O เช้านั้น O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
24 พฤศจิกายน 2024, 11:56:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O เช้านั้น O  (อ่าน 6663 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
24 สิงหาคม 2018, 07:03:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« เมื่อ: 24 สิงหาคม 2018, 07:03:PM »
ชุมชนชุมชน






O ภาพวันนั้น .. งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว
ควันจากข้าวกรุ่นลอย .. คน-คอยเหลียว
หมอกหม่นในยามสาง .. ถูกร่างเพรียว-
ล่มลาญความเปล่าเปลี่ยว พ้นเที่ยวทาง
O เริ่มวัน, น้ำแล่นริ้ว, ลมพลิ้วผ่าน
รูปพักตร์คราญรออยู่แต่ตรู่สาง
เพื่อน, ผู้สูงวัย, ดอกไม้วาง-
บนถาด .. ในท่ามกลางการรอคอย
O ภาพ-เรือน้อย, วงคลื่นบนพื้นน้ำ
พายจ้วงจ้ำ, พลิ้วแล้ว .. อย่างแผ่วค่อย
แสงแรกวันเริ่มส่อง .. เรือล่องลอย
คน-เหลือบตาเฝ้าคอย .. ชม้อยชม้าย
O ขับรถตามเพื่อนมา .. ด้วยว่าใจ-
มีรูปใครร้อยรัด .. เกินปัดป่าย-
จน-รูปพักตร์-สายตา .. สบตาชาย-
แววที่ฉายก็กระหวัดเข้ารัดรึง
O รูปแห่งธรรม .. เคลื่อนรอยจนคล้อยลับ
รูปเนตรพรับพริ้มอยู่ .. ก็จู่ถึง-
รายล้อม .. บ่งบัญชา ให้ตราตรึง-
แต่รูปหนึ่งเดียวนี้ .. อย่ามีคลาย !
O เห็นถึงความรมย์รื่น .. ริมผืนน้ำ,
แววดื่มด่ำในดวงตาช่วงฉาย
เห็นแววตาก้ำเกิน .. ความเขินอาย-
นั้น-เวียนว่ายบทกรรม อยู่ตำตา
O เห็น-เมือความอ่อนโยน .. นั้น-โชนเชื้อ
ความก่ำเรื่อก็ป่ายแต้มทั้งแก้ม .. หน้า
เห็น-ถึงความอ่อนหวานแผ่ซ่านมา
ให้พี่, ป้า มองเห็นด้วยเอ็นดู
O ระยิบเอย .. แววตาใต้ฟ้าต่ำ
ผ่องผกายหวานล้ำ .. ออกย้ำสู่
เผยอารมณ์อ่อนน้อย .. ขึ้นช้อยชู-
จนอารมณ์อีกผู้ .. รับรู้ความ
O หม่นมัว .. เข้าสายก็หายสิ้น
เมื่อหอมรินล้อมฝัง .. โลกทั้งสาม
ลมแผ่ว, สูรย์ระยับ .. ตาวับวาม-
ในคาบยาม .. ไม้ใบแกว่งไกวตัว
O ปีกผีเสื้อลวดลายค่อยบ่ายบิน
เมื่อทั่วถิ่นเคลื่อนพ้นความหม่นหลัว
โบกกระพือปีกนั้น .. จนสั่นรัว
กับเพียงชั่วแสงสาง .. เริ่มวางรอย
O งดงามในรุ่งเช้าอันเหงาเงียบ
หยาดเย็นเยียบทั้งปวง .. ก็ร่วงผล็อย-
ตามลมลูบแดดต้อง, ปีกล่องลอย-
เลื่อนลายอ้อยอิ่งอยู่ในหมู่พรรณ
O เม็ดน้ำค้างหยาดพราว .. หมอกขาวขุ่น
แดดอบอุ่นโอบผ่าน .. ก็ปานฝัน
พลิกพลิ้วปีกบางเบาใต้เงาวัน-
เกาะกลีบคั้นหวานอยู่ .. ไม่รู้ลา
O ลมแผ่วผ่านโลมลูบ .. หมอกวูบไหว-
ท่ามกลางไอแดดเรื้องอยู่เบื้องหน้า
ปีกลวดลายแผ่กางโบกคว้างมา-
เมื่อยอดหญ้าน้ำค้างเริ่มจางรอย
O เรียวเรณูหอมหวานเชิดก้านรอ
ให้ภู่ออแอบอ้อนเกสร-สร้อย
เห็นปีกบางกลาดเกลื่อนค่อยเลื่อนลอย-
ตฤปหวานอ้อยอิ่งอยู่อย่างรู้รส
O หวานหอมเยี่ยงใดเล่าจะเท่าที่-
เรณูชี้เชิดคอยนั้น .. ค่อยหยด
หรุบปีกบางเกาะเกี่ยว .. คลานเลี้ยวลด-
ค่อยจ่อจดหวานหอม .. อย่างยอมตัว
O อุ่นไอละอองแดดค่อยแวดล้อม
เมื่อลมพร้อมพาระลอก .. เข้าหยอกยั่ว
มาลีพรรณส่ายดอก .. พร้อมหมอกมัว-
ก็เคลื่อนตัวล่มลาญแต่กาลนั้น
O ปลายปีกนกโบกคว้างที่กลางฟ้า
พร้อมแววตาของใคร .. หนอไหวสั่น ?
รูปปีกเหยียดแผ่ช่วง .. บังดวงวัน-
เมื่อดวงตาคู่นั้น .. คล้ายสั่นสะทก
O ปีกนกยังคลี่กางที่กลางฟ้า
เมื่อแววตาเร้ารุม-ความ .. สุมอก
เหลือบแววปรอยปรอยปริบ .. เฝ้าหยิบยก-
ขึ้นสาธก-แทนถ้อยให้คอยประเมิน
O ปีกผีเสื้อเกาะกุมโกสุมหอม
พักตร์ละม่อมก็อุทธัจด้วยขัดเขิน-
จากแววตาล่วงล้ำคอยก้ำเกิน
ครบครันการหยอกเอิน-สะเทิ้นใจ
O สายหยุดหยุดหอมสิ้นแต่สิ้นสาย
หลังแดดฉายโชนแต้มความแจ่มใส
รูปเอย .. แต้มแววตา-รูปหน้าใคร-
จะรู้ตัวบ้างไหม .. รูปใครกัน ?
O สิ้นสาย ผ่านสาย แล้วสายสวาดิ
ลดามาศก็อวลกลิ่นล้อมถิ่นฝัน
เมื่อวางภพวางชาติมาพาดพัน-
ฤๅอาจเบี่ยงเลี่ยงขวัญคลาดกันพ้น .. ?
O พร้อมแววตาอ่อนโยนนั้นโชนช่วง
ความเงียบเหงาทั้งปวงก็ร่วงป่น
ปีกนกเหยียดเต็มช่วงที่สรวงบน
เมื่ออกคนละห้อยเห็นไม่เว้นวาย !
O สิ้นช่วงการรอคอยละห้อยหา
เมื่อแววตาอ่อนโยน .. นั้น-โชนฉาย-
ความอ่อนหวานลึกล้ำ .. ร่วมรำบาย-
ส่งความหมายผ่องแผ้ว .. ไม่แล้วลา
O สายหยุด หยุดหอมสิ้น .. ร้างกลิ่นแล้ว
เหลือผ่องแผ้วทาบทวงความห่วงหา
พร้อมลมร่ำพลิ้วแผ่ว .. ถ้วนแววตา-
ก็ตรึงติดเพทนาแต่ครานั้น !


O นับครวญนับคาบโน้ม - - - นำคะนึง
เพียงรูปเพียรร่ำถึง - - - ผ่านถ้อย
สุดคิดสุดคลายระรึง - - - แรงรัด โอบแม่
แต่เมื่อตาแม่ชม้อย - - - เมื่อนั้น-จะต้านไฉน ฯ

O จากเช้ากลีบมาศช้อย - - - รอชม
จวบนิ่มเนื้อเนตรคม - - - เหลือบ-อ้อน
ห่างเพียงแค่ลำลม - - - แผ่วร่ำ โรยเนอ
เพรียกสั่นไหวสะทกสะท้อน - - - ระทึกทั้งหทัยสถาน ฯ

O สบนัยสบเนตรซึ้ง - - - ตรึงทรวง
วาบวับปานดับดวง - - - รพิแล้ว
สั่งโลกแวดล้อมปวง - - - ปลาตลับ เลือนแล
เพียงเนตร, นิ่มเนื้อแผ้ว - - - ผ่องล้ำล้อมประโลม ฯ

O เมื่อนัยจากเนตรพร้อง - - - เพรียกถวิล
คือโลกแวดล้อมภิน- - - - ทนะแล้ว
เพียงภพชาติจากวิญ- - - - ญาณอุบัติ
รอเปิดฟ้าผ่องแผ้ว - - - ร่วมเฝ้าประคองขวัญ ฯ

O จากเช้ากลิ่นมาศเชื้อ - - - เชิญภมร
จนเนตรเชิญเลศวอน - - - สวาดิ, ให้-
วัฏฏะรอบกำจร - - - รอบเจต นังแม่
เพรียกภพชาติชดใช้ - - - ชั่วฟ้าดินสลาย ฯ

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2016&date=26&group=11&gblog=654

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : เงาพเนจร, ระนาดเอก, รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, @free, วลีลักษณา, แสนเมือง

ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
21 กันยายน 2018, 02:49:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #1 เมื่อ: 21 กันยายน 2018, 02:49:PM »
ชุมชนชุมชน



O วิสาขะสมัย .. O







O บริบทตรู่เช้า .. หมอก-ขาวมัว
ลมโรยตัว .. ลูบไล้ก็ไหวสั่น
แถบผ้าขาวป่ายริ้ว-ห่มผิวพรรณ-
พร้อมด้วยข้าวในขัน .. มุ่งมั่นรอ
O แล้วพิมพ์ภาพงดงาม .. แห่งยามเช้า-
ค่อยทอดเงาเคียงหมู่ท่านผู้ขอ
ศรัทธาของรูปนาม ก็งามพอ-
สืบสาน-ต่อเติมธรรม .. ลงย้ำใจ
O คำข้าว..ช่อดอกไม้..ถวายพระ
ตอบภาวะศรัทธา .. เพื่ออาศัย-
สำหรับน้อมจิตนำ .. พากย์ธรรมนัย-
กำหนดให้อัตตานั้นล้าตัว
O ข้าวหอมกรุ่นในขัน .. คด .. บรรจง-
ใส่บาตรสงฆ์เบื้องหน้าแต่ฟ้าหลัว
จวบแสงทองอำไพส่องไล่มัว
สุขก็ซ่านเอ่อทั่วทั้งหัวใจ
O หากเช้านี้ .. ผิดแผกจนแตกต่าง
ชั่วพระย่างพ้น .. พลัน-ที่สั่นไหว-
คืออกผู้-เบือนหน้าสบตาใคร-
แล้ว-เลศนัยเชิงชู้ .. ก็จู่โจม !
O ด้วยเช้านี้มีชายที่หมายรู้-
ว่า-งามผู้แสงรุ้งช่วยปรุงโฉม
นั้น .. ฤๅ-เพื่อรอช่วงแข่งดวงโคม-
ผ่านรอบโสมนัสช่วงกลางห้วงใจ ?
O ดู .. สายตาจับจองความผ่องแผ้ว
ก็ล้วนแววเอ็นดูจนรู้ได้
ดู .. สายตาจับจองความยองใย
ความอ่อนไหวอ่อนโยนก็โชนแวว !
O เมื่อมีรูป, มีใจ-หวั่นไหวอยู่
อารมณ์ผู้จับจ้องก็ผ่องแผ้ว
พร้อมริ้วลมโรยตัวอยู่ทั่วแนว
การจับจองรูปแก้ว .. ฤๅ-แล้วเลือน ?
O แต่เมื่อตาสบรูป .. การวูบไหว-
ของดวงใจ .. คือ-งามเจ้าลามเลื่อน-
ยอรูปองค์ .. ล้อมชาติเกินอาจเบือน-
สายตาเคลื่อนจากงาม .. แม้ยามเดียว !
O ตาสบรูป .. จิตวูบด้วยรูปนั้น
ตั้งแต่หันมองตอบ .. เฝ้าลอบเหลียว
ตาต้องรูปร่ำล้อ .. ดั่งขอเคียว-
เจ้าคล้องเกี่ยวเหนี่ยวใจ .. เอาไปครอง
O เช้านี้ .. จึงช่างแปลกจนแตกต่าง
ด้วยเรียวร่างงามที่ไม่มีสอง
ด้วยรูปพักตร์รูปเดียวเฝ้าเหลียวมอง
โลกทั้งผองก็เหมือนวาง .. ให้ย่างเท้า !
O ไร้ซึ่ง - ความเหงาเงียบให้เหยียบย่าง
สิ้นทั้งโลกผืนกว้าง .. เคยว่างเปล่า
มีแต่แววซ่อนยิ้ม, ความพริ้มเพรา-
ของรูปเงาเบื้องหน้า .. ให้ปรารมณ์ !
O พร้อม-ลมเอื่อยแผ่วผ่านอยู่นานเนิ่น,
แววขัดเขินเผยอยู่ .. สุดรู้ข่ม
สบ – สัมผัสหอมหวานอยู่นานนม-
ดวงใจที่จ่อมจมก็ .. สมยอม
O ช่อขาวเกสรปีบ .. รอบีบกลิ่น
ต้องลมรินโรยผ่าน .. รสหวานหอม-
ก็แฝงฝากลมร่ำให้ด่ำดอม-
รื่นรมย์ที่รายล้อม..อย่างพร้อมเพรียง
O ยิ่งปีกผีเสื้องาม, ตาวามนัย-
แฝงฝากให้อาวรณ์ออดอ้อนเสียง
เฉกลวดลายปีกบาง..ลอยร่างเพียง-
เพื่อเข้าเคียงหวานหอม..แนบน้อมรส
O เมฆขาวเวิ้งฟ้าใส .. ลมไหวแว่ว
วันผ่องแผ้วบังเดือนให้เลือนบท
หญ้าต้องลมโลมสู่ .. ยอดคู้คด
ภู่จ่อจดหวานหอมไม่ยอมลา
O นกโผเกาะกิ่งพฤกษ์ .. เมื่อนึกย้อน
ถึงช่วงตอนใจละห้อยแต่คอยหา
ดื่มด่ำด้วยรูปฝัน .. แรงฉันทา-
ต่อเรียวร่าง .. อิริยา .. ท่วงท่าที
O ทอดตามองที่นี่และที่นั่น
รูปรอยฝัน .. แทรกฝ่าเรื้องราศี
กลางลมอุ่นโอบไล้, รอบไมตรี-
ก็ค่อยคลี่โอบรับไว้กับทรวง
O เมื่อลำดวนฟุ้งกลิ่นรวยรินสู่
หอมก็จู่จบแทนความแหนหวง
แรงอาวรณ์ซาบซึ้ง .. ใจหนึ่งดวง-
หวัง-ผ่านหอมหวานล่วง .. อีกดวงใจ
O ปีกนกยังคลี่กาง .. ร่อนกลางฟ้า
กลางแววตา, อาวรณ์ .. แสนอ่อนไหว-
ที่ละห้อยแหนหวง .. พร้อมห่วงใย-
แต่เพียงผู้เยาว์วัย .. อยู่ในยาม
O ลมร่ำสายโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
เมื่อเสียงอ้อนออดชู้ .. สุดรู้ห้าม-
คอยกระซิบเร้ารุก .. คอยคุกคาม
หลังสบแววตางาม .. วาบวามนัย
O ปีกนกกางโล้ลม, อารมณ์ถวิล-
ก็หลั่งรินรอชู้ .. ร่วมสู่สมัย-
การจับจูงเกี่ยวร้อยทุกรอยใจ
กำหนดให้ .. ร่วมย่างบนทางเดียว !

๑๔
O พื้นน้ำชอ่ำ-น-ภะ-ปฎล
ก็ระคนกะรูปเคียว
รองเรื่อ ก็ เมื่อ-นั-ย-นะ-เหลียว
ประลุเหนี่ยวคะนึงหา
O เนตรชายชม้าย-อุ-ระ-กระ-เพื่อม
รติเชื่อมและบัญชา-
จิตผู้เพราะรู้-นิ-ละ-จะหา-
ยะ-นะ-ภาวะทั่วพร้อม
O วังเวงประเลง-บ-ทะ-ประโลม
และโพยมประหนึ่งยอม-
พื้นสินธุ์และจิน-ต-นะ-ถนอม-
กระแหนะน้อมประนังนวล

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2016&date=14&group=11&gblog=657

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
28 กันยายน 2018, 06:45:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #2 เมื่อ: 28 กันยายน 2018, 06:45:AM »
ชุมชนชุมชน



O ฟ้าเดียวกัน .. O






๑.โกสุมหอม, กับ, ข้าว - - - ถือรอ
เอื้อมใส่บาตรผู้ขอ - - - อ่อนน้อม
สำรวมจิตโน้มคอ - - - ก้มต่ำ
รูปหนึ่ง,โสตหนึ่งพร้อม - - - กล่าวถ้อย,สดับธรรม ฯ

๒.เสร็จสิ้นโปรดสัตว์ผู้ - - - ยังเพลิน โลกแน
สาธุการจำเริญ - - - ร่ำอ้าง
ทางพระ,พระดำเนิน - - - ตรงแน่ว
ทางโลก,โลกจักล้าง - - - ทุกข์ร้อนฤๅสลาย ฯ

๓.จีวรปลิวปัดล้อ - - - แรงลม
พร้อมปัดปลิวเส้นผม - - - หนึ่งผู้
ขันข้าวและเนตรคม - - - คอยอยู่
คอยพระ,คอยตารู้ - - - รูปเนื้อรอยนวล ฯ

๔.ของถวายจีบจับเอื้อม - - - เอาวาง
นาสิกเสี้ยวนวลปราง - - - โผล่เร้น
พระจำพรากสู่ทาง - - - ควรที่ พระนา
ตาหนึ่งจักพรากเว้น - - - ว่างพ้นรูปไฉน ฯ

๕.งามภาคงามพักตร์พ้น - - - พรรณนา
งามท่วงทีกิริยา - - - อ่อนช้อย
รูปเอยแทรกลงตา - - - สุดต่อ ต้านเนอ
สุดต่อต้านกับชม้อย - - - เนตรชม้ายเมียงเมิน ฯ

๖.รอคอยวันพระหน้า - - - คงนาน
คิดมาดหมายร่นกาล - - - กุดสั้น
ให้ธรรมวกล่มลาญ - - - ร้อนรุ่ม อกเนอ
ที่เนตรคมคู่นั้น - - - วาบน้ำผกายหนุน ฯ

๗.อกเอยอุโฆษครื้น - - - เกินควร
เหมือนรื่นรมย์เริงขบวน - - - บุกเร้า
ที่ถูกย่อมต้องทวน - - - ธรรมบท
ให้ผ่านรูปยั่วเย้า - - - ห่วงละห้อยคอยเห็น ฯ

๘.แรมหนึ่งรูปหนึ่งโน้ม - - - จินตนา
ดังโลกโน้มจันทรา - - - เคลื่อนห้อม
จันทร์ฤๅผลักวงพา - - - ผ่านหลุด พ้นเนอ
ใจจักหลุดวงล้อม - - - รูปนั้นทำไฉน ฯ

๙.ข้าว, ใจ, ช่อดอกไม้ - - - ล้วนหอม
รอบาตร, รอใครยอม - - - เยี่ยมหน้า
ข้าว, มาลย์มอบผู้ออม - - - อัตภาพ
มอบอีกใจวุ่นว้า - - - หว่างเงื้อมมือสมร ฯ

๑๐.คำข้าวเจ้าคดน้อม - - - นำวาง
ทำอกใจริมทาง - - - ทุกข์ร้อน
เกรงบุญช่วยบังพราง - - - ผูกจิต ใครนา
หวั่นเนตรปลาบไม่ช้อน - - - ฉ่ำซึ้งขึ้นผสาน ฯ

๑๑.จีวรพระพลิกพลิ้ว - - - พะนอลม
เมื่ออกหนึ่งพะนอคม - - - เนตรค้อน
ธรรมสัจจ์และรูปสม - - - รอสืบ เสาะนา
สืบบท, เสาะหวานย้อน - - - อยู่เลี้ยงอาลัย


https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2007&date=24&group=5&gblog=57

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, ไผ่เดียวดาย

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
07 ตุลาคม 2018, 10:20:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #3 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2018, 10:20:AM »
ชุมชนชุมชน



O งามนั้น .. O






O รูปแทนองค์ตถาคตปรากฎอยู่
รอจิตบูชิตตามสืบความหมาย
เพรียกความเงียบสงบพร้อมแวดล้อมกาย
ด้วยร่มธรรมปัดป่าย .. ตราบคลายร้อน
O กลางนิ่งนึก .. ลออรูปก็วูบไหว
หอมผ่านให้ .. หอมอยู่ไม่รู้ผ่อน
มือกบ, พักตร์ก้มต่ำ .. เหมือนพร่ำวอน-
กรรมเก่าก่อนชูชีพ .. อย่าบีบคั้น
O เรียวรูปนามงามพิสุทธิ์ .. จนสุดที่-
อาจหลีกลี้สบได้ .. เมื่อไหวสั่น-
ของอกใจ, ไฟเทียน .. วกเวียนกัน-
เข้าโอบขวัญพิมพ์ไว้ แนบนัยน์ตา
O ในท่ามกลางลำแดด .. ทอแวดล้อม
รูปงามพร้อมเนตรชม้าย-เหมือนชายหา
อิริยานารี .. งำ-ลีลา
แฝงท่วงท่าปรารมภ์ .. ให้-สมยอม !
O นั่งเท้าแขนพับเพียบดูเรียบร้อย
เนตรชม้อยชม้ายผ่าน, ความหวานหอม-
ก็แผ่ซ่านผ่านสู่ .. เกินรู้ออม
จิตที่พร้อมแพ้-พ่ายอยู่ภายใน
O เกศินีเนียนปราง .. สุดพราง-กลบ
จากแรกสบตากัน, ที่สั่นไหว-
คืออารมณ์ .. คือช่วงของดวงใจ-
ที่แกว่งไกวโยนตัวไปทั่วทรวง
O ในโบสถ์แสงหม่นครึ้ม, เสียงงึมงำ-
แห่งนัยธรรมผ่านศัพท์ .. เหมือนลับล่วง
เมื่ออีกใจฝากคำ .. เฝ้าบำบวง-
เทพทุกสรวงเหนี่ยวใจ .. อีกใครนั้น
O เห็นมือเรียวกราบลงหน้าองค์พระ
พร้อมภาวะอีกใจ .. คล้ายไหวหวั่น-
เกรงบาปบุญสั่งสม .. ไม่สมกัน-
จักพรากขวัญพิมพ์ใจ .. จนไกลเกิน !
O เหลือบสายตาชม้ายชม้อยแล้วคอยหลบ
ครั้นตาสบรอบอุทธัจ, แววขัดเขิน-
เหมือนแต้มเติมแก้มเรื่อ .. หมายเชื้อเชิญ-
การจำเริญปฏิพัทธ์ .. เต็มอัตรา
O งามเนื้อทองรูปทรงหน้าองค์พระ
เพรียกกาละภพชาติ, แรงปรารถนา-
บรรจบแล้วลุกลามจนล่ามคา-
แววในตาสุมอกเกินยกพ้น
O ทิพโลกชะลอลง .. ก็คงใช่
จาก-เหลียวไปจบรูป, ที่วูบหล่น-
หลังคาบยามสัมผัสในบัดดล,
คือ-ใจคน .. แววตา, รูปหน้านั้น !
O โอ .. เนตรชายชำเลืองที่เบื้องหน้า
หรือคอยดูทีท่าจัก .. กล้า, หวั่น ?
แววในตาซ่อนยิ้ม .. กลับพริ้มพลัน-
ที่เผลอหันมาพบ .. แล้วสบตา
O ระยิบเอย .. แววตาใต้ฟ้าต่ำ
เหมือนโน้มนำรั้งเหนี่ยวให้เหลียวหา
กลิ่นลำดวนจวนลม .. ก็พรมภา-
วะ .. คันธารสหอมแวดล้อมใจ
O สายหยุดหยุดหอมสิ้นแต่สิ้นสาย
หลังแดดฉายโชนแต้มความแจ่มใส
รูปเอย .. แต้มแววตา-รูปหน้าใคร-
จะรู้ตัวบ้างไหม .. รูปใครกัน ?
O สิ้นสาย ผ่านสาย แล้วสายสวาดิ
ลดามาศก็อวลกลิ่นล้อมถิ่นฝัน
เมื่อวางภพวางชาติมาพาดพัน-
ฤๅอาจเบี่ยงเลี่ยงขวัญคลาดกันพ้น ..?
O พร้อมแววตาอ่อนโยนนั้นโชนช่วง
ความเงียบเหงาทั้งปวงก็ร่วงป่น
ปีกนกเหยียดเต็มช่วงที่สรวงบน
เมื่อจิตคนละห้อยเห็นไม่เว้นวาย !
O ตาเหม่อมองแก้มเนียน .. ค่อยเปลี่ยนสี
ผุดผาดที่แสงสรวง .. ยอมช่วงฉาย-
เพื่อเร้ารูปฉันทาแนบตาชาย
ที่เหมือนสายเกินการต่อต้านแล้ว
O โอ .. งามฤาจะรวมลงท่วมโลก
ค่อยค่อยโยกสั่นเร้า .. อย่างเบาแผ่ว-
จวบ .. สายตาอ่อนหวานนั้นผ่านแวว-
ความผ่องแผ้ววามระยับ .. ให้จับจอง
O เปิดหัวใจในยาม .. งดงามรูป-
เข้าโลมลูบ แทรกซุกไปทุกห้อง,
ไร้เรี่ยวแรงเพียงพอ จักต่อรอง-
การยึดครอง แรงชู้แต่ผู้เดียว !
O จน .. สองมือจับของประคองถวาย-
พระ, พร้อมสายตาคอยชม้อยเหลียว-
จิตเมื่อนั้น .. จึ่งถือว่ามือเรียว-
ชวน-หวังเหนี่ยวโน้มบุญ .. ร่วมจุนเจือ ?
O แดดปลายฝนต้นหนาว .. ยังวาววับ
เนตรพริ้มพรับในยาม .. ก็งามเหลือ
เยี่ยงเถาวัลย์ลมผ่านโลมย่านเครือ
รูปอะเคื้อโลมขวัญ .. ย่อมสั่นสะท้าน !
O ผมหล่นล้อมวงหน้าเมื่อหน้าก้ม
ทุกข์ขื่นขมในกมลก็พ้นผ่าน
หลัง-สองมือแผ่ราบลงกราบกราน
สาธุการ เสียงแผ่ว .. ก็แว่วดัง
O ดวงตาเอย .. แต่คอยชม้อยชม้าย-
หรือเพียงหมายให้ละห้อย .. เฝ้าคอยหวัง ?
ชายชำเลืองซ้อนซ้ำ .. โหมกำลัง
หรือหมายสั่งชี้ชวน .. พาป่วนใจ ?
O จาก-อ่อนหวานวาบแล้วที่แววตา
จน-ตอกตรึงฉันทา .. เกินฝ่าไหว
แม้นจนรูปคล้อยเคลื่อนลับเลือนไป
ยังตรึงให้ละห้อยเห็น .. ไม่เว้นวาง
.
O แต่เมื่อเนตรซ่อนยิ้ม ค่อยพริ้มหลบ
ก็ครันครบปฏิพัทธ์เกินขัดขวาง
ซึ้งหวานหอมดุษฎีล้อมที่ทาง
จนสุดย่างก้าวหักเบี่ยงมรรคา
O จึงเมื่อเนตรพริ้มหลบหลังสบยิ้ม
และแก้มอิ่มเรื่อเรื้องอยู่เบื้องหน้า
รูปตอกตรึงลงมั่นในสัญญา-
ก็ - เหมือนว่ารออยู่ .. แต่ตรู่เช้า !
O เมื่อเนตรพริ้มพรับรออยู่ต่อหน้า
ก็รู้ว่าอาวรณ์แต่ก่อนเก่า-
ถูกแตะตื่น โลมลูบด้วยรูปเยาว์
จิตจึงต้องรุมเร้าจนสั่นรัว
O เรื่อแก้มอิ่มละม่อมหน้า .. แววตานั้น
คล้ายคอยสั่นไหวระลอก .. เฝ้าหยอกยั่ว-
ให้อารมณ์วกวน .. กลางหม่นมัว
อกจึงรัวลั่นอยู่ไม่รู้ยาม
O วัฏฏะวง .. สงสารเมื่อผ่านรอบ
ใจย่อมนอบน้อมทราบ .. รสวาบหวาม
ที่รายล้อมโลมรุกเข้าคุกคาม
คอยฉุดล่ามความคิด .. เหนี่ยวจิตใจ
O เรื่อแก้มอิ่มละม่อมหน้า .. แววตานั้น
ฤๅ-เพื่อยั่วใจหวั่น .. พาสั่นไหว
อกคนเบื้องหน้านี้ .. จะมีใด-
เอากีดกั้นหลบได้ .. จากนัยน์ตา
O ดูเหมือนจะสายเกิน .. การเมินหลบ
รูปเพรงภพหยัดหยั่ง .. เหมือนสั่งว่า-
จักเผื่อแผ่อ่อนหวาน .. ให้ผ่านมา-
ก่อระลอกเสน่หาอีกคราครั้ง
O วับวามแวว-เนตรนั้น .. เมื่อสั่นไหว
ราวจะผ่านความนัย .. ออกไหลหลั่ง
เข้าล้อมให้แววตาละล้าละลัง
ด้วยสุดยั้งระลอกคลื่นใต้ผืนทรวง
O ระลอกความอาลัย .. ดวงใจหนึ่ง
ที่ตราตรึงรูปแก้ว .. ไม่แล้วล่วง
ราวหัตถ์พรหมเหนี่ยวนำ .. เพราะคำบวง-
นั้นเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ
O ดูเถิด .. รูปแก้มอิ่ม .. เนตรพริ้มหลบ
แต่บรรจบรูปรอย .. ก็คอยผลาญ-
อกใจผู้ปรารมภ์ .. ให้ซมซาน
ทรมาน .. ทรมาด้วยอาวรณ์
O จะรับรู้บ้างไหม..ว่าใจหนึ่ง-
จมคำนึงเวียนว่ายเกินถ่ายถอน
ความอ่อนโยนอ่อนหวาน..เหมือนผ่านวอน-
เข้าออดอ้อน .. เร้ารัวทั้งตัวตน
O ดูเถิดรูปเอวองค์ .. ที่ตรงหน้า
สบแววตาปลาบปลั่ง .. เพียงครั้ง .. หน-
เหมือนอ่อนล้าไร้สิ้น .. แรงดิ้นรน
ด้วยยอมตนยอมตัว .. สิ้น-หัวใจ !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2017&date=03&group=11&gblog=683

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
30 ตุลาคม 2018, 07:12:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #4 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2018, 07:12:PM »
ชุมชนชุมชน



O แรงอาลัย .. O







O คงใช่แล้ว-ห่วงหา .. ความอาวรณ์
เริ่มซอกซอนรุมรัดเกินปัดหาย
เมื่อไมตรีเยื่อใยแห่งใจชาย
ถักทอดสายโอบฉุดจนสุดยั้ง
O กำแพงใดใครสร้างขึ้นขวางคั่น
ฤๅอาจกั้นกีดไหว .. เมื่อใจสั่ง
ต่อให้สูงใหญ่ล้ำเหลือกำลัง
ถูกซอนเซาะซ้ำครั้ง .. ย่อมพังครืน
O เมื่อนั้นแหละทั้งปวง .. ความห่วงหา
จะโหมฤทธิ์เข้ามาทั้งตาตื่น
บรรโลมหวานหยาดย้ำ .. เช้า .. ค่ำคืน
จนสุดขืนขัดห้าม .. งดงามนั้น
O ย่อมรุมเร้าในอกสุดยกย้าย
และวนว่าย .. อาลัยด้วยไหวหวั่น
ย่อมวาดหวัง .. รอยคำ .. ถ้อยรำพัน
มากล่อมขวัญเร้าทรวง .. อย่างห่วงใย
O ย่อมละห้อยคอยเห็น .. ด้วยเป็นห่วง
จะเลยล่วงลับกันก็หวั่นไหว
เจ้าเอยกลางราตรีจะมีใคร
ร่วมเผยรูปอำไพที่นัยน์ตา
O ย่อมมาดหมายร่นฟ้า .. เข้ามาใกล้
โอบกายไว้แนบทรวงด้วยห่วงหา
จะชวนชี้ดาวสวรรค์และจันทรา
กล่อมคีตาให้สดับอยู่กับใจ
O จากต่างฟ้าต่างแดน .. ที่แสนห่าง
จนแผ้วทางนฤมิตมาชิดใกล้
ถักทอแล้วแน่นเหลือสายเยื่อใย
จะทอดให้ก้าวย่าง .. ย่ำกลางทรวง
O ใจเอยนั่นจันทร์เพ็ญลอยเด่นฟ้า
ชมเถิดราศีโสมเมื่อโลมสรวง
ย่อมยอแสงแจ่มจ้าสู่หล้าปวง
จะเลยล่วงลับได้อย่างไรกัน
O ชื่นเอย .. แต่เมื่อโฉมประโลมเล่น
ครั้นห่างเห็นห่วงละห้อยแต่คอยขวัญ
เกินอักษรกรองคำจักจำนรรจ์
ร้อยรำพันความนัยออกใกล้เคียง
O เจ้าเอยแต่เมื่อเห็น .. เกินเร้นห่วง
จะเลือนล่วง .. อาลัยก็ให้เสียง
มาทักทายยั่วล้อ .. จนพอเพียง
ก่อนบ่ายเบี่ยงหลบให้ .. ห้วงใจคอย
O เบื้องบนนั่น .. จันทร์พร่างอยู่กลางสรวง
โลกล่างปวง .. เย็นเยียบจนเงียบหงอย
ดาวบนฟ้าแสงกระพริบ, ตาปริบปรอย-
ชม้ายชม้อย .. แฝงนัยอยู่ในที
O ดาวจันทร์จึงดับดวง .. จนล่วงสิ้น
รองรับยินดีโลกทั้งโลกที่-
แววอ่อนหวานอ่อนไหว .. แฝงใยดี-
ค่อยหมุนคลี่ม้วนรัดในบัดนั้น !

๑๔
O จากขวัญและขวัญดละคะนึง
ภวะซึ้งก็ล่ามพัน
จวบนัย ณ นัยนะถวัลย์
พะ-ผจัญ, ก็แจ้งความ
O หวานใด ณ ในอุบัติภพ-
ะจะลบ บ่ ให้ลาม
เมื่อนัย ณ นัยนะวะวาม
ดุจะล่ามและรอบล้อม
O หอมใด ณ ในภพะมนุษ-
ยะจะยุด บ่ ให้ยอม
เมื่อเนตรและเจตทะนุถนอม
ดุจะพร้อม .. และยอมใจ
.
.
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2016&date=22&group=11&gblog=653&fbclid=IwAR3GneLeAk5DFUi-m_i7XW-Q3jyK_0zp7qPQlvkSXLbVnni3-WlDTrWVozA

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
05 ธันวาคม 2018, 08:23:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #5 เมื่อ: 05 ธันวาคม 2018, 08:23:AM »
ชุมชนชุมชน



O เส้นแสง และแรงคะนึง O






O ยิ่งกว่าสายฝนโปรย .. ลมโชยผ่าน
และดอกมาลย์รวยรินด้วยกลิ่นหอม
คือแววตาชม้อยสู่ .. เหมือนรู้ยอม-
การโอบกล่อมล้อมร่างไว้กลางทรวง
O ปลาบเปรี้ยงกลางสายฝนที่หล่นหลั่ง
วิชชุคลั่งโลดแล่น .. เย้ยแดนสรวง
แล้วซ่อนเร้นอ่อนไหวที่ในดวง-
ตาแหนหวงเจ้าเผย .. ยั่วเย้ยใคร ?
O ดวงวันบำราศฟ้า .. จันทราเสี้ยว-
ก็เลื่อนเรียวลอยรูป, แวววูบไหว-
ของดวงตาอาวรณ์กำจรนัย-
ก็ผ่านออกเผยให้ .. หัวใจรู้ !
O อาวรณ์ในแววตา .. เบื้องหน้านั้น-
ฤๅอาจกั้นกีดความ .. เมื่อลามสู่ ?
ให้สบเสพดื่มด่ำรสดำรู-
ดั่งสายฝนพร่างพรู .. ลงสู่ใจ
O สังคีตสีสั่นพลิ้วเป็นริ้วเสียง
แว่วผ่านเคียงสายฝนที่หล่นไหล
คะนึงรูปสรรพางค์ที่ห่างไกล-
แว่วเสียงแล้ว .. หวั่นไหวถึงใครกัน ?
O แม้นเลื่อนรูปนามไป .. จนไกลห่าง
หากขอบโค้งฟ้ากว้าง .. ยากขวางกั้น
เมื่อหัวใจทั้งดวง .. คอยพ่วง .. พัน-
โอบแนบอีกใจนั้น .. ทั้งวันคืน
O จันทร์เจ้าเอยเลื่อนดวงจนล่วงลับ
ดาวเคยวับวามอยู่ .. สุดรู้ขืน-
เมื่อมืดหม่นทั้งตอน .. วกย้อนกลืน-
กลบ .. ด้วยคลื่นฝนโปรย .. ลมโรยตัว
O ละห้อยหาเช่นไ ร.. หนอใจนั่น
หรือหวามหวั่นเสน่หากลางฟ้าหลัว ?
ด้วยอารมณ์ .. ด้วยขวัญที่สั่นรัว-
เมื่อแรงชู้เกลือกกลั้ว .. แนบหัวใจ
O โอภาสรูปเรขา .. ที่ฟ้าบน-
ยังคำรณคำรามเกินห้ามไหว
ฟังเถิดเจ้ารูปยุพิน .. ที่ถิ่นไกล-
เสียงอกใครเลื่อนลั่นรำพันความ
O ย่อมมิใช่ฟ้าแล่นโลมแสนสรวง
หากเป็นทรวงเสพทราบรสวาบหวาม-
หลังเผยรูป, พฤติลออ .. ลงต่อความ-
ฤๅอาจห้ามปรารถนาผู้อาลัย
O วาบวกรูปวิชชุดา .. กลางห่าฝน-
คอยว่าย-วนแทรกบทความสดใส
วาบวิ่งอยู่เบื้องหน้า .. แววตาใคร ?
ช่างอ่อนหวานอ่อนไหว .. ล้อใจคน
O ข่มจันทร์ดาวบนฟ้า .. จนลาล่วง-
เหลือสองดวงหวานละมุน .. กลางฝุ่นฝน
กระพริบแสงวาบวาม .. งดงามจน-
อกใจอลเวงอยู่ .. ไม่รู้วาย
O เจ้าเอยรู้ไหมว่า .. แรงอาวรณ์-
เกินเร้นซ่อน .. ขับข่มให้ล่มหาย
รู้ไหมว่าความคำ .. พี่รำบาย-
เพื่อกล่อมสายสวาดิชู้ .. แต่ผู้เดียว
O กลางสายฝนคลุมฟ้า .. แววตาเจ้า-
เหมือนยั่วเย้าเหลือบชม้อยให้คอยเหลียว
วิชชุบนเลื่อนแล่นสองแขนเรียว-
ราวเอื้อมเหนี่ยวเด็ดใจ .. เอาไว้ครอง
O ยามนี้ฟ้ามืดหม่น .. น้ำหล่นไหล
พร้อมหัวใจใฝ่เฝ้าเป็นเจ้าของ
หวังเพียงแววตาละห้อย .. จักคอยมอง-
รอ .. แขนคล้องเรียวร่างไว้กลางทรวง
O รอเถิดเจ้า .. เยาวรูป .. รอลูบโลม-
จากรอบโสมนัสแฝง .. ด้วยแรงหวง
ความคำพี่ร้อยเรียง .. หวังเพียงดวง-
ตาแสนห่วงใยล้น .. กระวนกระวาย !
O รอ-เถิดเจ้า .. รูปนามผู้ทรามสวาดิ
รอ-รวมชาติภพนี้ .. เป็นที่หมาย
พร้อมอาวรณ์อาลัยของใจชาย-
จักเคลื่อนคลายโอบล้อมอย่างยอมตน
O แว่วยินไหมคลื่นฝนคำรณเสียง
แปลบปลาบเปรี้ยงเปรี้ยงดัง .. ทุกครั้งหน-
ฤๅเท่าเสี้ยวส่วนในหัวใจคน-
ดังกึกก้องกาหล .. อยู่คนเดียว !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2016&date=16&group=11&gblog=652

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
08 มกราคม 2019, 06:30:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #6 เมื่อ: 08 มกราคม 2019, 06:30:PM »
ชุมชนชุมชน



O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O





O กัมปนาทวิชชุโชติ .. เหมือนโกรธเกรี้ยว
จันทร์รูปเรียวเคยประดับก็ลับหาย
อัสสุชลหล่นฟ้า .. กลับพร่าพราย-
ด้วยชม้ายชายตา .. แฝงท่าที
O ครั่นครื้น-เสียงลมฟ้า .. เสียงห่าฝน
หากใจคนกลีบสุมาลย์เริ่มบานคลี่
วิชชุเฟื้อยเส้นปราด .. ลงฟาดตี
และกลีบสีบุษบันเริ่มสั่นสะทก
O รับรู้ - คลื่นลมฝนอีกฝนหนึ่ง
พร้อมทั้งความหวานซึ้งติดตรึง .. อก
ไร้แสงดาวดื่นเรียง, ไร้เสียงนก-
หากสาธกไร้เสียง .. จักเลี่ยงฤา ?
O พระท่านว่าตาจบกรรทบรูป
จิตอาจวูบด้วยพฤติ .. แล้วยึดถือ
ตั้งแต่เนตรเหลือบเหลียว-เยี่ยงเรียวมือ-
เข้ายุดยื้อเพรียกถวิลให้ดิ้นรน
O พอสิ้นเสียงธรรมพระ .. ก็จะแจ้ง-
ถึงนัยแฝงเร้นผจง .. ให้ส่งผล
สาธุการแผ่วพลิ้วกลางริ้วสุคนธ์
และใจคนอบอุ่นละมุนละไม
O เบื้องนอก-ลมเฉื่อยโชย .. ฝนโปรยปราย
เบื้องหน้า-สายตานั้นเหมือนสั่นไหว
วาบวิ่งแสงวิชชุยังคุไฟ
และวาบวับตาใครเล่าไหววน
O นับเนื่องแต่บ่วงกรรม .. พาจำพราก
สืบช่วงจากแดดอุ่นถึงฝุ่นฝน
ตราบ-ธรรมแว่ว, เพทนา, นัยน์ตาคน-
หวานหอมกลีบสุคนธ์ .. ก็หล่นคอย
O สิ้นคาบยามน้ำหยาดบำราศแล้ว
เหลือเพียงคีตผ่านแว่ว อย่างแผ่วค่อย
พร้อมคู่ดาววาบแสงลงแฝงรอย
เพรียกละห้อยห่วงเห็นไม่เว้นยาม
O ดึกดื่นเสียงกัมปนาทค่อยขาดช่วง
หากแต่ท่วงทีละม่อม .. กลับล้อม-ล่าม
อิริยาพฤติจริตย่อมติดตาม-
เข้าคุกคามถวิลอยู่แต่ผู้เดียว
O ภาพ-กบก้มประนมกรอันอ่อนช้อย,
เนตรชม้อยชม้ายตอบยามลอบเหลียว,
พร้อมสายลมแผ่วพลิ้ว-ด้วยนิ้วเรียว-
กบ-เหมือนเหนี่ยวจิตชายอย่าคลายคะนึง
O ผมหล่นล้อมรูปหน้าเมื่อหน้าก้ม
เพียงสายลมขวางอยู่เมื่อรู้ถึง-
ความอาวรณ์ในจิต .. ว่าติดตรึง-
กับรูปซึ่ง .. ธรรมพระ-ต้องละวาง !
O ทุกลอบเหลือบเหลียวอยู่ก็รู้เลศ
เหมือนดลเวทย์มนต์อุบัติขึ้นขัดขวาง
ธรรมพระแว่ว .. ดวงขวัญก็กั้นกลาง
อนัตตาความว่างก็ห่างไกล
O จาก-อ่อนเอนแกว่งไกวของไม้พุ่ม-
ถึงลมรุมเร้าผ่าน .. กิ่ง .. ก้านไหว
ฤาต่างความรุมเร้า – รูปเงาใคร-
เผยผ่านงาม .. สดใส .. คอยไหววน
O กี่ปีกนกล้อลม .. กี่ร่มพฤกษ์-
ผ่าน .. รำลึกย้อนหลัง, สักครั้งหน-
ที่รูปคราญโลมไล้ .. หัวใจคน-
จัก .. ฝ่าพ้นผ่านงาม .. สักงามนั้น ?
O สิ้นจันทร์ .. สิ้นคืนค่ำ .. ลมร่ำ-หนาว
หากเนตรวาววับนัย ยังไหวสั่น-
เหมือนคอยยั่วคอยย้ำ .. แทนรำพัน-
โอบอุ้มแรงใฝ่ฝันให้สั่นรัว
O กุมเหงนั่นเพียบพร้อม .. ละม่อมหน้า
เติบเต็มโหมคุณค่ากลางฟ้ารั่ว
มธุรสบุษบันก็กลั่นตัว
หยาดโลมทั่วดวงจิต .. รอชิดเชย
O พร่างพรายจันทร์อีกดวงในทรวงนี่
หากหลีกลี้ .. อ้อยอิ่งทำนิ่งเฉย-
หนี้อาวรณ์ทบต้น .. จักล้นเลย-
ความอันเคยเอ่ยนับทุกกัปกัลป์
O พร่างพรายแล้วเสน่หา .. คันธารส
แต่เผยบทบาทน้อม .. เข้าล้อมขวัญ
เถิด-ถ้อยคำบวงโอ่ .. ทั้งโลกันต์
เพียงเศษเสี้ยวส่วนอนันต์ .. รำพันนี้ !




https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2017&date=12&group=11&gblog=681

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, ไผ่เดียวดาย

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s