O ปริภาษวาจก O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
23 พฤศจิกายน 2024, 09:45:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O ปริภาษวาจก O  (อ่าน 2999 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
05 กันยายน 2018, 06:42:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« เมื่อ: 05 กันยายน 2018, 06:42:PM »
ชุมชนชุมชน


O นามธรรม - หลอน...! O





O อารามอร่ามเรื้อง - - - องค์พระ
กรรมพิธีวาทะ - - - ท่วมท้น
สนทนาวิสาสะ - - - เสนาะอยู่ พ่อเอย
ตาบอดคลำช้างด้น - - - ดุ่มหน้าสาธยาย ฯ
.
O เสียงบาลีเจื้อยแจ้ว .. ยังแว่วอยู่-
กล่อมใจผู้หลงโลก .. ทอนโศก-สลาย
ไพเราะความนัยคำท่านรำบาย-
เพื่อปัดป่ายทุกข์ร้อนให้ผ่อนแรง
O โอภาสแห่งดวงวันในชั้นฟ้า
ฤๅ-ช่วงกว่าธรรมพากย์ .. ท่านฝากแฝง
เมื่อแววตารื้นน้ำ .. คล้ายสำแดง-
ความซาบซึ้งเติมแต่ง .. ลงแฝงรอย ?
O ทองอร่ามองค์พระ .. ราวจะเตือน-
ความเลอะเลือนแห่งธรรม .. ผ่านคำ-ถ้อย
ดูเถิด .. แววตากระพริบนั้น-ปริบปรอย-
คล้ายเลื่อนลอยว่างเปล่า .. คล้ายเข้าใจ ?
O กลางโบสถ์หม่นมืดครึ้ม .. เสียงงึมงำ-
ก็ถูกคำคอยฉุด .. เกินหยุดไหว
เอ่ยเสียงตามเสียงอยู่ .. เหมือนรู้นัย-
ธรรมนั้น .. เอาโลมไล้หัวใจตน
O ครั้งเมื่อท่านละทิ้ง .. ทุกสิ่งนั่น
พรากฐานันดรศักดิ์จนหักป่น
ย่อมเพื่อความอัตคัด .. ในบัดดล
ใช่เพื่อขวนขวายสร้างแต่อย่างใด !
O มองดูเถิดรอยทาง .. ท่านย่างเหยียบ
แล้วลองเปรียบเทียบย่าง .. ทุกย่างให้-
เห็นถึงความล้าเลื่อน .. บิดเบือนไป-
จากแนวทางวางไว้ .. ของนัยพุทธ
O โอ นั่นยอดช่อฟ้า .. เฟื้อยฝ่าสวรรค์
จากมิจฉาเผ่าพันธุ์ช่วยกันฉุด
กระเบื้องแดงเขียวห่ม .. ด้วยสมมุติ
ต้านแสงวันดวงพิสุทธิ์ .. เพื่อหยุดร้อน
O ร้อนโอภาสดวงวัน .. แห่งวันนี้
จากรังสีทอดสู่ไม่รู้ผ่อน
ลมรื่นเย็นวาดวี .. ผ้าจีวร-
ฤๅ-อาจย้อนผ่านรื่นล้อมผืนใจ ?
O โอ รอยยิ้มแย้มอยู่ .. ท่านผู้ขอ-
เหมือนอยู่รอวัตถุธรรม .. ชี้นำให้-
ยกขึ้นประดับประดา .. เพื่อว่าใคร-
มองเห็นแล้วแจ่มใสแก่นัยน์ตา
O ครั้งเมื่อท่านละทิ้งทุกสิ่งนั่น
พรากฐานันดรศักดิ์อันหนักค่า
ก็เพื่อล่มภพชาติ .. จึงยาตรา-
เข้าห้ำหั่นอัตตา .. ให้ล้าตัว
O หากตรงหน้าเห็นหมู่ .. ท่านผู้ขอ-
เหมือนอยู่รอป่ายแต้ม .. รอยแย้มหัว
ให้ตัวตนทั้งนั้น .. คอยสั่นรัว-
เข้าเกลือกกลั้วโลกธรรม .. อยู่ค่ำเช้า
O ใช่แน่หรือ .. พรหมจรรย์ทางบั่นทอน-
ความอาดูรเร่าร้อน .. ทุกข์ก่อนเก่า
เห็นแม่ปูเดินส่าย .. คล้ายคล้ายเมา-
หะการณ์แห่งรูปเงา .. ทุกก้าวเดิน
O ทิวแถวท่านผู้ขอ .. เคลื่อน .. รอ .. หยุด
แบกนัยพุทธสาธก .. อยู่งกเงิ่น
วิญญาณพราหมณ์เคลือบคำ .. ก็จำเริญ-
ขึ้นหยอกเอินปรารถนาในอารมณ์
O จึงเห็นความเลอะเลือน .. นั้นเกลื่อนนัยน์-
ตาซื่อใสสำหรับ .. เพื่อขับข่ม-
สัมมาการณ์สุจริตให้ติดตม
กลางห้วงหล่มถ้อยคำ .. ธารน้ำลาย
O เหนี่ยวสวรรค์ .. ดึงนรก .. ขึ้นปกป้อง-
ตรรกะของเดียรถีย์ .. เป็นที่หมาย
จึงล่มล้าง .. โลกพิสัยที่ในกาย-
แล้วเวียนว่ายวงวัฏฏ์ .. ในบัดดล
O มืดจริงหนอ .. ในวันที่พันแสง-
แม้นผ่านแรงร้อนช่วงโลมห้วงหน
ยังไม่อาจผ่านต้อง .. ตาของคน-
ที่มืดมัวหมองหม่น .. คลุมบนแวว
O โอ คล้ายเสียงในหัว .. ค่อยรัวดัง
เหมือนระฆังกังวานเสียงหวานแว่ว
พร้อมโอภาสพันแสง .. แต้มแต่งแนว
ล้อมทิวแถวผู้ขอ .. อย่างรอรี !
O แว่ว-คล้ายเสียงสั่นรัว .. ใจตัวเอง
ชวนพิศเพ่งเปล่งปลั่งแสงรังสี
ผู้ห่มจีวรเหลือง .. ท่านเยื้องลี-
ลาศฝ่าความเป็นมี .. สู่ที่ใด ?

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=06-2010&date=14&group=41&gblog=8

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, @free, พี.พูนสุข, yotaga, ระนาดเอก, กิติราช ทับทิม

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
10 กันยายน 2018, 07:03:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #1 เมื่อ: 10 กันยายน 2018, 07:03:PM »
ชุมชนชุมชน


O ลมยามเช้า....O





O คือลมอันเหน็บหนาวแห่งเช้าตรู่
พลิ้วผ่านอยู่ยั่วหยอกม่านหมอกขาว
เม็ดน้ำค้างดารดาษวางหยาดพราว
เกลื่อนอยู่ราวเพชรรุ้งบนรุ่งวัน
O พลิ้วรอบร่ำผ่านหมอกโลมดอกไม้
วูบฝ่าไอหมอกเช้า, ความหนาวสั่น-
ก็-โอบรัดร่างไว้กลางไพรวัลย์
พารูปฝันในอก..ขึ้นยกตัว
O คือฝันในคืนมืด..อันยืดยาว
ทั้งร้อนหนาวเย็นยะเยือก..รอเกลือกกลั้ว
เหตุและผลสืบมา..นั้น-พร่ามัว
เอาหยอกยั่วเดียงสา-ให้ปรารมภ์
O แต่ละรอบราวเรื่องที่เบื้องหน้า
พจน์, พรรณนา-ผ่านรู้..เข้าสู่สม
ภาพเขาสร้างงามล้ำ, ถ้อยคำคม-
ก็ห้อมห่มปัญญาจนล้าแรง
O เก็บรับโดยเดียงสา..อันล้าเลื่อน
ความเขาเปื้อนนัยป้ายรำบายแฝง
ความเป็น..มี..เก็บงำ..รอสำแดง
ค่อยเติมแต่งม่านมัวสุมตัวตน
O ซึมซับพากย์, ถ้อย, รูป-คอยวูบเร้า
แทรกรูปเขลาฝากแฝงทุกแห่งหน
โอ - วงรอบภาพพจน์กำหนดคน
พาวก-วนเวียนอยู่ไม่รู้วาง
O เมื่อดวงวันลอยดวงโชนช่วงแสง
จึง-กำแหงอวดโอ่..ค่อยโผล่หาง
อยู่กับความสับสนในหนทาง
โอบความอ้างว้างแอบอยู่แนบกาย
O ดุ่มเดินเข้าตอบรับความอับจน
ด้วย-หัวใจสับสนเที่ยววนว่าย
อยู่ท่ามกลางโลกธรรม-ล้อมรำบาย
ตอบความหมายด้านในหัวใจตน
O หมอกขุ่นขาวลอยแซม..ลงแต้มภาพ
จนกำซาบ..รื่น-สุข..ไปทุกหน
ใบไม้พลิกร่อนวาง, ใจบางคน-
ยังคงอลวนอยู่ไม่รู้วาง
O โดยภาพและโดยพจน์..คือบทบาท
ความเป็นชาติภพเปลี่ยน-เฝ้าเวียนสร้าง
สายลมหวนระลอก, ม่านหมอกพราง-
เช่นน้ำค้างคล้อยเคลื่อนจนเลือนลับ
O มัวหม่นก็ว่างามไปตามเห็น
มี..อยู่..เป็น..แทรกซ้ำเป็นลำดับ
คุณค่าอันดีงามก็ตามรับ
ส่วนเลวทรามก็จู่จับเกินนับทัน
O ภาพมัวยังมองเห็นอยู่เช่นเดิม
หากคอยเพิ่มพูนอยู่ เกินรู้กั้น
ม่านขาวขุ่นพร่าไหวเหมือนไฟควัน
ลมผ่านก็ฉับพลัน..สูญสิ้นรอย
O รำร่ายในปรารมภ์ล้อลมร่ำ
สับสนในพฤติกรรม, ความต่ำต้อย-
ก็ร่ายรำแฝงฝ่า..แววตา-คอย
เพียงแววความเลื่อนลอย ที่คอยรอ
O บอกโลก, ชน เบื้องหน้าผ่านท่าที-
ของความดี, ความรู้..เอาชูล่อ
สุมซ้อนอยู่เต็มหัว..จนตัวงอ-
นั้น-มากพอกอบกินแทนข้าวปลา
O ลมเช้าพอเข้าสายก็คลายหนาว
เหลือเพียงทรวงร้อนผ่าว..ยังก้าวหา
เหยียบย่ำโลกทั้งผองผ่านสองตา
ด้วยรู้ว่าทางยาว..รอก้าวเดิน
O ลมเช้าโผผ่านล่วงฝ่าช่วงแดด
ที่คอยแวดล้อมกาลอยู่นานเนิ่น
รับรู้ว่ามืดดำ..ยังดำเนิน-
รอบ-จำเริญรุมเร้า..ใต้เงาวัน
O ลมสายผ่านอบอุ่น..ลงหนุนเสริม
ใจเคลิบเคลิ้มอ่อนโยน..เฝ้าโชน-ฝัน
โลกหล้าใต้ฝ่าเท้า..เหมือนเมามัน-
เลื่อนแล่นรับรองขวัญ..อยู่อลเวง
O หอมหวานกรองกลิ่นฉม, สายลมร่ำ-
ล้อมโลกต่ำคอยฉุดให้รุดเร่ง
ไร้สิ้นม่านหมอกมัว, ยังกลัวเกรง-
ดวงวันเปล่งปลาบแสงเข้าแยงตา
O ใบไม้ปลิดปลิว..พลิกพลิ้วหล่น
ต้องลมวนลอยล้อ..อยู่ต่อหน้า
คือภาพและคือบทกำหนดมา
เพื่อรอฝ่าเท้าต่ำ..เหยียบย่ำลง

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sdayoo&month=17-04-2011&group=41&gblog=25

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, ระนาดเอก

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 กันยายน 2018, 10:54:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #2 เมื่อ: 22 กันยายน 2018, 10:54:AM »
ชุมชนชุมชน




O ความเปลี่ยนแปลง .. O







-1-
O ลับเลือนดวงศศิน .. นกบินว่อน
ลมเหนื่อยอ่อนโรยตัวหยอกยั่วสมัย
หมอกหม่นคลุมแผ่นน้ำ อยู่รำไร
เมื่อแผ่นผืนกว้างไกล .. เริ่มไหวตัว
O ลมแรกวันโชยเอื่อยอย่างเหนื่อยอ่อน
พร้อมหมอกอ้อนออดบน .. ความหม่นหลัว
แสงรุ่งสางทอดตน .. ลบหม่นมัว
โลมแผ่นน้ำหยอกยั่วอยู่ในที
O ย่อมเป็นริ้วลมรื่นฝ่าคืนค่ำ
พาเย็นฉ่ำล้อมแหล่ง .. รับแสงสี
ยอปีกนกเหยียดรับ .. กระหยับ-วี-
วาดขึ้นฟ้าจรลี .. สืบชีวิน
O แว่วเสียงให้รับรู้ .. เพียงครู่เดียว-
เสียงกรูเกรียวถ้วนสรรพก็ลับสิ้น
หมอกขาวขุ่นชื้นชุ่ม ที่คลุมดิน-
ก็ล่มลาญจากถิ่นจนสิ้นรอย
O เริ่มดอกมาลย์เชิดช่อ ร่ำรออ้อน-
ให้ภู่ผึ้งแทรกซอน .. เกสร-สร้อย
อบร่ำหอมเคล้าคลอเพื่อรอคอย-
หวานจักย้อยกลิ่นรส .. ให้ทดลอง
O พอแผ่นพื้นเรียบกว้างที่ข้างหน้า-
ต้องลมถาโถมใส่จนไหลล่อง
เลื่อนระลอกโลดเต้นจนเป็นฟอง
แดดเรื่อส่องก็ปรากฎเมฆบดบัง !


-2-
O จาก-แรกเช้า .. นกร้องฟ้าผ่องใส
จน-เมฆไหลเกลื่อนกลุ้ม .. ลมคลุ้มคลั่ง
เสียงอึงอื้อเกรียวกรู .. หวิว - วู่ .. ดัง-
แข่งคลื่นน้ำฟาดฝั่ง อยู่โครมครืน
O พอแรงลมโถมถาเข้ามาเพิ่ม
แผ่นน้ำก็กระเหิมกระหึ่มคลื่น
กระเพื่อมผิวม้วนตระหลบลงกลบกลืน-
แตกฟองฟื้นตื่นฝนอยู่ .. อลเวง
O ลมกวนคลื่นน้ำขุ่นเคล้าฝุ่นฝน
เมื่อไฟบนฟ้าปลาบแสงวาบเปล่ง-
ก่อนเฟื้อยเส้นฟาดพื้น อยู่ครื้นเครง
แสงรุดเร่งแห่งวิชชุ .. ก็คุโชน
O โลกทั้งโลกก็ตื่นรับคลื่นเสียง-
ไม้ลู่เอียงด้วยลมก่อนล้ม .. โค่น
สายน้ำเคยออดอ้อนอย่างอ่อนโยน-
บัดนี้โตนตบฝั่ง .. เสียงดังนัก
O ปลดปล่อยความเกรียมกร้าน .. ชะลานดิน
อวลไอกลิ่นเถื่อนหอม .. เข้า-ล้อมกัก
ลมคร่ำครวญตระหลบตอนไม่ผ่อนพัก
เมื่อไร้รุ้งทอถักบนโค้งฟ้า
O ร้อนแดดแม้นแผดผ่านมานานคาบ
โลกที่ซาบซับร้อน .. กลับร้อนกว่า
เฝ้ารอฝนโซมทรามให้งามตา
จวบเบื้องหน้าเมฆฝน .. เห็น – หม่นครึ้ม
O เมื่อสองเท้าเหยียบย่ำบนน้ำเจิ่ง
ไฟโลดเหลิงก็เริ่มเริ่มกระเหิมหึ่ม
เฟื้อยเส้นเข้าฟาดตีเมฆสีทึม
ขับความอึมครึมปวงจนล่วงลับ
O อีกไม่นาน .. คลื่นน้ำจะลามจบ
ร่วมสายลมสมทบตระหลบกลับ
เลื่อนเมฆหม่นบังแสง .. จวบแรงระยับ-
ยอมล่มลาญดวงดับ .. ไม่กลับย้อน !
O จบสิ้นความเรื่อเรื้องที่เบื้องหน้า
ที่แสงฟ้าแผดเผามาเก่าก่อน
บัดนี้เมฆทึมทาเหมือนอาทร-
บัง-แผดร้อนเผาผลาญ .. ที่ลานดิน
O คลื่นน้ำก็ล้อมเทเข้าเห่กล่อม
ทุกย่านหย่อมเรียวหญ้าทั่วหน้า - สิ้น
ฝุ่นฝนก็ปร่าโปรย .. ลมโรยริน
ชุ่มโลกกรรโชกถิ่นให้ยินดี
O ร้อนแดดนั้นเผาผลาญมานานนัก
ทั้งล้อมกักเร้ารุกไปทุกที่
ตราบลม, น้ำ - เลื่อนลำเข้าย่ำยี
แผ่นดินที่แผดร้อนก็ผ่อนแรง
O แทน-ร้อนรุ่มเผาผลาญมานานวัน
ด้วยครืนครั่นเลื้อยเต้นของเส้นแสง
วาบ-วกฉวัดเฉวียน เพื่อเปลี่ยนแปลง-
ร้อนที่แฝงฝากดินให้สิ้นรอย !


-3-
O เริ่มคาบยาม-รำร่ายของสายน้ำ
ที่จะพลิกพื้นคว่ำความต่ำต้อย
ผิวจะโตนตอบลมที่พรมคอย
เป็นฝุ่นฝอยลอยคว้างอยู่กลางลม
O รอ-ลมลูบโลมชะ .. จังหวะคลื่น-
เพื่อโตนตื่น-ขึ้นตะล่อมเข้าล้อมห่ม-
ทั้งพรรณหญ้าพื้นถิ่น ทั้งดินตม
รอ-คลื่นถมแรงโถมเข้าโซมร้อน
O บทเพลงปะเลงร่ำผ่านค่ำคืน-
ย่อมไร้เสียงโอดอื้นเช่นคืนก่อน
แฝงสายลมเย็นฉ่ำ-จากอัมพร-
ว่าช่วงตอนร้อนร้ายเริ่มคลายตัว
O ชุ่มดินด้วยชื่นฉ่ำแห่งน้ำหลาก-
จวบสองฟากฝั่งน้ำ รื่นล้ำทั่ว
ทุกอณูฉ่ำเย็น .. นั้น-เต้นรัว
รอเกลือกกลั้วโซมสิ้นจิตวิญญาณ
O โลกจะพลิกฟื้นด้านสู่ด้านใหม่
ที่ดวงไฟดวงเก่าหยุดเผาผลาญ
ลมจะร่ำโรยระลอกโลมดอกมาลย์
ผึ้งภู่จะเบิกบานกับหวานรส
O ยอดหญ้าจะริกระรี้อ้อน-
ให้ลมซอนแทรกเรียวอันเขียวสด
ทั้งรูปก้านกิ่งกระโดงจะโค้งคด-
ด้วยคลื่นลดเลี้ยวแล่นบนแผ่นน้ำ
O หงิกงอเลื่อนลามไปตามคลื่น
ด้วยสุดขืนขัดลมที่พรมต่ำ
ริ้วคลื่นและริ้วลมแห่งคมคำ-
ล้วนต่างร่ำร้องรับสภาพการณ์ !


-4-
O มองเห็นไหม – หมอกควันแห่งวันเก่า
ที่แสบร้อนรุมเร้าคอยเผาผลาญ
อวลกลิ่นให้เสพรับอยู่นับนาน
กดวิญญาณยินยอมให้จ่อมจม
O ตราบ-เมฆครึ้มทึมทาที่ฟ้าบน
พร้อมไฟวนวาบรับร่วมขับข่ม
ลมตระหลบสรรพโลก .. ผู้โศกซม
และน้ำถมโถมล้อมมาพร้อมกัน
O ร้อนก็ย่อมลาญแรงจากแหล่งโลก
เปลี่ยนสร้อยโศกเข็ญขุกเป็นสุขสันต์
จน-เมฆหม่นแผ่ช่วงบังดวงวัน
ก็เมื่อนั้นโลกต่ำ..ล้วนฉ่ำเย็น
O เมื่อปีกนกว่อนฟ้าเพ-ลาค่ำ
สุขจะคร่ำครวญสู่ให้รู้เห็น
แผ่นผืนอุทกธารจะซ่านกระเซ็น
ร่ำ-ลาความลำเค็ญ .. ที่เร้นรอย !


-5-
O เห็นปีกนกคล่ำคลา เพ-ลาค่ำ
พร้อมลมร่ำสายโบกลบโศกสร้อย
ในแววตาพราวกระพริบ .. ก็ปริบปรอย-
คล้ายเฝ้าคอยสางรุ่ง .. ของพรุ่งนี้ !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2012&date=17&group=41&gblog=39

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : วลีลักษณา, พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, ระนาดเอก, กิติราช ทับทิม

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
01 ตุลาคม 2018, 08:13:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #3 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2018, 08:13:AM »
ชุมชนชุมชน



O เมื่อปีกผีเสื้อกระหยับ .. O






O ปีกผีเสื้อกระหยับลายเมื่อบ่ายคล้อย
ข่าวแสร้งปล่อยบิดเบือนก็เลื่อนไหล
ขณะลมแผ่วพลิ้ว, ลายริ้วไกว
ถ้อยสาไถยก็ประดัง .. ขรม-ทั้งเมือง
O เพียงใบไม้ลับล่ม .. กับลมอุ่น
ทั้งอำนาจเงินทุนก็หนุนเนื่อง
ริษยาคุกรุ่นพาขุ่นเคือง-
ร่วมปลดเปลื้องปลงหวังลงทั้งเป็น
O กระเพื่อมพลิกพลิ้วใบกลางไอแดด
ร้อนที่แผดเผาต้องก็มองเห็น
ร่มเงาแผ่-รื่นล้ำ, ร้อนลำเค็ญ-
ระริกภาพไหวเต้นอยู่ตำตา
O ผลจากเหตุ .. เวทนาความสามารถ-
ที่การวาดเรียวลิ้น .. นั้น-สิ้นท่า
ความยากจน, ทุกข์เข็ญที่เป็นมา
ยังอยู่คาค้ำเมือง-ฟ้องเรื่องราว
O วิสัยทัศน์ชั้นหาง .. กั้นขวางอยู่
บอกทุกผู้รู้ทางก่อนย่างก้าว
เส้นคดเคี้ยวเลี้ยวลอดที่ทอดยาว-
ต้องว่าตรงทุกคราวที่ก้าวเดิน
O โอ .. โวหารภาพพจน์กำหนดรูป-
กลางกลิ่นธูปม่านควัน, ความ-สรรเสริญ-
ก็แว่ว-เสียง, บทกรรม .. ขึ้นก้ำเกิน-
ความตื้นเขินตรรกพิสัยที่ในตน
O วิสัยทัศน์ชั้นหางกั้นขวางเมือง
ก่อความเชื่อความเชื่องเป็นเบื้องต้น
จับจูงความคิดเห็นความเป็นคน
ให้วกวนเวียนฝ่าศรัทธาเดียว
O จึงเห็นปีกผีเสื้อกระหยับกระพือ
เพื่อบรรลือปฏิพากย์ให้กรากเชี่ยว
ท่ามกลางลมแผ่วพลิ้ว-เห็นนิ้วเรียว-
กุมกอดเปลี่ยวเปล่าอยู่ไม่รู้วาง
O ใต้แสงวันผ่านพลอด .. ลงทอดทับ
ปีกกระหยับกระพือโบกอวดโลกกว้าง
ยังบินวกเวียนวนในหนทาง
และปีกบางยังกระพืออย่างถือดี !
O โอ .. โวหารภาพพจน์กำหนดรูป-
ควันเทียนธูปพรางตา, ม่านราศี-
ก็แผ่ผ่านมารยาเป็นวาที-
ขึ้นชูชี้อติพจน์กำหนดตน
O ความชำนิชำนาญบรรสารสร้าง
อวด, แอบอ้างคุณค่าโกลาหล
ปิดปากที่ปลอบปลุกความทุกข์ทน-
อันลุกโหมลวกลนอยู่บนใจ
O เรียวลิ้นแลบปลายตวัดฉวัดเฉวียน
เพรียกทาสเธียรรับค่าคำปราศรัย
เพื่อโลกรู้สืบสาวความยาวไกล-
ของพิสัยกระบวนทัศน์การจัดทำ
O มองจากผล-โลกดู .. ก็รู้เหตุ
ทั้งรู้เลศนัยของความพร้องพร่ำ
สามารถแห่งปากคอหรือพอนำ-
ชาติให้ล้ำเลยเขา .. หรือเท่าเทียม ?
O มองจากผล – ปัญญาความสามารถ-
ไม่เก่งกาจเหมือนถ้อยที่คอยเสี้ยม
การเร้นแฝงวาระที่ตระเตรียม-
ก็ห่ามเหี้ยมให้เห็นทุกเส้นทาง
O ปีกผีเสื้อกระหยับลายที่ปลายช่วง
ความเขาบวงแว่วปลุกไปทุกย่าง
เดือนพรากพลบมืดดำก็อำพราง-
การยกวางรอยก้าว – ทุกก้าวเดิน
O แว่วความคำเนรมิตนั้นติดปาก
ร่วมแบกลากสาธกกันงกเงิ่น
ในความเห็น, โมหะกรรมก็จำเริญ-
ความตื้นเขินในรสแห่งพจนา
O ใต้แสงเดือนแสงดาวพร่างพราวอยู่
ความสื่อสู่, รสลิ้นเหมือนสิ้นท่า
หม่นทั่วยังว่าแสงย้อนแยงตา
ปีกลวดลายจะโบกฝ่า .. ทั้งราตรี ?

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2016&date=20&group=41&gblog=58

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ระนาดเอก, กิติราช ทับทิม, รพีกาญจน์, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
04 ตุลาคม 2018, 06:44:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #4 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2018, 06:44:AM »
ชุมชนชุมชน




O ลมหายใจ .. แห่งอำนาจนิยม .. O





O ลมหายใจแห่งอำนาจนิยม
พลิ้วผ่านทุกปรารมภ์เกินข่มขับ
แนบอยู่ในสำนึกอย่างลึกลับ
ทั้งตื่นหลับเหนื่อยอ่อนเกินซ่อนไว้
O รูปนาม, ความโดดเดี่ยว, ความเปลี่ยวเปล่า
แทรกความเหงาเงียบรุมลงสุมใส่
ภาพวันวาน-แววตาแสนอาลัย
ค่อยค่อยไหวเวียนวก .. ในอกคน
O รูปนาม, ปวงความคิด, ความบิดเบือน-
จึงแล่นเลื่อนล้อมแหล่งทุกแห่งหน
ลมหายใจเหนื่อยอ่อนเคยร้อนรน-
ยังอุ่นล้นด้วยเลศแห่งเพทนา
O ถูก, ผิด .. ตลอดสายจวบปลายยุค
คงเคล้า-คลุก .. ครอบเมืองอยู่เบื้องหน้า
ด้วยอัตตายึดมั่นคอยบัญชา
อยู่คอยท้าทายสมัย .. เหมือนไฟฟอน
O ถูก, ผิด .. ตลอดสายจวบปลายวัย
ถ้วนเลศนัย-ยังเห็นเกินเร้นซ่อน
ทั้งโวหารภาพพจน์ทุกบทตอน
ยังสะท้อนธาตุแท้เกินแก้ .. คลาย
O ลมหายใจเหนื่อยอ่อนแม้นอ่อนล้า
หากแววตาทั้งดวงยังช่วงฉาย
มองโลกในเบื้องหน้าอย่างท้าทาย
เย้ย-แดดสายโลมไล้อยู่ในวัน
O สายลมแสนอบอุ่นยังหมุนรอบ
เข้าปลุกปลอบความหวังให้ตั้งมั่น
นกร้อง, คลื่นลมร่ำ, ความรำพัน-
เพรียกความฝันทุกบท .. เป็นบทเดียว !
O เกิดขึ้น, สำหรับ เพื่อดับไป
เยี่ยงต้นน้ำจากไพรอันไหลเชี่ยว
ถึงที่ราบ-ทั้งสายย่อมคลายเกลียว-
การยึดเหนี่ยว-รวมอณู .. ย่อมรู้เลือน
O เกิดขึ้น, ตั้งอยู่ ย่อมรู้ดับ
แม้นหมื่นแสนสับปลับจะขับเคลื่อน-
เข้าต่อต้านด้วยฤทธิ์ความบิดเบือน
การแล่นเลื่อนภพชาติ ฤาอาจยั้ง ?
O โอ .. คำ, ความฉกฉวย .. ร่วมอวย - แว่ว
งามผ่องแผ้วแห่งสุคนธ์ .. จึงล้นหลั่ง-
คันธารสหวานล้ำ-เร่งกำลัง
แทรกแฝง-ฝัง .. รมย์รื่นให้ตื่นตัว
O ลมหายใจเหนื่อยอ่อน .. ยังอ่อนล้า
หากเบื้องหน้ายามนั้น .. เงียบงัน-ทั่ว
สดใสทั้งฟ้าบนเคยหม่นมัว
เปลี่ยน-เพียงชั่วน้ำระยับพลิ้วกับลม
O สายลมแสนอบอุ่น .. ยังหนุนเนื่อง
บรรดาเรื่องถ้วนสรรพยังทับถม
สายน้ำยังไหลบ่า, ถ้วนปรารมภ์-
กลับค่อยล่มเลือนลับ .. อยู่กับกาล
O โอ .. คำ, ความร่วมช่วย .. ยังอวย - แจ้ว
ลมยังแผ่ว .. ยังพลิ้วเป็นริ้วผ่าน-
โลมไล้รูปอาชญาบรรณาการ-
ประดิษฐานดีชั่ว .. ขึ้นยั่วเย้ย !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=11-2013&date=06&group=41&gblog=49

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, ระนาดเอก

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
11 พฤศจิกายน 2018, 08:28:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #5 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2018, 08:28:AM »
ชุมชนชุมชน



O โอ - อึกทึก .. ! O





-1-
O อึกทึกความเป็นมีในที่นั้น
ผูกเป็นพันธะให้คนได้เห็น
เผยบทบาทโหมเร้าอยู่เช้าเย็น
สร้างเรื่องราวโลดเต้นไม่เว้นวัน
O ดิ้นรนขวนขวาย .. เช้า-สาย-เที่ยง
เพื่อบ่ายเบี่ยงถูกผิดให้บิดผัน
วาทกรรมกล่อม"เขลา" .. แว่ว, เมามัน-
ที่เชื่อเชื่องฝูงนั้น .. หมอบ-วันทนา

-2-
O โอ-นั่น-ภาพพจน์ .. การมดเท็จ
ค่อยสร้างกรวดเป็นเพชร .. สำเร็จค่า
ชั่วเพียงการจับจ้องด้วยสองตา-
กลับเห็นภาพเบื้องหน้า .. นั้น-พร่ามัว
O แม้ดวงวันปลงเปลื้อง - รุ่งเรื้อง-ผ่าน
กลับเหมือนม่านห่าฝนอันหม่นหลัว
ลงปกคลุมแสงวันให้ผันตัว
เก็บโอภาส-เกลือกกลั้วด้วยราตรี
O มืดคลุ้ม-คลุมหาวแต่คราวนั้น
สิ้นดาวจันทร์จำรูญ-ในพู้นที่
แต่ละครั้งลมโกรก .. เข้าโยกตี
ก็ทุกทีไม้แกว่งด้วยแรงลม
O สายฟ้าเฟื้อยวาบเคล้า .. เมฆเทาทึม
ลมก็ฮึมถั่งโถม-แรงโหม-ห่ม-
กดกิ่งก้านคู้ค้อมลงจ่อมจม
กับเรี่ยวแรงพัดพรมของลมเลี้ยว
O หลากไม้ยืนต้นอยู่ .. ไม่รู้ค้อม
ลงนอบน้อมรับข่ม-จากลมเกรี้ยว
แผ่กิ่งก้านปัดป่ายอยู่ดายเดียว
ในค่ำเปลี่ยวเปล่าหมองครึ้มครองแดน

-3-
O แว่ว-นั่น-ล้วนภาพพจน์ .. แห่งบทบาท-
ของข้าทาสหมู่เขลา .. ผู้เฝ้าแหน
นกขมิ้นร้องร่ำ .. ยูงรำแพน-
เหยียดขน .. แอ่น-อกร้องเสียงก้องไกล
O โอ-งามเคยงดงามอยู่ท่ามกลาง-
ขนปีก, หาง-แดดจับ .. แววขับไข-
ลายขาบเขียวแผ่วงกลางพงไพร
บัดนี้เหลืองามใด .. รอให้มอง
O โอ-งามเคยงดงามมาทรามสิ้น
จากเพชรนิลน้ำระยับให้จับจ้อง
เหลือเพียงเม็ดกรวดทราย .. ให้ปรายมอง
รอ-หมู่ผองตีนต่ำ .. เขาย่ำเย้ย
O แว่วนั้น-ล้วนโป้ปด-ความมดเท็จ
ยังไม่เสร็จแต่งสร้างรีบวางเผย
โอหนอ-สุจริตหวังชิดเชย
กลับล่วงเลยคุณค่า ต่อตานี้
O สิ้นดวงวันปรุงเปลื้องแสงเรื้องรุ้ง
พร้อมขอบคุ้งโค้งฟ้า .. เสื่อมราศี
คือใจคนแฝงเร้นความเป็น .. มี
เพื่อเขียนรอยวาดสี .. แต้มลีลา
O สิ้นแล้ว-เกณฑ์กรอบความชอบธรรม
จะหนุนค้ำเรื่องราวข้อกล่าวหา
ฝุ่นฝนมัวคลุ้มครึ้ม-เมฆทึมทา
จำต้องลาลับช่วง .. แสงดวงวัน
O เมื่อแสงริบหรี่ลงไม่คงเดิม
จากควรเพิ่มพูนแรง .. แต้มแต่งสวรรค์
ด้วยเมฆทึมทอดทับ .. ในฉับพลัน-
การปิดกั้น .. ก็ลับสิ้นจากดินแดน

-4-
O อึกทึกความเป็นมีในที่นั้น
ผูกเป็นพันธะลวงให้หวงแหน
ปลุกเร้าจิตทุรชาติผู้ขาดแคลน-
เฝ้า-รำแพนแฉกหางเอาอย่างยูง
O อึกทึกความเป็นมีในที่นั้น
ล้วนคำมั่นสัญญาของจ่าฝูง
และเชือกยาวสำหรับ .. ไว้จับจูง-
ผูกล่ามทั้งต่ำสูง .. รวมฝูงเดิน
O เห็นความเป็นความมี .. ในที่นั้น
รวบรวมฝันซุกอก .. อยู่งกเงิ่น
ภาพหัวหูค้อมต่ำ .. ยังดำเนิน-
อวด-จำเริญแห่งจริต .. ที่บิดเบือน

-5-
O แรง-บ่ายเบี่ยงถูกผิดให้บิดเบี้ยว
ย่อม-กรากเชี่ยว, เป็นสายลงป่ายเปื้อน-
จิตผู้ตาปริบปรอย - เพื่อคอยเตือน-
ว่า-ทุกการขยับเขยื้อน - ต้องเหมือนกัน !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2013&date=22&group=41&gblog=44&fbclid=IwAR1GfNZagRWWtGerkFsBddnJY1gdTXG1c_diangUaTCBYuRSG64_ox6bhcg

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พี.พูนสุข, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
29 มีนาคม 2019, 10:10:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #6 เมื่อ: 29 มีนาคม 2019, 10:10:AM »
ชุมชนชุมชน




O ศพชาย .. ที่ปลายวัย O





O วาทกรรมรำบายเมื่อบ่ายคล้อย
แว่ว-ล่องลอยลามรุก .. ครอบยุคสมัย
กล่อมชาติพันธุสยาม .. ถึงความนัย-
ทัศนะอัตวิสัย – แห่งใครนั้น
O คลื่นลมร้อนพลิ้วผ่านฝ่าลานเมือง
ผ่านต่อเนื่องล้อมใจจนไหวสั่น
ที่การศึกครึกโครม .. เขาโรมรัน
เพื่อพลิกผันเปลี่ยนม้า .. กลางนาคร
O จากแรกเช้าเข้าสายจนบ่ายค่ำ
จิตสูงต่ำถ่ายทอดความ-ขอดค่อน
แทรกขุนทองเจื้อยแจ้ว .. เสียงแว่ววอน-
ดัง-สะท้อน .. ก้าวย่างที่ต่างกัน
O มาแล้ว .. เพื่อมาดู .. ให้รู้เห็น
การบีบเค้นยุคสมัยด้วยใจมั่น-
ไปกับแผนการประณีต-เพื่อกีดกัน-
เหนี่ยวรั้งฝันคับแค้น .. ถมแผ่นดิน
O เหมือนลมพลิ้วผ่านศัพท์ให้รับรู้
ว่า-รูปเคยเชิดชูต้องรู้สิ้น-
ไปตามกฎอนิจจัง, ต้องพังภินท์-
พรากเหลือบริ้นเรือดไรเคยไต่ตอม
O เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ .. จนรู้โลก
ที่สุขโศกพร้อมสรรพ เฝ้าขับกล่อม
ที่ความสัตย์เริ่มแรกถูกแทรกปลอม-
ด้วยความเท็จป้ายย้อม .. แวดล้อมใจ
O พญาโศกโหยหวนเสียงครวญคร่ำ
รับความช้ำความชอก .. ระลอกใหม่
ภาพของเชื้อฟืนรุมเข้าสุมไฟ
ซ้อนภาพการลุกไหม้ .. ที่ใจรอ
O เศร้าเสียงพญาโศก .. เมื่อโลกต่ำ-
มีลมร่ำล้อมสุมาลย์เชิดก้านช่อ
การสิ้นสุดขลาดเขลา .. ก็เคล้าคลอ-
กรรมบทสืบต่อ .. ที่ก่อตัว
O เศร้าเสียงคีตหวีดแว่ว .. ยังแว่วซ้ำ
เมื่อเพรงกรรมซ่อนเร้นเริ่มเห็นทั่ว
ภาพพฤติ ของคน .. จึงหม่นมัว-
กับเพียงชั่วศรัทธา-หล่นคาเท้า !
O พลิ้วแผ่วลมยามบ่าย .. ยังบ่ายโบก
ล้อมกรรโชกภาพฝันจากวันเก่า
หลุดร่อนความเชื่องเชื่อ .. ไม่เหลือเงา-
การคู้เข่าค้อมหัว .. แค่ชั่วคืน !
O ลมบ่ายยังบ่ายโบกบอกโลกสูง
ว่า-ถ้วนฝูงตัวงอ .. จักขอขืน-
สิทธิ์ที่มีจำกัด .. ขึ้นหยัดยืน-
ร่วมฝ่าฝืนยศศักดิ์ .. อีกสักครั้ง !
O แดดบ่ายคล้อยอ้อยอิ่ง ยังทิ้งตัว-
ลงเกลือก-กลั้วเหงื่อไคลที่ไหลหลั่ง
ภาพ-ปืนลั่นแผดเปรี้ยง - เพรียกเสียงชัง-
ซ้อนภาพ-การกลบฝัง .. ทิพทั้งเป็น !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=03-2018&date=04&group=212&gblog=11

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ระนาดเอก

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s