O รูปนามเอย .. O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
25 พฤศจิกายน 2024, 09:02:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O รูปนามเอย .. O  (อ่าน 7499 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
06 กุมภาพันธ์ 2019, 06:28:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2019, 06:28:PM »
ชุมชนชุมชน







O ลมยามเย็นโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
เมื่อความร้อนเพียบพูนค่อยสูญสลาย
ความมืดมัวหม่นดำเริ่มกล้ำกราย
เมื่อแสงปลายช่วงวัน .. ดับ-อันตรธาน
O แว่วสรรพเสียงนกค่ำ .. เริ่มร่ำร้อง
เมื่อคีตพร้องพร่ำศัพท์ขึ้นขับขาน
ลมอุสุมโลมลูบต้องรูปคราญ
เมื่อแก้วผ่านกรุ่นหอมมาล้อมรอ
O เหมือนหรีดหริ่งเรไร .. นั้น-ให้เสียง-
แทนสำเนียงพร่ำพร้องในห้องหอ
พร้อมภาพกาลโน้มแนบ .. ร่าง-แอบออ
เผยภาพขึ้นยั่วล้อ .. ให้ทรมาน
O จาก .. ไปวัดทำบุญเพื่อหนุนชาติ-
หวังป่นปราศ-โศกเศร้าคอยเผาผลาญ
ถึง .. คำข้าวคำบวง .. เมื่อช่วงวาน-
สุข-เอ่อซ่านอารมณ์ .. เกินข่มลง
O จน .. คำพระกล่อมเกล้า .. เมื่อเข้าสาย
ผ่านความหมายต่อเติมเข้าเสริมส่ง-
เรียงร้อยบทพุทธธรรมให้ธำรง-
อย่างมั่นคงแนบชิด .. กลางจิตใจ
O ตราบ .. คู้ค้อมศีรษะกราบพระเจ้า
หอมกลับเร้ารุม .. รม เกินข่มไหว
แว่วศัพท์เสียง, ความ, คำ .. พร้อมกำไล-
กรรทบให้ .. เงียบงัน .. สิ้น-อันตรธาน !
O รูปองค์พระสีทองงามผ่องใส
เมื่อหัวใจรายล้อมด้วยหอมหวาน
ธูป, เทียน, ช่อเสาวคนธ์ที่บนพาน
ก็เผยผ่านครบครัน .. ในสัญญา
O งดงามแห่งรูปเยาว์ในเช้าวัน-
เหมือนรอโอบอุ้มขวัญกลางพรรษา
แต่งรื่นรมย์โสมนัส .. ล่มศรัทธา-
ด้วยแววตาปลาบปลั่ง .. ทอ-สั่งการ
O หลัง..คำสอนความพระ .. เสียงจะแจ้ว
คือเสียงรับคำแผ่ว .. ดังแว่วหวาน
คล้าย-สะไบงามอะเคื้อ .. ห่มเนื้อคราญ-
เผยภาพผ่านทับซ้อน .. แต่ตอนนั้น
O สองมือเรียวกอบประนม .. หน้าก้มน้อม
ผมหล่นล้อมรูปหน้า .. แววตาหวั่น-
จากอุทธัจขัดเขิน .. มอง .. เมิน .. กัน
จนอกใจระทึกสั่นแต่วันเพรง
O ภาพเยื้องย่างก้าวคอย .. ชม้อยตา-
พร้อมวงหน้างามพิสุทธิ์ - ค่อยรุดเร่ง-
ขึ้นวอให้ทาสหญิง .. น้อม-กริ่งเกรง
คอนขึ้นไหล่คร่ำเคร่ง .. รุดเร่งเดิน-
O -นั้น-ยังคงติดตามจนยามนี้
ท่วงท่าที-มองสบ .. แล้วหลบ .. เขิน-
หลัง .. แววตาโหมระลอก .. เฝ้าหยอกเอิน
แรงสะเทิ้นในทรวงก็ช่วงแวว
O มาบัดนี้ .. รูปองค์ที่ตรงหน้า,
คำพูดจาอ่อนหวานที่ผ่านแว่ว-
ราวเผยรูปงามพิสุทธิ์ .. ยื้อยุดแวว-
ตา .. สบความผ่องแผ้ว .. ทุกแววตา
O ยังคงเป็นโบสถ์พระ .. วาระนั้น
จากแรกวันชาติภพ .. พานพบหน้า
ยังคงเป็นท่วงที .. เคยมีมา
งาม .. แจ่มจ้าในอกเกินยกพ้น
O ตาสบรูป .. มือเรียว-ราวเหนี่ยวหน่วง-
เอาความเงียบเหงาปวง .. พาร่วงป่น
ตาสบตา .. ในอกก็วก .. วน-
สั่นไหวอลเวงอยู่ .. ไม่รู้แล้ว
O แล้วงามก็ลุกลามขึ้นท่ามกลาง-
ความเวิ้งว้างล้อมห่มด้วยลมแผ่ว
ความหวานซึ้งอบอุ่น .. ก็หมุนแวว-
ตาผ่องแผ้วสบรู้ .. แรงชู้ชาย
.
.
O ราว .. หัตถ์ทิพจับวางลงขวางหน้า
ยั่วแววตาอ่อนโยนให้โชนฉาย-
ความอาลัยอาวรณ์เกินผ่อนคลาย
เผยรำบายสำหรับให้รับรู้
O เมื่อเผยรูปคอยล้อมไม่ยอมหลบ
ทุกตาสบตากัน .. ฤๅ-กั้นอยู่-
กับอ่อนหวานเพียบเพ็ญ .. ด้วยเอ็นดู
เฝ้าเวียนเผยความสู่ .. ถึงผู้เดียว
O เมื่อเผยรูปลักษณ์ล้ำ .. มาค้ำอก
ความหยิบยกย่อมต้อง .. ขอ-ข้องเกี่ยว
หวัง .. ถึงเนื้อเนียนผิวของนิ้วเรียว-
เอื้อมมาเหนี่ยวเด็ดใจ .. เอาไปครอง
O ด้วย-งามรูปรอยจริต .. ให้พิศเพ่ง,
แววตาเปล่งปลาบพรับให้จับจ้อง,
โลกก็เหมือนเลื่อนรับการจับจอง
หลังแววผ่องแผ้วหวาน .. วาบผ่านตา
O จีวรพระเหลืองลออ .. ปลิวล้อลม
เมื่อแววความรื่นรมย์ .. บัง .. บ่มหน้า
ทับซ้อนภาพ .. รูปคราญ .. ครั้งนานมา
ผู้คอยหาละห้อยเห็นไม่เว้นยาม
O สายลมยังโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
เมื่อดวงตาเหลือบค้อน .. ราว-อ้อนถาม-
ว่า .. เวียนสบตาอยู่ .. ฤๅรู้ความ-
ว่า .. ตาวามวับอยู่ – คือ .. รู้แล้ว ?
O เมื่ออาวรณ์ในทรวง .. เริ่มช่วงฉาย
ก็เมื่อสายลมเร้า..อย่าง-เบาแผ่ว
ความอ่อนหวานในอก .. จึงยกแนว-
เผยผ่านแววตาสะทกสะเทิ้นนั้น-
O –ให้รับรองหวานหอมที่ล้อมอยู่
ทั้งรับรู้ .. ว่าใจที่ไหวสั่น-
จากคำบวงสืบสร้างแต่ปางบรรพ์
ครั้งร่วมขันคำข้าว .. ร่วมกล่าวคำ
O รอคอยเถิด .. อกใจผู้ใฝ่หา
พากย์พรรณนามอบสู่ .. ให้รู้สัม-
ผัส .. อารมณ์หมายปองเพื่อจองจำ-
เจ้า .. ให้คร่ำครวญหาด้วยอาลัย
O สุดหัวใจ .. ถ้อยคำตอกย้ำอยู่
เพื่อแรงชู้รัดพันโอบขวัญให้-
รับรองการฝ่างามเอาตามใจ
ด้วยอาลัยอุ่นร้อน .. ที่ย้อนรอย
O เมื่อหัวใจใฝ่หา .. รูปราศี
เส้นทางที่ดุ่มเดินก็เกินถอย
รูปแพงเอย .. ความพิไลที่ใฝ่คอย-
คือแสงพร้อยแห่งเพชรเพียงเม็ดเดียว !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2015&date=04&group=11&gblog=638&fbclid=IwAR0FujEGihy4CxJ9CRlk5gGVkvNWgLWKqKVa426uJ6617_b_T7ZeZCR4qVM

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
26 กุมภาพันธ์ 2019, 06:47:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #1 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2019, 06:47:PM »
ชุมชนชุมชน



O เพียงเจ้า .. O





O เห็นไหมแสงอ่อนโยนแต่โพ้นภพ
ล้อมตระหลบโลมขวัญ .. ทำสั่นไหว
เผยผ่านรูป .. ความ, คำ .. เฝ้าร่ำไร
ยั่วเย้าให้ใจหนึ่ง .. คำนึง-คอย
O มองเห็นไหม .. ใครกัน .. ในฝันเจ้า
ช่วยทอนเปล่าเปลี่ยวบท .. จนลดถอย
แต้มแววตาผุดผ่อง .. ให้ล่องลอย-
ไปกับถ้อยความคำ .. แห่งน้ำใจ
O เห็นไหม .. เดือน - พร่างอยู่กลางหมู่ดาว
เปิดห้วงหาวน้อมรับ การขับไข
เช่นเดียวกับ .. ปรารถนาแห่งอาลัย
แนบสุมใส่ .. สำหรับ .. การจับจอง
O จึงแม้นอนหลับฝัน .. เถิด-ขวัญเจ้า
ถ้อย-รุมเร้าจักโหม .. เข้าโลม-ต้อง
ล้อมรัดใจอ่อนเจ้า .. เพื่อเข้าครอง-
การพร่ำพร้องละห้อยหา .. ทั้งราตรี
O ภาพ-ข่มยิ้มขัดเขิน .. ทำเมินหน้า
ก็-แทรกฝ่าแก้มเนื้อ .. เนียน .. เรื่อสี
จักเผลอเผยเลศชู้ .. ให้รู้ที-
รู้ท่า-ความใยดี .. ผู้มีใจ
O จากนั้น .. ลมแห่งโลกจะโบกบ่าย
โรยร่ำสายล้อมรับ .. การหลับใหล
จังหวะเต้นทุกช่วง จากทรวงใคร-
ย่อมสั่นไหวรอถนอม .. อย่างยอมตน
O รู้ใช่ไหม .. ความกระซิบจากลิบโพ้น-
แสนอ่อนโยนสุมสั่ง .. เพื่อหวังผล-
ให้อาวรณ์อาลัย .. คอยไหววน-
พาใจนั้นลิ่วหล่น .. อยู่อลเวง !
O รู้ใช่ไหม .. ตากระพริบอยู่ปริบปรอย-
นั้น-จากถ้อยเร้ารุม .. เข้ากุมเหง
หวานหอมพร้อมมธุรส .. เยี่ยง-บทเพลง-
โหมบรรเลงปฏิพัทธ .. ลงรัดรึง !
O แต่เพียงเจ้าเท่านั้น .. เจ้าขวัญน้อย
หวังเคลิ้มคล้อยถ้อยความ .. จนลามถึง-
ใจ .. ต้องหวานดาลฤทธิ์ .. จนติดตรึง-
รสหวานซึ้งแห่งชู้ .. อย่ารู้คลาย
O หวังสื่อถึงใจเจ้า .. รูปเยาว์เอ๋ย
ผ่านรำเพยลมร่ำ .. พรมพร่ำ .. สาย
ว่า-ค่ำดึกคืนเปลี่ยว .. ผู้เดียวดาย-
ควร-แต่หนุนอุ่นอายไว้แอบอิง !
O กระซิบความสู่ขวัญ .. เช้ายันค่ำ
ว่า-ความ .. คำ จากใจ .. นี้-ใหญ่ยิ่ง
อ้อมอกเยี่ยงเสาหลัก .. รอพักพิง-
ให้แก้มเนียนเกลือกกลิ้ง .. รอยิ่งแล้ว !
O หวัง-อาวรณ์ย้อนย้ำ, ความคร่ำครวญ-
จักอบอวลสร้อยเสียงแต่เพียง .. แผ่ว
จันทร์ดาวทอแสงระยับ, ความวับแวว-
จากดวงตาผ่องแผ้ว .. อาจแล้วฤๅ ?
O งาม .. ยิ่งแสงบนสรวงทุกช่วงชั้น
แฝง-รูปฉันทาทิพย์ .. กระพริบ-สื่อ
แทรกอารมณ์กอดเกี่ยว .. ให้เรียวมือ-
ร่วม .. ยุดยื้อ .. โอบไว้กล่อมให้นอน
O งาม .. จะยิ่งวับวาวกว่าดาวดื่น
กับเสียงความโอดอื้น .. เกินฝืน-ซ่อน
งาม .. จะยิ่งลามล่วงทุกช่วงตอน-
ที่ที่ความออดอ้อน .. ยากผ่อนรอ
O สิ้นแล้ว .. แสงดาวจันทร์บนชั้นฟ้า
หลัง-แววตาปรอยปริบ .. กระพริบ .. ส่อ
จน-อบอุ่นเลี้ยวลอด .. ลงทอดทอ
การยั่วล้อทรมาน .. ย่อม-ผ่านใจ
O เพื่อว่าแสงอ่อนโยนแต่โพ้นภพ
จักฝ่าพลบฝ่าฝันถึงกันได้
เชื่อมรูปนามอ่อนละมุน .. แนบอุ่นไอ
รู้-อ่อนไหว .. อ่อนหวาน ทุกด้าน - พร้อม !
O สิ้นแล้วปวง - สังคีตประณีตศัพท์-
ที่เคยแว่วให้สดับเสียงขับกล่อม
เมื่อสร้อยเสียงกระซิบสู่ .. เกินรู้ออม-
ค่อย-รายล้อม .. สร้อยศัพท์ให้รับรู้
O ใช่ไหมว่า .. ตากระพริบอยู่ปริบปรอย
เหมือน-เฝ้าคอยอาวรณ์ให้ย้อนสู่
และเหมือนว่า .. รูปธรรม, ความดำรู-
เผยรูปอยู่สำทับ .. ให้รับรอง
O รู้ใช่ไหม .. ความกระซิบจากลิบโพ้น-
อย่างอ่อนโยนพาใจ .. เจ้าไหลล่อง-
ฝ่าดาษดาวแสงระยับ .. หวัง-จับจอง-
ความผุดผ่องพร่างแพร้ว .. ทุกแววตา !
O รู้ใช่ไหม .. ความคำที่พร่ำสู่-
เพื่อ-รับรู้ .. เฝ้าคอยละห้อยหา
เพื่อ-อ่อนไหว .. ทรมานด้วยมารยา
และเพื่อว่า .. ถวิลอยู่ ไม่รู้วัน !
O รู้ใช่ไหม .. กระซิบคำในค่ำดึก
เพื่อ-ส่วนลึกห้วงใจ .. เมื่อ-ไหวสั่น
จักทอดวางรูปเงา .. เยี่ยงเถาวัลย์-
กอดกระหวัดรัดมั่น .. จวบวันตาย !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=08-2014&date=13&group=11&gblog=570

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
23 มีนาคม 2019, 01:12:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #2 เมื่อ: 23 มีนาคม 2019, 01:12:PM »
ชุมชนชุมชน



O รูปนามแห่งความรัก .. O





O กลั่นเม็ดน้ำวางรูป .. เห็นวูบวับ-
ขึ้นตอบรับแสงสรวงที่ช่วงฉาย
รูปปีกบางโบกพลิ้ว .. อวดริ้วลาย
ล่องตามสายลมอ้อน .. อย่างอ่อนโยน
O กลางม่านหมอกขาวขุ่น .. แดดอุ่นเช้า
ความเงียบเหงาล้อมกัก เริ่มหักโค่น
เมื่ออีกหนึ่งความหมายเริ่มถ่ายโอน-
อบอุ่นโชนแรงช่วงเกินหน่วงแล้ว
O ปีกลวดลายโบกบินผ่านตฤณชาติ
เมื่อลมลาดเลื่อนริ้วยังพลิ้วแผ่ว
คล้ายในตาลอบเร้น .. ตอบเต้น, แวว-
วามผ่องแผ้ว .. พรับพลิ้วฝากริ้วลม
O ดวงวันค่อยลบลาญเลื่อนม่านหมอก
เพื่อดวงดอกไม้ชูช่อสู่สม
คันธรสรอพร้อม, การจ่อมจม-
ลงเชยชมแห่งภู่ ฤๅรู้พอ ?
O ปีกพร่างพรายรายล้อมรสหอมหวาน
ที่กลีบมาลย์, เรณู-ช้อยชูล่อ
ผานิตรูปหยดน้ำ .. ราวร่ำรอ-
การจดจ่อรูปเงาแห่งเช้าวัน
O ชั่วรังสีดอกแดด .. ทอดแวดล้อม
ก็อาบย้อมธรณีด้วยสีสัน
ชั่วปีกนกเหยียดกระหยับ, ก็ฉับพลัน-
ความเงียบงันในอกก็ยกตัว
O ปีกผีเสื้อลวดลายบินบ่ายโบก
ผ่านแรงโศกแรงเศร้าเคยเย้ายั่ว
มองฟ้าแล้วยิ้มหยัน .. กับสั่นรัว-
ครั้งที่หัวใจเยาว์ .. ยังเขลานัก
O ปีกผีเสื้อลวดลายยังบ่ายโบก
ยั่วเย้ยโลกหวานหอมให้ล้อมกัก
ฝ่าพ้นฤๅ .. รูปนามแห่งความรัก-
ที่ค่อยถักทองามลงล่ามใจ ?
O กลางปีก-ลายหรุบคลี่, เท่าที่เห็น-
เพียงแววตาลอบเร้น-ที่เต้น .. ไหว
งามโลกที่เบื้องหน้า หรือตาใคร-
เผลอวับวามเลศนัย .. ออกให้รู้ ?
O แม้นไม่งามพร้อมพรั่งไปทั้งหมด
ยังปรากฏแต่งามเกินห้ามอยู่
ภุมรินดื่มด่ำรสดำรู
เมื่องามตรูกักล้อม .. ให้จ่อมจม
O หรือ-เร้นแฝงลงทรวงให้ห่วงหา
เพื่อเคี่ยวเข็ญ .. ทรมาให้สาสม
หรือ-ลอบเร้นแฝงรอย .. เพื่อคอยชม-
แรงปรารมภ์ถวิลเห็น .. ไม่เว้นยาม ?
O หรือ-อำพรางรูปอยู่ด้วยรู้ว่า-
แรงห่วงหาล้อมกักเกินหักข้าม
หรือ-รู้ทันเลศนัยว่าไหลลาม-
เข้าคุกคามอาวรณ์ให้ร้อนรน ?
O หมอกขาวที่เคยลอยอย่างอ้อยอิ่ง
บัดนี้ทิ้งรอยล่วงจากห้วงหน
ขณะแววตาสะทกกลับวกวน-
แทรกรูปบนจินตนาไม่ล้าเลือน
O ปีกนกคลี่ร่อนคว้างที่กลางหาว
แววตาวาววามอยู่ก็ดูเหมือน-
คอยแฝงฝากรูปนามเฝ้าตามเตือน-
ทุกขยับทุกเขยื้อน .. คอยเลื่อนล้อม
O กลาง-แดดสาย, มาลย์สี, ปีกคลี่โบก
งามทั้งโลกคล้ายกับเฝ้าขับกล่อม
ให้คำนึง ให้ถวิล ให้ยินยอม-
ลงแนบน้อมผ่องแผ้วแห่งแววตา
O ผีเสื้อปีกลวดลายลับหายแล้ว
เมื่อภาพแววตาปรอยชม้อยหา-
คล้ายเพรียกแรงผูกพันพร้อมฉันทา
พันธนาล้อมล่ามด้วยงามนั้น !
O สายแล้ว .. หยาดน้ำค้างย่อมจางหาย
หากความหมายในตา .. ยังพร่าสั่น-
โลมลูบอารมณ์ชายจนคล้ายกัน-
ที่ความหวั่นไหว .. ห่วง .. ท่วมดวงใจ !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=11-2014&date=17&group=11&gblog=602

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : สุวรรณ, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
27 มีนาคม 2019, 06:03:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #3 เมื่อ: 27 มีนาคม 2019, 06:03:PM »
ชุมชนชุมชน



O เสน่หา .. O





O นั่น .. นกฟ้าบินคว้างร่อนกลางหาว
เมื่อเดือนดาวลอยดวงขึ้นช่วงฉาย
พร่ำพร้องเสียง .. เล่นแสง .. ไม่แฝงกาย
ร่อนโล้สายลมร่ำ .. ให้นำทาง
O อาจรู้ฤๅ .. ที่มาแหล่งอาศัย
ทั้งรูปไพจิตรล้นแห่งขนหาง
หวัง .. สักวันปลายปีกเมื่อฉีกกาง-
อาจลิ่วคว้างคว้างร่อน .. เกลือกขอนดิน
O แหละเมื่อนั้น .. รมยาแห่งหล้าต่ำ-
จักร่วมพร่ำพร้องช่วง .. แสงดวงศศิน-
ให้ทอทาบเงาวิหค .. ยามผกบิน
เพรียกปีติธรณิน ตราบ .. สิ้นวัน
O แต่เริ่มเดือนลอยดวงบนสรวงสูง
ก็เพรียกฝูงโบกบิน .. ผ่านถิ่นฝัน
อย่างแช่มช้าปีกโฉบ .. เข้าโอบจันทร์
พร้อมโอบขวัญอ่อนละมุน .. ให้อุ่นพร้อม !
O เพื่อ-ตฤปรสน้ำค้าง .. กินต่างข้าว
ทั้งเหนี่ยวน้าวกลีบมาลย์ .. รสหวานหอม
กอปรรูปรอยงามล้ำให้ด่ำดอม
เอาห่มห้อมโอบเอื้อเป็นเนื้อเดียว
O จากที่ยืนอยู่นี่ .. ถึงที่นั่น
ห่างไกลกันเกินกว่าสายตาเหลียว
กลับเหมือนได้เกี่ยวร้อยด้วยก้อยเรียว-
พาโน้มเหนี่ยวหวานหอมที่ล้อมลน
O ขณะคิด .. ถวิลถึงเพียงหนึ่งช่วง
จิตก็ห่วงถึงกันนับพันหน
ขณะชั่วลมไหว .. หัวใจคน-
ก็ดิ้นรนถวิลเห็นไม่เว้นวาย
O ภาพแฝงในน้ำค้าง .. เหมือนร่างเงา-
อันรุมเร้าใจอยู่ไม่รู้หาย
ละม่อมพักตร์เปล่งปลั่ง .. กระทั่งกาย-
ราวจะพลอยรำร่ายกลางสายตา
O จากที่เฝ้าคิดถึง .. ใครหนึ่งนั้น-
โกสุมพรรณโรยหอมเข้าล้อมหา
ปีกนกฟ้าโบกไหวอยู่ไปมา
แต่เหมือนว่าใจคนยังวนวก
O ริ้วลมร่ำโลมลูบ .. จบจูบมาลย์
ฤๅเท่าความหอมหวาน .. ซึ้ง .. ซ่านอก
ความออดอ้อนถ้อยกระซิบก็หยิบยก-
เอาล้อมปกป้องเหงา .. อีกเพลาแล้ว
O ปีกนกกลางลมเอื่อย .. ที่เฉื่อยโชย
ก็พลิ้วรูปโบกโบยอย่างโผยแผ่ว
นึก-เนตรคมปลั่งปลาบ .. ไหววาบแวว
สบ-ย่อมแผ้วผ่องล่วงทั้งดวงมน
O ปีกนกล้อลมร่ำ, ถ้อยรำพัน-
ก็ล้อฝันปรารถนาอีกคราหน
ปีกเบาบางล่องฝ่า .. ฟากฟ้าบน
เมื่อใจหนึ่งดิ้นรนอยู่บนยาม
O ปีกบางร่อนเรื่อยไปที่ในฟ้า
เมื่อแววตาสื่อทราบ .. รอยวาบหวาม
คำนึงผู้อ่อนไหว .. ก็ไหลลาม
ล่วงเขตดาววับวาม .. อย่างย่ามใจ
O ปีกเบาบางกางโบก .. เย้ยโลกต่ำ
เมื่อความคร่ำครวญตอนที่อ่อนไหว-
เริ่มเย้ยยั่วโลกธรรม .. อยู่ร่ำไป
อย่างร่ำไร .. ออดอ้อนเกินผ่อนลง
O มีขอบคุ้งโค้งฟ้า .. ค้ำคาขวาง
เป็นอยู่พร้อมช่วงห่างด้วยร่างหงส์
ทั้งห้วงเหวลึกล้ำแห่งจำนง
เป็นเขตคงคาอยู่ให้รู้ควร
O ปีกบางยังโบกบ่ม .. ยั่วลม-ยอ
เมื่ออาวรณ์ยั่วล้อ .. ร่ำรอหวน
ปีกนกโบก .. โลกภพก็อบอวล
ร่วมคร่ำครวญ .. วาระ .. จังหวะเดียว
O ปีกเบาบางกางโบก .. ลับโลกแล้ว
เมื่อขลุ่ยแว่วทำนองให้มองเหลียว
หมายว่ารูปงามแสน .. ทอดแขนเรียว-
ร่วมก้อยเกี่ยวร่วมย่าง .. เส้นทางจร
O ขณะคิดถวิลเห็นอยู่เช่นนั้น
ก็ผูกพันแน่นอยู่ .. เกินรู้ถอน
ขณะลมเฉื่อยโชย .. ขลุ่ยโหย .. วอน
รอบอาวรณ์ก็เห่โหมอยู่โครมครืน
O ขณะคิด .. ถวิลอยู่, ความรู้สึก-
จำหลักลึกเกินกว่าจะกล้าฝืน
ขณะนั้นคำอ้อนราวย้อนกลืน-
กลบทุกแรงขัดขืน .. ใต้ผืนทรวง
O สัมผัสความรื่นรมย์แห่งลมร่าย
เมื่อจันทร์ฉายรอบพิมล .. จากบนสรวง
หมาย-ใครอ่านถ้อยคำ .. พี่บำบวง-
แล้วสุดหน่วงเหนี่ยวใจ .. อาลัยรัก !

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sdayoo&month=21-12-2012&group=11&gblog=430
บันทึกการเข้า
02 เมษายน 2019, 03:47:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #4 เมื่อ: 02 เมษายน 2019, 03:47:PM »
ชุมชนชุมชน



O ก่อนอุษาสาง .. O





O ไฟเลื่อนแล่น, เมฆสว่าง ณ กลางคาบ
เดือนลบภาพ, ดาวระยับ ก็ลับหาย
ลมเหนื่อยอ่อนร่ำโรย .. น้ำโปรยปราย-
หยาดเป็นสายฝนเย็น .. ลงเต้นรำ
O ร่วงเม็ดลงกรรโชกให้โลกตื่น
พาเย็นรื่น-ฝ่าพลบให้อบร่ำ
ไฟแล่นสายคำรณกลางฝนพรำ
แววลอบเหลือบลึกล้ำ .. ก็ตำตา
O เมื่อเม็ดฝนหล่นสาย, ลมบ่ายโบก
หวานแห่งโลกก็กระหวัดกลางวรรษา
หอมแห่งมวลมาลีย่อมมีมา-
ร่วมคุณค่าขับขจ่างขึ้นกลางใจ
O พร้อมเม็ดน้ำหล่นคว้างอยู่กลางพลบ
คือชาติภพ, นามรูป .. สบ-วูบไหว
ตั้งภาวะตื่นรู้ .. ว่าผู้ใด-
เพรียกอาลัยฝ่าฝนที่หม่นครึ้ม
O แสงสรวงฟาดเฟื้อยรูปอยู่วูบวับ
เสียงตอบรับทุกครั้งก็ดังกระหึ่ม
เลื่อนเส้นเข้าโบยตีเมฆสีทึม
ขับความอึมครึมปวงจนล่วงรอย
O เมื่ออ่อนหวานพาดแนวในแววตา
ล่มความว้าเหว่-ดับลงยับย่อย
ชี้, บงการ, รุมเร้า .. ให้เฝ้าคอย
เหลือบชม้อยวาบนั้น .. รัด-พันธนา !
O แสงสรวงยังเฟื้อยเส้นโลดเต้นอยู่
เลศนัยชู้เหลือบชม้อยก็คอยท่า
ฝนหยาดเม็ด, ลมพลิ้วเป็นริ้วมา
เสน่หาในอกก็ยกตัว
O ลมเหนื่อยอ่อนค่อยพลิ้วเป็นริ้วผ่าน
แววอ่อนหวานก็เผยออกมาหยอกยั่ว
ขณะพืดฟ้าบนยังหม่นมัว
การณ์ก็เริ่มจะเป็นตัว .. จะเป็นตน
O คำนึงในสัญญา .. ช่างพร่าพราย
กลางแววตาลอบชม้าย-กลางสายฝน-
พรากเวิ้งฟ้าโอบดินหลั่งริน .. ปรน-
เปรอ .. จิตวนเวียนอยู่ .. กับผู้เดียว
O วาบวามแสงบนฟ้า, แววตานั้น-
วามไหวสั่น, เผยรอยเมื่อคอยเหลียว
เยื่อใยอย่างแฝงเร้น-ฟั่นเป็นเกลียว
เข้ายึดเหนี่ยวหน่วงใจ .. คอยไขว่คว้า
O ลมเหนื่อยอ่อนยังพลิ้วเป็นริ้วแผ่ว
ลอบเหลือบแววตาชม้อยเหมือนลอยฝ่า-
สายฝน, พืดฟ้ามัว .. หยอกยั่วมา
ยอคุณค่าล้อมห่ม .. เมื่อลมวก !
O เย็นเยียบสายลมร่ำแห่งค่ำนี้
ผ่านเรื่อยรี้อ่อนโยนแทนโผนผก
พร้อมแววตาไหวหวั่นเหมือนสั่นสะทก
บอกว่าในหัวอก .. มีหัวใจ
O ในแววตาขัดเขิน, การเมินชม้อย-
คือเฝ้าคอยเพรียกสิทธิ์ความพิสมัย
การชม้ายเมินหลบ, ครันครบใน-
การพร่ำเพรียกอาลัยอย่าให้เลือน
O ฝนขาดเม็ด, ลมค่ำยังร่ำผ่าน
เมื่อหอมหวานรำบายลงป่ายเปื้อน
อิริยา, รูป, จริต-เฝ้าติดเตือน
จนสุดเกลื่อนสุดกลบให้ลบแล้ว
O ขอบฟ้าเรื่อ, ปีกนกเริ่มโบกบิน
จำพรากถิ่นฝ่าลมที่พรมแผ่ว
เลศนัยตาคุกคามยังวามแวว
เหนือกว่าความผ่องแผ้วทุกแววตา
O ไฟแล่นเลื่อน, เมฆสว่าง นั้น-จางหาย
เหลือเพียงแววชม้อยชม้ายที่คล้ายว่า-
แฝงรอยยิ้มฝากลมให้พรมพา
แทนสองมือประคองหน้า .. โน้มหากัน !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=08-2015&date=07&group=11&gblog=633
บันทึกการเข้า
11 เมษายน 2019, 08:12:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #5 เมื่อ: 11 เมษายน 2019, 08:12:PM »
ชุมชนชุมชน



O ภิรมย์สมัย .. O





-1-
O เกิดแต่เมื่อสั่นไหว .. ของใจหนึ่ง
หลังถูกดึงรั้งเหนี่ยวด้วยเสี้ยวหน้า-
และปอยผมงามดำ .. วาบ-ตำตา
ก็ตอกตรึงปรารถนา .. แต่ครานั้น
O บุคคลิกท่วงที .. ก็ที่เห็น
คอยโลดเต้นแห่ห้อม .. เข้าล้อมขวัญ
อิริยาถ้อยคำก็สำคัญ
ค่อยค่อยพันผูกบ่วง .. รัดดวงใจ
O อย่างพลั้งเผลอ เวียนพบ .. คอยสบเนตร
หวังเพียงเลศเผยมา .. ได้อาศัย-
เอาหล่อเลี้ยงเจตนา .. รองอาลัย-
อุ่นอกให้เวียนถวิล .. ด้วยยินดี
O ในระยะ .. ช่วงทาง .. ที่ขวางคั่น
ฤๅอาจกั้นกีดเลส .. จากเนตรที่-
ตอบรับหมายฉายทอ .. คล้ายรอรี-
แลกไมตรี .. ทุกสบ-เมินหลบนั้น !
O ในระยะ .. ช่วงกาล .. อาหารมื้อ
เป็น-อยู่-คือ .. เนตรใคร-วาบไหวสั่น
ลอบเร้นสบ ซ้ำซ้ำ .. ผูกสัมพันธ์
ร่วมแบ่งปันผ่องแผ้ว .. ผ่านแววตา
O แต่ละส่วนพูดจา .. สมาคม-
ราวแฝงลมฝากถ้อยล่องลอยหา
เพื่อรับส่งใฝ่ฝันลงสัญญา
ผ่านแววตาหวานซึ้ง .. ติดตรึงใจ
O เพียงชั่วคาบยามระยะ .. พันธะสร้าง
ช่วงความห่างเหมือนแม้นว่าแสนใกล้
แววอ่อนหวานอบอุ่นละมุนละไม
ยออาลัยหวานล้ำ .. เร่งกำลัง
O สิ้นระยะคาบกาล .. อาหารมื้อ
ผ่านพร้อมคืองดงามและความหวัง
มีความนัยบรรเลงเป็นเพลงฟัง-
ให้แว่วดังในอก .. สุดยกย้าย
O สิ้นระยะคาบกาล .. อาหารมื้อ
ผ่านพร้อมคือ .. พร่ำพร้องทั้งสองฝ่าย-
หนึ่ง .. อาวรณ์อาลัยที่ใจชาย
สอง .. เนตรฉายห่วงหา .. ตอบท่าที
O ในระยะ .. เนตรสบ .. เฝ้าหลบ .. เขิน
ก็เพลิดเพลินท่วงท่า .. รูปราศี
งามเจ้าเอยอิริยา .. แห่งนารี
จักต่อตีด้วยงาม .. ไม่คร้ามเลย
O ในระยะสุดปลาย .. เนตรชายชม้อย
แฝงร่องรอยบรรเจิดออกเปิดเผย
ระลอกหวานพูนเพียบ .. เกินเปรียบเปรย
ก็ผ่านเย้ยยั่วให้หัวใจระเริง
O แต่เมื่อสบ-สั่นไหว .. แห่งใจนี้-
ก็สุดที่จะปลิดปลง .. ความหลงเหลิง
เมื่ออาวรณ์เร้ารุมดั่งขุมเพลิง
หวานก็เจิ่งนองแล้ว .. ทั่วแววตา !

-2-
O คนสองคน, สองใจ .. ความนัย-หนึ่ง
มีซาบซึ้ง, รอคอย, ละห้อยหา-
มีแหนหวง, ห่วงใย, เมื่อไกลตา
อาจพรรณนา .. ฤๅถึง-สักครึ่งใจ
O โสตเอย .. เมื่อสดับ .. ย่อมรับรู้-
ที่เต้นอยู่ .. แว่วสั่น .. จากหวั่นไหว-
อันเร่งรัวเร้าสิทธิ์ .. สู่จิตใคร
กระซิบส่งความนัย .. เพื่อให้รู้
O จึงแม้นหนาวยาวนานสักปานไหน
อ้อมอกใครที่ละโมภ .. หมายโอบสู่
กลบหนาวด้วย - อุ่นอายแอบกายตรู
หนาว-ฤๅรู้เนื้อละมุน .. อันอุ่นล้น
O ลมเอย .. ผ่านระลอกช่วยบอกว่า-
ความห่วงหายกระดับ .. เกินปรับ-ป่น
กระเพื่อมเช่นแผ่นอุทก .. ไหววก-วน
เมื่อลมบนโยนระลอก .. เข้าหยอกเอิน
O หยอกเอินต่อสุจริต .. ในจิตหนึ่ง
ที่ถูกตรึงด้วยหวานอยู่นานเนิ่น
ถ้อยแทนอกอุ่นเอื้อ .. วางเชื้อเชิญ-
รอ-ก้ำเกินเร้ารัว .. ทั้งตัวตน
O งดงามเอย-หวานเคลือบเมื่อเหลือบชม้าย
ผ่องผกายร่ายรำ .. ซ้ำซ้ำหน-
ล่มสิ้นแสงทินกรอันร้อนรน
เหลืออำพนสองดวงกลางห้วงใจ
O เมื่อลับเลยรูปรอย .. ก็คอยหา
ปรารถนา .. รับรู้-ว่าอยู่ไหน
เมื่อห่างเห็นเร้นกาย .. เหมือนหายไป
ห้วงอกใคร .. ราวจะหาย-วอดวายตาม
O ถวิลถึงก็แต่ทอดฤทัยถอน
หลังอาวรณ์เคลื่อนรุดจนสุดห้าม
ครวญคะนึงแววระยับที่วับวาม
ที่วาบหวามซึ้งอยู่ .. แต่ผู้เดียว
O จึงร่วมสันถวะพร้องครรลองคู่
ร่วมรับรู้ - รับรอง, ร่วมข้องเกี่ยว
ร่วมร่ำร้อยอภิรมย์ .. ร่วมกลมเกลียว
ร่วมโน้มเหนี่ยวคำนึง .. จดถึงกัน
O ถึงแผ่นดินแยกภพ, อรรณพกว้าง-
อยู่ท่ามกลางใจสอง .. ผู้ปองฝัน
ใช่อาจขวางเงื่อนงำ - ความสัมพันธ์
ที่มุ่งมั่นเหนี่ยวภพ .. บรรจบ-วง
O แต่รามราชคะนึงหาสีดาน้อง
หลังราพณ์พาลับล่อง-รูปปองหลง
เทียบ-เศษเสี้ยวคะนึงหาพี่บ่าลง-
ล้อมรอบใจโฉมยง .. ณ ตรงนี้
O ใจเจ้าเอยค่ำดึก .. รำลึกบ้าง
อย่าปล่อยทิ้งปล่อยขว้างระหว่างที่ -
อีกใจหนึ่งละห้อยหาทุกนาที
คือใจนี้-ที่ถวิล, พล่าน, ดิ้นรน
O ที่ฝั่งฟ้าแสนใกล้, เถิด .. ใจหนึ่ง -
รอซาบซึ้ง-ฝากดาวฝ่าหาวหน
เพื่อรุมร้อยรัดรึง-ใจหนึ่งคน
ให้อึงอล-คำวอนอย่าผ่อนคลาย
O เมื่อหลับตาให้จิตเฝ้าคิดย้อน
ด้วยอาวรณ์, ด้วยรัก-เกินหักหาย
หลับอยู่ใน-ร่มฤดีแห่งพี่ชาย
แอบอุ่นอายก่ายกอด .. ฟังพลอดความ
O ให้คะนึงเหลือคณาในอากาศ
แทนสวาดิทับทาบ .. ให้วาบหวาม -
ตรึงติดทรวงเร้ารุกไปทุกยาม
จนรุมลามใจอยู่อย่ารู้เลือน
O แม้น .. แสนทุกข์ สุดทุกข์กว่าทุกครั้ง
เพราะสุดยั้งคิดถึง-ประหนึ่งเหมือน-
ว่า -เดิน, ยืน, นั่ง, นอน, ยังย้อนเตือน
จักกลบเกลื่อน .. คะนึงหา - เกินกว่าคิด
O จึง .. แม้นทุกข์ แสนทุกข์ กว่าทุกครั้ง
ยอม-แม้นยัง .. ทุกข์หน่วงทั้งดวงจิต
ขอเพียงใจอีกใจ .. ยอม"ใกล้ชิด"
ยอม-แม้นทุกข์ท่วมมิด .. ไม่คิดแล้ว !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2013&date=01&group=11&gblog=474
บันทึกการเข้า
15 เมษายน 2019, 05:37:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #6 เมื่อ: 15 เมษายน 2019, 05:37:PM »
ชุมชนชุมชน



O ก่อน .. มาฆะมาส .. O





O เกิดขึ้นแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
หรือคงอยู่นับนานแต่กาลไหน
รู้แต่ว่าหยอกยั่วกับหัวใจ-
จนอ่อนไหวอ่อนหวานมานานครัน
O กุหลาบแดงช้อยช่อขึ้นรอแดด
เพื่อคอยแวดล้อมใจผู้ใฝ่ฝัน
มอบ-รับความอาลัยมีให้กัน
กลีบดอกนั้นกรุ่นหอม .. จึงพร้อม-รอ
O ความรู้สึกผูกพันแห่งวันวาน
ราวส่งผ่านนัยชู้ขึ้นชู-ล่อ
เต็มอยู่ด้วยความหมายอันฉายทอ
เหมือนมาลย์ช่อเสียดชั้นอย่างบรรจง
O ว่อนวางที่กลางทรวง-คือห่วงใย
หมุนรอบความอ่อนไหว .. เวียนในสง-
สาร, วัฏฏะเปลี่ยนรอบ .. กี่รอบวง
ยังจำนงรอบชู้เกินรู้คลาย
O รัดรึงใจทั้งดวง-ด้วยบ่วงคล้อง
จากมือของรูปเงาที่เฝ้าหมาย
ความอาวรณ์, คร่ำครวญเอาม้วนปลาย
ผูกเหน็บเป็นเงื่อนตายเกินคลายคลอน
O กุหลาบแดงหอมล้ำ..กรุ่นกำจาย
เช่นเจ้าสายสวาดิน้อยเฝ้าคอยซ่อน-
สอดหอมหวานโลมรุกไปทุกตอน
จนสุดถอนทอนค่า .. แม้นนาที
O ภาพนั้น-วงแขน, กร-อันอ่อนเรียว
ราวคล้องเหนี่ยวเข้าหารูปราศี
และคล้ายเสียงหัวใจ .. ค่อยไหว-วี
บอกใจที่คอยสดับ .. ให้รับรู้
O แฝงรอบความอาลัยจากใจนั้น
ฝากรำพันพากย์เผยรำเพยสู่
หอมดอกมาลย์, ลมร่ำ, ความดำรู
ก็พร้อมอยู่รอใจ .. เอื้อม-ไขว่คว้า
O แฝงกลิ่นรสหอมหวานอยู่นานเนิ่น
จวบจำเริญรูปลักษณ์เกินหักฝ่า
กับความหมายบ่งฟ้อง .. ในสองตา
ก็เหมือนว่าเกินคิดจะปิดบัง
O ผ่านคาบหนาว, เข้าฝนน้ำหล่นร่วง
หากแสงดาวสองดวงยังช่วงปลั่ง
และเสียงพากย์เบาแผ่ว .. ราวแว่วดัง
ให้ยินฟังเสพความ .. เอาตามใจ
O กลีบกุหลาบหล่นร่วง .. กลางท่วงที-
ของวาดวีลมย้อน, ผู้อ่อนไหว-
ก็หล่นดวงจิตคว้าง .. ว่อนวางใน-
การโอบไล้รำร่ายแห่งสายตา
O พลิ้วพลิก .. พลิกคว้าง - กลีบบางร่วง
เกลื่อนรูปไปทุกช่วง - ความห่วงหา
คือภาพพจน์งดงามเจ้าล่ามคา
แนบรอบอาวรณ์ยื่น – ให้ตื่นรับ
O พลิ้วพลิก .. พลิกคว้าง – ใจคว้างร่วง
อาลัย-หวงห้อมห่มแทบจมดับ
ด้วยรูปนามเฉิดโฉม - ลงโถมทับ
โจมเข้าจับอารมณ์ให้สมยอม
O มอบ-รับ, ตอบสู่-ด้วยรู้ว่า-
บางคุณค่าร่ำรอร่วมหล่อหลอม-
กอปรความหวานหอมล้ำให้ด่ำดอม
คอยรอบล้อมรูปเงาอยู่เช้าเย็น
O ตอบรับความสู่ .. จึงรู้ว่า-
แรงห่วงหารอคอยละห้อยเห็น-
ของบางใจเหงาเงียบ .. นั้นเพียบเพ็ญ
คอยบีบเค้นรุมเร้า .. แต่เฝ้าคอย
O หวัง-งามค่อยลุกลามในความเงียบ
ทอดคำนึงเลาะเลียบความเงียบหงอย
แม้นไร้คำเอื้อนเอ่ย-กลับเผยรอย-
ความละห้อยห่วงหา .. แสนอาลัย
O หมาย-งามจะลุกลามเกินห้ามหัก
จนเป็นรักสุมซ้อนความอ่อนไหว
เมื่อเผยตอนงดงามของความนัย
จึงเตรียบใจรับคำ .. พร้องรำพัน
O เหมือน-งามจะเผยงามอยู่ท่ามกลาง-
รูปพยางค์-พากย์นัย .. แรงใฝ่ฝัน
รูปนามเอย .. พิสวาดิ ฤๅ-อาจกัน
เมื่องามนั้นหล่นร่วง .. แนบดวงใจ !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=01-2014&date=31&group=11&gblog=512&fbclid=IwAR082u8M_2ZoTMthgmLt1XhjORp1O3qe3NcQVtkhP9z5w6a7IXIfMiX4rus

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ไผ่เดียวดาย

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
19 เมษายน 2019, 06:37:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #7 เมื่อ: 19 เมษายน 2019, 06:37:AM »
ชุมชนชุมชน



O คำมั่น .. คำสัญญา O





O หวั่นเช่น .. น้ำค้างใสเกาะใบพฤกษ์
ครั้นยามดึกหยดรินให้ถิ่นรื่น
จวบรุ่งสางสิ้นพลบแสงกลบกลืน
ก็สุดฝืนแววระยับ .. เคยรับรู้
O น้ำใจหลั่งปรนปรุง .. เช่นรุ่งสาง-
เกลื่อนเกล็ดแก้วน้ำค้าง .. พรายพร่างอยู่
ต้องแสงเช้าเหือดสิ้น .. หยาดสินธู
ถวิลสู่ .. ย่อมต้องต่าง .. น้ำค้างนั้น
O ใช่เพียงแค่คืนค่ำ .. ที่ฉ่ำชื่น-
หากที่ยื่นหยิบให้คือ .. ไหวหวั่น
ประโลมทรวงอบร่ำ .. ด้วยรำพัน
ก่อนห่างเห็น .. เพียงวัน .. ยังหวั่นคอย
O หยาดน้ำค้างต้องแสง .. อาจแห้งหาย
ที่มุ่งหมายอาลัย .. ก็ใช่ย่อย
ย่อมเต็มเปี่ยมหมายปอง .. ทุกร่องรอย
แม้นเพียงน้อย .. ร้างหวัง .. รึยังมี ..?
O น้ำใจ .. ใช่น้ำค้างเมื่อสางตรู่
แสงตะวันทอดสู่ .. ไม่รู้หนี
เมื่อแปรเป็นเยื่อใยและไมตรี
ย่อมสุดที่สุดทาง .. จักร้างลา
O ย่อมมิใช่ดวงพิลาสของหยาดแก้ว
เหือดแห้งแล้วจากแหล่งเมื่อแสงจ้า
ย่อมจะไม่รวนเรด้วยเวลา
ย่อม .. ต้องตราตรึงอยู่ .. ไม่รู้เลือน
O ควรต้องหยด .. พร่างพร้อยเป็นพลอยประดับ
ลงสำทับใจอยู่ไม่รู้เคลื่อน
เฉกน้ำค้างวับวาว .. ใต้ดาวเดือน
เอื้อไพรเถื่อนฉ่ำชื่น .. ทั้งคืนวัน
O ร้อนพันแสงจากสรวงแม้นล่วงสู่
หมายหยัดสู้รังสีไม่มีหวั่น
หวังหยาดให้รองรับ .. ชั่วกัปกัลป์
ประโลมขวัญ .. รื่นอยู่อย่ารู้แล้ง
O หวัง - สังคีตพรรณนา .. แว่วคราค่ำ
แทนความ, คำห่วงละห้อย .. เรียงร้อยแต่ง
ความอาวรณ์อาลัย .. ล้อมใจแพง
ว่า-นัยแฝงรำพัน .. คือ – สัญญา !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=10-2013&date=28&group=11&gblog=490

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ไผ่เดียวดาย

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s