วกพักตร์  มองกลับหลัง
เหล่าพลายสาร  พลางพยัก  หน้ารับพลัน
เจ้าไพรหัน  ถลันมุ่ง  พุ่งเข้าชน
เสียงลั่นดัง  รังไกว  ใบกิ่งร่วง
ช่อดอกพวง  ควงว่อน  ร่อนสับสน
ดอกหมุนติ้ว  ลิ่วหา  เหล่ามาตงค์
เกิดสับสน  พงไพร  ไปทั่วพลัน
หลังเบิกฤกษ์  เปิดงาน  การละเล่น
เหล่ากเรนทร์  นาเคนทร์สาง  ต่างหฤหรรษ์
เที่ยวพุ่งชน   ต้นไม้  รายรอบกัน
ร้องสนั่น  ลั่นป่า  น่าเพลินใจ
แต่คราที่   กรีท้าว  เจ้าไพรสัณฑ์
พุ่งชนรัง  มดแดงพลัน  ระส่ำระสาย
ตกกายา  ชายารอง  หมองระคาย
เนื่องอยู่เหนือ  ลมไพร  ร่วงใส่พอดี
ส่วนเกสร  ละอองไม้  กระจายพลิ้ว
ลอยละลิ่ว  ปลิวลม  พรมโฉมศรี
ชายาใหญ่  ให้อร่าม  งามเหลือดี
เหล่าหัตถี  กรีผอง  ร้องก้องไพร
อนุรอง  มองเห็น  เข่นเขี้ยวโกรธ
ลืมตัวโทษ  โกรธา  ไอยราใหญ่
รักเมียหลวง  ห่วงหา  เฝ้าอาลัย
เมียรองไม่  สนใจ  ไยดีกัน 
จึงจดจำ  ฝังแค้น  แน่นดวงจิต
มากทิฐิ  ปิดตา  พาหุนหัน
ไม่ไต่ถาม  ความนัย  อย่างไรกัน
ด่วนสะบั้น  ไมตรี  ที่มีมา

ล่วงเดือนห้า หน้าแล้ง ป่าแห้งหมด
ไม่สวยสด ซบเซา เหล่าพฤกษา
ต้องแดดเผา เฉาไหม้ ไร้ชีวา
มวลช้างป่า พาฝูงเปลี่ยน เวียนสระงาม
บ้างหลบแดด แทรกก่าย ใต้เงากร่าง
บ้างเบิกบาน สนานชล ลงเล่นน้ำ
บ้างหมอบจ้อง ภมรดอม ดอกพลองงาม
บ้างเกียจคร้าน พานซุก คลุกโคลนตม
ท้าวฉัททันต์  ดำองค์  ลงสรงว่าย   
ธารน้ำไหล  ใสงาม  กลางไพรสณฑ์
เคียงดมไร  ใหญ่รอง  ทั้งสององค์   
เพลินสุขสม  จนควร  ชวนขึ้นกัน
ยืนโขดหิน  ผินมอง   ผองพวกหมู่
มีโฉมตรู  คู่กาย  ใจสุขสันต์
เห็นบริวาร  สนานสุข  สนุกกัน
จึงสรวลสันหรรษา  หาใดเกิน
ฝ่ายสองพัง  ภรรยา  คชาเจ้า
ต่างคอยเฝ้า  ก้าวตาม  ไม่ห่างเหิน
คลอแนบชิด  ติดข้าง  ทุกย่างเดิน
ยิ่งขับเสริม  เพิ่มศักดิ์  เจ้าฉัททันต์
ครานั้นมี  ดำรี  ที่ใจหาญ
ดำสระงาม  หว่างพง  ดงบุหงัน
โผล่ทะลึ่ง  ขึ้นปะ  สัตตบรรณ
บานสีสัน  ประชันแข่ง  แกว่งลมไกว
ดอกหนึ่งเห็น  เด่นงาม  หวาบหวามจิต
เจ็ดกลีบผลิ  ปริบาน  งามสดใส
เจิดจรัส  วับสี  มีประกาย
กชทั้งหลาย  กลายหมอง  รองอุบล
เจ้าพลายเห็น  เผ่นพุ่ง  มุ่งเข้าหา
ว่ายธารา  ฝ่าไป  ใจสุขสม
ตั้งใจเด็ด  เก็บให้  เจ้าไพรชม
ถึงเหนี่ยวโน้ม  งวงถอน  ประคองมา
แล้วขึ้นฝั่ง  ตรงยัง  ฉัททันต์เจ้า
พังคาเข้า  เฝ้าหมอบ  มอบบุปผา
นาเคศวร  ยื่นงวงรับ  ปัทมา
คชปรีดา  หน้าใส  ไกลจากจร
หลังรับดอก  บัวบาน  พลายสารเจ้า
ยกเหนือเกล้า  งวงยาวชู  พรูเกสร
ร่วงโปรยพรม  บนตัว  หัวกระพอง
เหลือดอกหอม  กุญชรให้  เมียใหญ่เชย
อนุรอง  มองพลาง  ร้าวรานจิต
ครุ่นดำริ  คิดแค้น  แสร้งทำเฉย
รักเมียใหญ่  ไม่เหลือ  เผื่อตนเลย
ปากไม่เผย  เอ่ยไป  ใจจดจำ

แล้ววันหนึ่ง  ถึงครา  บรรดาสัตว์
จะได้สะ  สมทาน  สร้างทางสวรรค์
มีหมู่สงฆ์  ธุดงค์ชัฏ  พักแรมกัน
ปักกลดข้าง  สระใหญ่  ใกล้นที
ท้าวฉัททันต์  ครั้นทราบ  เอิบอาบจิต
หวังคติ  ปิดอบาย  ตายสุขี
หากถวาย  ผลไม้  ให้มุนี
จึงป่าวร้อง  ชวนน้องพี่  ทำดีกัน
เหล่าพหล  พลช้าง  เบิกบานยิ่ง
พากันวิ่ง  เข้าไพร  ใจสุขสันต์
เก็บผลหมาก  รากไม้  รายรอบพลัน
อึกทึก  คึกลั่น  สนั่นไกล
ทั้งกล้วยหอม  งอมเหลือ  เนื้ออร่าม
อ้อยมะปราง  ลางสาด  มากเหลือหลาย
ทั้งเผือกมัน  ฝรั่งหม่อน  กองเรียงราย
แตงลูกหวาย  มะไฟหวาน  บานพะเนิน
ท้าวพารณ  คนมะซาง  ด้วยน้ำผึ้ง
เคล้าผิวคลึง  ซึมผ่าน  รสหวานเพิ่ม
แล้วกอบใส่  ใบบัว  ทูนหัวเดิน
สองนางเสริม  ผลาผล  ขนตามไป
ฝูงดมไร  ไอยรา  พากันรุด
ไม่ซนซุก  หลุกหลิก  ผิดวิสัย
มุ่งพำนัก  ที่พักสงฆ์  ธุดงค์ไพร
ดูยิ่งใหญ่  โอฬาร  ตระการตา
ถึงสระใหญ่  ใจพอง  มองภิกษุ
เจ้าไพรหยุด  ทรุดยอบ  นอบเกศา
เหล่าบริวาร  ผสานตาม  สารราชา
ต่างก้มหน้า  น้อมเศียร  เตียนติดดิน
เจ้าจุลล  สุภัททา  ภรรยาสอง
ตั้งจิตปอง  น้อมตรง  องค์ทรงศีล
ขออานิสงส์  ผลทาน  เป็นตามจินต์
ชีพแดดิ้น  สิ้นใจ  ครรไลลา
แม้นเกิดใหม่  ให้จง  สมความคิด
หลังจุติ  ปิดอบาย  ไกลทุกขา
เกิดในพงศ์  วงศ์ศักดิ์  กษัตรา
มีชื่อว่า  สุภัททา  กัลยาณี
ครั้นเติบใหญ่  ให้งาม  ตระการโฉม
ใครยินยล  ชมคำ  โจษจันศรี
เป็นที่รัก  ประทับใจ  ไพร่ผู้ดี
เจ้ากาสี  ธานีใหญ่  ให้โปรดปราน
นับแต่นั้น  พังเจ้า  ไม่เฝ้าติด
ตามสนิท  ชิดเคล้า  เจ้าช้างสาร
ไม่ดื่มกิน  ไม่สุงสิง  บริวาร
วันคืนผ่าน  สังขารรูป  ซูบซีดไป
จนวันหนึ่ง  ฟ้าครึ้ม  ซึมผิดแปลก
วังเวงแทรก  แนบเศร้า  เหงาไฉน
เหมือนเป็นลาง  บันดาลเหตุ  แห่งเภทภัย
ผืนป่าใหญ่  เงียบเหลือใจ  ไปทั่วกัน
กรินีนิ่ง  สิ้นใจ  ในที่สุด
ล้มหมอบทรุด  ฟุบดิน  สิ้นอาสัญ
ชีพสลาย  แตกตาย  วายชีวัน
ไร้คู่ขวัญ  ลำพังตน  ในดงแดน
ร่างทับถม  จมดิน  สิ้นภพชาติ
ตัดไม่ขาด  อาฆาตจิต  คิดขุ่นแค้น
แม้นเกิดใหม่  ฉันใด  ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอตามแค้น  ตามอาฆาต  ทุกชาติไป

ปีวันเลื่อน  เคลื่อนผ่าน  กาลหมุนเปลี่ยน
สุขทุกข์เรียง  เวียนกลับ  เกิดดับสลาย
เคยทุกข์ทน  พลันพ้นทุกข์  สุขสบาย
เคยเฉิดฉาย  กลายพลาด  ยากฝืนกรรม
สิ้นจุลล  สุภัททา  ภรรยาสอง
เจ้ากุญชร  นองน้ำตา  พาโศกศัลย์
เฝ้าคำนึง  ถึงคู่  เคยอยู่กัน
ตรมชอกช้ำ  วันผ่าน  ก็สร่างไป
ณ ธานี  บุรีเขต  ประเทศราช
ดารดาษ  หลากชน  ปนหลั่งไหล
สู่สรุก  สุขแสน  แดนอำไพ
พราหมณ์ศูทรไพร่  ไร้ทุกข์  สุขสำราญ
กิจการ  ร้านค้า  แน่นหนายิ่ง
ทั้งของกิน ของใช้  ให้ล้นหลาม
ทั้งภูษา  อาภรณ์  มองละลาน
เครื่องจักสาน  ลายครามเงิน  เกินจำนรรจ์
เจ้ามัททะ  กษัตรา  ราชาใหญ่
ทรงเห็นใจ  ผองไพร่  ได้สุขสันต์
ไม่ตึงเคร่ง  เค้นส่วย  เอื้ออวยกัน
ทั่วเขตขัณฑ์  ร่ำลือ  ระบือไกล
ยิ่งใกล้ครบ  ทศมาส  คาดครรภ์คลอด
ทรงประกอบ  ครอบคลุม  บุญมากหลาย
ตั้งโรงทาน  ประทานทรัพย์  สลับไป
ไพร่หน้าใส  ชื่นใจ  ไปทั่วกัน
ครั้นถึงฤกษ์  เบิกฟ้า  ชายาประสูติ
ธิดาผุด  ผ่องงาม  ดังนางสวรรค์
ทั่วนคร  โห่ร้อง  แซ่ซ้องกัน
นามลือลั่น  สุภัททา  กุมารี
เมื่อเติบใหญ่  วัยสาว  ราวสิบห้า
พระบิดา  พาเฝ้า  เจ้ากาสี
ถวายตน  ปรนนิบัติ  คอยพัดวี
องค์ภูมี  ปรีดิ์ปลื้ม  ชื่นฤทัย
นั่งเคียงคู่  ภูวดล  สนมเอก
ใต้เศวต  ฉัตรงาม  เคียงข้างไท้
มีอำนาจ  มากล้น  สนมใด
หมื่นหกพัน  นางใน  ใต้บัญชา
ซ้ำแรงคิด  อธิษฐาน  วายปราณจิต
ก็สัมฤทธิ์  นิมิตเห็น  เด่นนักหนา
อดีตชาติ  มากเศร้า  ร้าวอุรา
องค์ชายา  พาโกรธ  โทษฉัททันต์

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ระนาดเอก, msp.

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s