O คำมั่นคำสัญญา .. O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
22 พฤศจิกายน 2024, 09:07:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1] 2
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O คำมั่นคำสัญญา .. O  (อ่าน 31847 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
08 มิถุนายน 2014, 09:03:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« เมื่อ: 08 มิถุนายน 2014, 09:03:AM »
ชุมชนชุมชน

ที่มา ..
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=06-2014&date=06&group=11&gblog=552





.. แม้นกุศลเราสองเคยร่วมสร้าง
ขอร่วมห้องอย่าได้ห่างเสน่หา
เสียงผลที่ได้เพิ่มบำเพ็ญมา
ขอร่วมชีวาร่วมวางชีวาวาย ..
.. เกิดไหนขอให้ได้ถนอมพักตร์
ความรักอย่าได้ร้างอารมณ์สลาย
รักนุชอย่าได้สุดเสน่ห์คลาย
ขอสมหมายที่ข้ามาดสมาทาน ..

O สร้อยสุมาลย์บานช่อ .. ร่ำรอพร้อม-
แฝงฝากกลิ่นรายล้อม .. รสหอมหวาน
อกเอยแต่โลมลูบด้วยรูปคราญ
ก็เอ่อซ่านรอบซึ้งอยู่อึงอล
O เมื่อโคมฟ้าลอยดวง..โชนช่วงแสง
งามก็แฝงฝากช่วงทั้งห้วงหน
พร้อมผึ้งภู่ .. ภุมรินเริ่มบินวน
สีสันโกสุมบน .. ก็เบ่งบาน
O ปีกวิหคแผ่กาง .. ลอยร่าง-ร่อน
สูงต่ำตอนเสาะหาภักษาหาร
ท่ามกลางเสียงนกแว่ว .. ลมแผ่วพาน
หนึ่งรูปคราญก็ลอยล่อให้รอชม
O แต่พบกัน .. อาวรณ์ก็ร่อนคว้าง
อยู่ท่ามกลางแดดทอ .. มาลย์ช่อ-ฉม
เสริมกำลังปรารถนา .. แห่งอารมณ์-
เข้าสั่งสมแนบทรวง .. เกินล่วงล้าง
O หรือพบกัน .. จากกรรมชี้นำทิศ
จึงเมื่อพิศยามแรก .. สุดแยกห่าง
หรือรอบบุญแรงกรรมนั้นนำทาง-
ยกก้าวย่างผ่านเงา .. สบเว้าวอน
O โอ นั่น น้ำเนตรพรับ .. แวววับไหว
สื่อส่งให้พร่ำพลอด .. ความออดอ้อน
แล้วค่อยถ่ายคะนึงหา .. รอบอาวรณ์-
ลงสุมซ้อนความรัก .. ให้ตักตวง
O ราวหวานหอมทั้งหล้า .. น้อมมาให้-
อยู่ชิดใกล้, อ้อมแขน-ผู้แสนหวง-
ก็อยู่รอก่อกรรมเช่นคำ .. บวง-
ล้อมร่างดวงสวาดิน้อยผู้กลอยใจ
O ครั้งนั้น .. คำ, ความผอง .. ท่านกรองร้อย
กอปรโศกสร้อยรันทม .. เกินข่มไหว
ด้วยความรัก .. แหนหวง .. ด้วยห่วงใย-
ก่อนบรรลัยชีพดับ .. เลือนลับกัน
O ครั้งนี้ .. ความอาวรณ์เจ้าอ่อนน้อย
ใช่เพียงถ้อยความพร้อมรอกล่อมขวัญ
หากมีความอ่อนไหว .. เหมือนไฟควัน-
เต้นเปลวสั่น-เร้ารุมลงสุมทรวง
O รุ่มร้อนเอย .. ครันครบ-อยากพบหน้า
ด้วยคำนึงปรารถนา .. ไม่ล้าล่วง
เมื่องดงามผ่านคาบลงทาบทวง
ใจทั้งดวง .. ก็เหนี่ยวงาม .. ผูกล่ามใจ
O เฝ้าแต่คอยละห้อยเห็นไม่เว้นช่วง
ด้วยความหวงแหนอยู่ .. จนรู้ได้-
ว่าแม้นชีพดับดิ้นจนสิ้นไป-
ยังอาลัยอาวรณ์ .. ยากผ่อนเพลา
O โอ อกใครหนอระส่ำ .. คล้ายคร่ำครวญ
ล่มกำสรวลโศกสร้อย .. ทุกรอยเหงา
แต่เมื่องามสดใส .. แห่งวัยเยาว์-
อยู่รุมเร้า .. โลมรุกไปทุกตอน
O โกสุมเชิดเรณูเหมือนรู้เชิง-
ให้ภู่เหลิงห้อมเห่ .. หยาดเกสร
เช่นอกคนครวญคร่ำ .. ถ้อยคำวอน
ด้วยหลงเหลิงออดอ้อน .. สะท้อนสะท้าน
O งามรูปองค์ชาติเชื้อ .. ก็เหลือรู้-
จะอาจกู้ตัวตน .. ให้พ้นผ่าน
คงเกินใจมุ่งมั่น .. อาจบันดาล
เข้าต่อต้านปรารถนา .. แรงอาลัย
O โอ งามคงจะตามลงล่ามพัน-
ผูกดวงขวัญเว้าวอนผู้อ่อนไหว
โอ คาบยามอบอุ่นละมุนละไม
เหมือนคอยไล้โลมยั่ว .. เย้ยตัวตน
O กลีบพะยอมนิ่มเนื้อ .. นั้นเหลือนุ่ม
ลมผ่าวรุมไหวระรัว .. ก็กลัวหล่น
ค่อยโน้มแนบด่ำดอม .. กรุ่นหอมปรน-
เปรอใจวนว่ายหอม .. ไม่ยอมร้าง
O งดงามเอย .. มาลย์สรวงเมื่อร่วงหล่น
พร้อมใจคนหลงชู้ไม่รู้สร่าง
ร่อนโล้สายลมหวน .. เสียงครวญคราง
พาความอ้างว้างซบลงกลบดิน
O ฟังเถิด .. ความอาวรณ์ .. เจ้าอ่อนน้อย
จักเฝ้าร้อยความสู่ .. ไม่รู้สิ้น
จะเช่นลมหายใจอันไหลริน-
คอยหล่อเลี้ยงชีวิน .. จนสิ้นใจ
O นบองค์พระปฏิมา .. รูปราศี
ความลูกมีพร่ำพ้อ .. เพียงขอให้-
คำสัตย์เมื่อมอบสู่ .. ถึงผู้ใด-
ย่อมมีนัยรัดขวัญ .. ตราบวันวาย
O น้อมจิตนอบ .. องค์พระ .. นมัสการ
มีรูปคราญบริสุทธิ์เป็นจุดหมาย
วางอาวรณ์อาลัยจากใจชาย-
มอบต่อสายสวาดิชู้ .. เพียงผู้เดียว
O งดงามเอย .. แววระยับยามพรับพริ้ม
จักเผยยิ้มย้อนตอบ .. หรือลอบเหลียว ?
ฟ้าหม่นมัว .. ลมพลิ้ว, เหมือนนิ้วเรียว-
เอื้อมมาเหนี่ยวเด็ดใจ .. เอาไปแล้ว .. !



หมายเหตุ....
กลอนที่มีจุดนำหน้าทั้งหมดเป็นกลอนจาก"เพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้ง"
ข้อความนี้ มี 14 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
08 มิถุนายน 2014, 05:13:PM
สุวรรณ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 565
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,487


หวังทุกชีวิต สถิตไว้แต่สิ่งดี


« ตอบ #1 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2014, 05:13:PM »
ชุมชนชุมชน

ลมละล่องแผ่วเบาสู่เหย้า,พบ
ความเย็น เงียบสงบ พาวูบแผ่ว
ประโลมหนึ่งใจนี้ได้พบแนว
วรรณศิลป์เพริศแพร้วแห่งวงศ์วรรณ

งามในความตามบรรณที่ท่านสร้าง
บรรจงไว้อย่างสล้างสะอาง-สรร
คำ ความหมาย ถ่ายทอดตลอดบรรณ
ชะอ้อนเอื้อน งามนั้นเกินประมาณ

จึงพิมพ์กลอนนิดน้อยลงลอยล่อง
เป็นอักษรร้อยกรองทำนองสาร
กล่าวขอบคุณ ในคุณค่าการเจือจาน
แห่งศิลป์กวินกานท์งดงามนี้

ข้อความนี้ มี 13 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
08 มิถุนายน 2014, 09:40:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #2 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2014, 09:40:PM »
ชุมชนชุมชน

ขอขอบคุณความถ้อย .. เรียงร้อยไว้
ด้วยน้ำใจเพ็ญกุศลอันล้นปรี่
ประณีตคำเรื่อยไหล .. ดั่งไมตรี-
ผ่านวาทีกรองศัพท์ให้รับรู้

ยังอ่อนเชิงห่างชั้นหลายพรรษา
ทั้ง-ลีลา, ทำนอง .. เฝ้าลองอยู่
หากผิดพลาด-พบเห็น .. โปรดเอ็นดู
สื่อความสู่ ย่อมชอบจะขอบคุณ

จาก .. ลองนำ-คำ, ความ .. ลงตามกรอบ
เรื่องที่ชอบ-หยิบฉวยเอาช่วยหนุน
จน .. ภาพงามโดดเด่น, ผู้เพ็ญบุญ,
ข้าวหอมกรุ่น - ล้อมรออยู่ต่อตา

ความเรียงร้อยเรื่อยมาแต่ครานั้น
เพื่อร้อยกล่อมดวงขวัญกลางพรรษา
เพื่อ - นันทิผลิเล่ห์ในเวทนา
ละห้อยหา, ละห้อยเห็น .. อย่าเว้นยาม !

จริตรูปงามที่ .. วาทีกรอง-
จำลอยล่องเข้ากระหวัด ผูกรัด-ล่าม
เพียงเพื่อส่งกรรมบทแสนงดงาม-
แทรกหัวใจวาบหวามเกินห้ามทัน !

 ยิ้มให้จ้ะ
ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
08 มิถุนายน 2014, 10:49:PM
สุวรรณ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 565
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,487


หวังทุกชีวิต สถิตไว้แต่สิ่งดี


« ตอบ #3 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2014, 10:49:PM »
ชุมชนชุมชน


ความในเนื้อกลอนนั้นชั้นเชิงเยี่ยม
แสนเต็มเปี่ยมศัพท์สารมากรองกลั่น
มากเนื้อหาสาระสารพัน
บอกนัยย่อมชำนาญบรรณมานานแล้ว

ผู้น้อยได้เพียงมองตาปริบปริบ
หรุบกระพริบพร่าภาพวาบหวามแว่ว
กลั่นวลีเพียงน้อยในรอยแวว
สื่อขอบคุณแผ่วแผ่วก่อนกล่าวลา

ด้วยต้องฝึกต้องฝนอีกยกใหญ่
จึงขอลาจากไปใฝ่ศึกษา
กลบทการเขียนตามตำรา
เฟื่อวันหน้าเขียนได้ดีกว่าที่เป็น

 เคารพรัก
ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
09 มิถุนายน 2014, 07:36:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #4 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2014, 07:36:AM »
ชุมชนชุมชน

ในความรักความชอบ ด้วยกรอบคิด
นฤมิตวาทกรรมกอปรความเห็น
เพื่อรื่นรมย์โถมเทียบจักเพียบเพ็ญ-
อาวรณ์เร้นซ่อนนั้น .. แต่บรรพชน

กลอนนารีปราโมช จึงโลดแล่น-
ในแบบแผนเพลงยาว .. ฝ่าหาวหน
เข้าแทรกจิตสำทับให้อับจน-
ด้วยนัยความบันดลเยียงมนตรา

แทน-พาทย์เพลงแว่วเสียง .. ความเรียงร้อย
หวัง-คำนึง, เฝ้าคอย, ละห้อยหา
จนอาวรณ์ผ่องแผ้วที่แววตา
ก็รู้ค่าวาทกรรมที่นำทาง

ทั้งกลอนกาพย์ฉันท์โคลง .. จึงโยงเรื่อง
เข้าหนุนเนื่องบทกรรมจับทำ, สร้าง
ถ้วนชอบชังดีทราม .. ในท่ามกลาง-
ความเห็นต่าง เห็นตาม .. ละลามรส

เมื่อกลอนกาพย์ฉันท์โคลง .. เยี่ยงโก่งศร-
พุ่งซอกซอนทั่วแหล่ง สำแดงบท
กอปรคีตแผ่วครวญคร่ำ .. ถ้อยคำพจน์ -
จึงปรากฎโลดแล่นเหนือแผ่นดิน !
ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
09 มิถุนายน 2014, 01:31:PM
ศรีเปรื่อง
Special Class LV5
นักกลอนแห่งเมืองหลวง

*****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 220
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 371


ข้าพเจ้าเพียงใช้บทกวี...เพื่อหย่อนฤดี


« ตอบ #5 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2014, 01:31:PM »
ชุมชนชุมชน

ย่องไปเยี่ยมที่บ้าน...อ่านอยู่บ่อย
เสพรสถ้อยรสกลอน...อักษรศิลป์
แจ่มจรัสรัศมี...มีชีวิน
ดุจนาคินทร์เล่นล้อคล้อนที

ซึ่งถอดโคลงนายอิน...นรินทร์ธิเบศร์
ต้องกับเจตน์กระทาชาย...นายเปรื่องศรี
ด้วยมิค่อยกระจ่างบางวลี-
ในโคลงที่ชนประณต...ว่าบทครู

ส่วนโคลงยวน ฯ นั้นหนอ...ขอยอมแพ้
มิหาญแล...เพราะคำศัพท์ล้ำหรู
ขีดจำกัดสมอง...ของดนู
แค่หางงู...หางอึ่ง...จึ่งจำ Bye

อีกมากลักษณ์เล่ห์ฉันท์วรรณวิจิตร
กลลิขิตอำไพ...ใกล้สูญหาย
เห่ลบองจองกถาสาธยาย
ดูง่ายดาย...ดังกระพริบ...ขยิบตา

อีกความคิดคมลึก...ตรึกพิเคราะห์
ทุ้งกะเทาะทิ่มตอก...ปลอกปัญหา
หลากหลายมุมเหลี่ยมแง่...ตีแผ่มา
ให้ประชาได้คิด...พินิจทวน

ศรีเปรื่อง
๙ มิ.ย. ๒๕๕๗


อิอิ...ลิงค์นี้ ที่ผมชอบย่องไปอ่าน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2007&date=11&group=25&gblog=1
ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

09 มิถุนายน 2014, 10:12:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #6 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2014, 10:12:PM »
ชุมชนชุมชน

ยินดีนัก .. เห็นกานท์ของท่านศรี
เยี่ยมเยียนด้วยไมตรี .. ย่อมมีส่วน-
ช่วยเพิ่มวงสมาคมตามสมควร
ที่แต่ล้วน อภิรมย์ด้วยคมคำ

โคลงนิราศนรินทร์ .. ดั่งพินทุหยาด-
ต้องกลีบมาศมาลย์ฉมเมื่อลมร่ำ
ยิ่งใหญ่ อมตะแห่งวาทกรรม
เป็นเสาค้ำหลักโคลงยึดโยงมา

เขาแปลให้เด็กเพียรได้เรียนรู้
ถึงสำนวนโคลงครู .. ให้รู้ว่า-
การเดินเรื่อง, ท่วงที ทั้งลีลา-
อุปมาอุปไมย .. เขียนได้ดี

สามสุดยอดโคลงนิราศของชาติไทย
พระลอได้เป็นหนึ่ง .. อีกหนึ่งที่-
ถูกยกคือ .. เตลงพ่าย .. ความหมายดี
อีกหนึ่งชี้เด็ดขาด .. นิราศนรินทร์

เราต่างเป็นเพียงผู้ รับรู้กรอบ
เดินตามความชื่นชอบ โดยรอบ-สิ้น
ฉันทลักษณ์เยี่ยงฝนที่หล่น-ริน
ย่อมโอบล้อมแผ่นดิน จนสิ้นร้อน

เราต่างเป็นผู้เดินก้ำเกินสมัย
ด้วยหัวใจสืบสานเรื่องกาลก่อน
ร้อยเรียงเรื่องรูปคำให้กำจร
เพื่อหัวใจเหนื่อยอ่อนได้ผ่อนคลาย

เราต่างเป็นผู้เดินก้ำเกินยุค
ร่วมปลอบปลุกวรรณศิลป์อย่าสิ้นสาย
ศัพท์แสงย่อมจับทำเพื่อรำบาย
ความมุ่งหมายแห่งใจ .. ผู้ไขว่คว้า !

ยินดีมากที่ท่านศรีแวะมาทักทาย ขอรับ




ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
10 มิถุนายน 2014, 06:57:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #7 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2014, 06:57:AM »
ชุมชนชุมชน

ใส่รูปได้ซะที
เหลือแต่เพลง อิๆๆ
.
.
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O

 




O แว่วยินไหม .. รำพันดวงขวัญเอ๋ย
ฝากให้ .. ลมรำเพยรำพึงผ่าน
ว่า .. ค่ำนี้แสงดาวคงร้าวราน
จาก .. ความหวานโชนช่วงในดวงตา
O จันทร์เอย .. เลื่อนขึ้นฟ้า .. ช้าช้าก่อน
ให้ความวอนเว้าปวง, แรงห่วงหา-
ได้ทอดเสียงกระซิบความ .. ส่งข้ามมา-
กล่อมหัวใจปรารถนา .. ผ่านราตรี
O ชะลอการเลื่อนดวงขึ้นสรวงฟ้า
เพื่อรอแสงในตารูปราศี-
ทอดทอแววสวาทสู่ .. ให้รู้ที-
รู้ท่า .. ความใยดี - ผู้มีใจ
O เห็นไหม .. แสงอ่อนโยนแต่โพ้นภพ
ทอดฝ่าพลบ .. ฝ่าฝัน .. ถึงกันได้
ฝัน .. ที่รอคาบช่วงแห่งดวงไฟ-
เชื่อมอาลัยผูกพัน .. ลงสัญญา
O หนึ่งหัวใจทะยานสู่ความรู้สึก
ดำดิ่งลึกลอดบ่วงความห่วงหา
เชื่อมอาวรณ์ช่วงฉายผ่านสายตา
ล่มทุกแสงจันทราจนล้าเลือน
O จันทร์เอย .. จันทร์เจ้า .. ช่วยเว้าวอน-
ความออดอ้อนรำบายลงป่ายเปื้อน-
ดวงใจผู้ห่วงละห้อย .. เพื่อคอยเตือน-
ให้ .. ถวิลทุกเขยื้อนขยับใจ
O ดู .. ธารดาวทอ-ดวงบนสรวงสวรรค์
แทนดวงตาทอฝัน .. ที่สั่นไหว-
ด้วยรูปรอยเจ้านั้น .. เช่นจันทร์ไกล-
แต้มรูปต่ายลงไว้ .. ที่ในดวง
O ช่างเนิ่นนานหนักหนา .. แต่ครานั้น
ก่อนรูปฉันทาชาติจะขาดช่วง
นับภาพซึ่งสุมใส่อยู่ในทรวง
ล้วน – รูปพวงดวงพักตร์จำหลักพร้อม
O ค่อยเบือนเหลียวสบลักษณ์ .. รูปพักตร์ล้ำ
มือกุมกำเรียวก้อย .. เอ่ยถ้อยกล่อม
หยาดน้ำตาร่วงตก .. ห้วงอกตรอม-
ก็แวดล้อมกาลลาด้วยอาลัย
O ฝ่าลานทุ่งรุ้งทองลอยล่องถึง
ธารดาวซึ่งทอส่องความผ่องใส
รอบวงกัปหมุนกาล .. ตราบนานไกล-
จนบรรจบรูปใจ .. เช่นในจันทร์
O ยังเป็นจันทร์ดวงเดิมที่เริ่มฉาย-
แสงลงป่ายเปื้อนโลก .. เมื่อโศกศัลย์, -
เสียงคร่ำครวญ-ล่มลาญแต่นานวัน
หลังรูปขวัญเผยกายต่อสายตา
O ยิ่งต่ายแต้มในจันทร์ .. เจ้าขวัญน้อย
เมื่อผ่านเผยรูปรอยมาคอยท่า
ก็สอดรับรูปฝันในสัญญา
เสน่หาในอก .. ฤๅยกพ้น ?
O ลมเยียบเย็นโรยฝ่าขอบฟ้ากว้าง
ในท่ามกลาง ดาวช่วงที่ร่วงหล่น
แรงอาวรณ์เวียนวก .. ในอกคน-
ก็เวียนจนอ่อนแรง .. แล้วแพงน้อย !
O ป่านฉะนี้ร่างนั้นในบรรจถรณ์
จะรุ่มร้อนเย็นเยียบหรือเงียบหงอย
หรือมองดาวไกลลิบตาปริบปรอย
หรือละห้อยห่วงหา .. ทั้งราตรี ?
O จน-นกค่ำส่งเสียงจำเรียงร้อง
แสงจันทร์ส่องฉาบฟ้า .. อวดราศี
ก็รับรู้อาลัยความใยดี-
ผ่านลมวีวาดสายรำบายความ
O แสงพรายประกายพรึกอันลึกลับ
ก็ค่อยพรับพรายดวง .. คล้ายหวงห้าม-
แรงอาวรณ์อาลัยพึงไหลลาม-
ล้อมรูปทรามสวาดิชู้แต่ผู้เดียว
O มวลเมฆดำมืดมนเคยหม่นเศร้า
และเวิ้งฟ้าเงียบเหงาเคยเปล่าเปลี่ยว
กลับเลื่อนรูปจนเห็นเป็นเส้นเกลียว-
ของสายใยพันเหนี่ยว .. รูปเรียวนั้น
O แล้วค่ำก็ถูกกลืนด้วยคลื่นดาว
จนห้วงหาวไกลลิบกระพริบสั่น
แล้วลมก็ร้องร่ำเสียงรำพัน-
เพื่อโอบขวัญอบร่ำ .. ด้วยคำชาย
O เบื้องไกลพู้นเวิ้งว้าง .. ที่กลางหาว
กลาดเกลื่อนดาวลอยดวงขึ้นช่วงฉาย
หลากสีสันท่ามกลางแสงพร่างพราย
ก็เพียงหมายแสงช่วง .. ของดวงเดียว !

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
14 มิถุนายน 2014, 08:13:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #8 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2014, 08:13:AM »
ชุมชนชุมชน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=06-2014&date=13&group=11&gblog=553


O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O






-1-
O โลก-จึงปรากฏ .. ความงดงาม
เมื่อแววตาวาบวาม .. สื่อความหมาย-
ออกยั่วล้อต่อตา .. ด้วยตาชาย
จึง-อุ่นอายแดดร้อน หรือผ่อนลง ?
O เร้นแฝงนัยอ่อนหวาน .. เมื่อผ่านสู่-
ย่อมงามอยู่ .. เยี่ยงยูงผู้สูงส่ง
คล้ายเผยผ่านเงื่อนงำแห่งจำนง
ให้ดำรงร่องรอย .. อยู่คอยที
O นามธรรมแฝงเร้น .. ย่อมเป็นไป-
จากหัวใจถูกกักด้วยศักดิ์ศรี
จะเผยผ่านอาลัย .. เยื่อใยมี-
ก็เกินที่เจตจินต์จะยินยอม
O งดงามความสัมพันธ์ในวันผ่าน
จึงดั่งเกสรมาลย์ .. รสหวานหอม
สืบผ่านรูปบริบท .. คอย-อดออม-
รอรายล้อมสายใย .. รัดใจคน
O ค่อยถักทอ .. ม้วนปลายจนคล้ายบ่วง
แทนความห่วงใยวางที่กลางหน
งามก็คล้ายหวานหอมที่ยอมตน-
ลงเปลื้องปรนเปรอค่าความอาลัย
O โดยท่าทีซ่อนเร้น .. ความเป็นจริง
คือทุกสิ่งเหมาะควร .. และล้วนใช่-
ล้วนกรอบเกณฑ์ขีดสร้าง .. รอย่างไป-
ตามหัวใจกำกับ .. ปล่อย, ยับยั้ง
O ฟังเถิด .. ถ้อยคำวอน .. เจ้าอ่อนน้อย
ความละห้อย .. อาลัย, ล้วนไหลหลั่ง-
จากอารมณ์ตื่นชู้ .. ยากรู้ฟัง-
ว่าเสียงดังเสียดทรวง .. นั้น-ห่วงใคร ?
O ฟังดูเถิด .. ทุกจังหวะเสียงสะท้อน-
เผลอ -พร่ำวอนโดยถวิล .. แว่วยินไหม ?
เผยความออก .. ว่าหวง .. ว่าห่วงใย-
จากหัวใจร่ำรอ .. เฝ้าทรมา
O จากคลายตัวเคลื่อนไป สายใยนี้
จนแผ่คลี่ .. ม้วนวงที่ตรงหน้า
ก็เหลือเพียงเรียวร่าง .. ก้าวย่างมา-
หยั่งคุณค่าลงวางที่กลางวง
O แววตาแสนรุ่งเรื้อง .. บอกเรื่องราว-
ว่าถึงคราว .. พรหมลิขิตแผ่พิษสง
มองดูเถิดหวานล้ำ .. คล้าย-ดำรง-
อย่างมั่นคง .. ในอกเกินยกย้าย
O สร้อยสุมาลย์ช้อยช่อ .. ร่ำรอหอม-
กำจายล้อมภุมรินเมื่อปีนป่าย
แววตาเอยตื่นตอบ .. เฝ้าลอบชาย-
เหมือนรอผ้ายความเผย .. ออกเย้ยคน
O แววขัดเขินในตา .. น้อมมาให้-
ความอ่อนไหวเวียนประดังอีกครั้งหน
พร้อมอารมณ์อ่อนหวาน .. เผยผ่านปรน-
เปรอ-ใจคนรื่นล้ำ .. อยู่ค่ำเช้า
O โอ แววตาวาบน้ำ, ความคร่ำครวญ-
ช่วยเกลื่อนส่วนอาดูร .. จนสูญเปล่า
แต่เมื่อความอ่อนไหว .. ของวัยเยาว์-
ค่อยสุมเร้างามรุกไปทุกตอน
O เกสรบนกลีบสุมาลย์ .. เชิดต้านลม
กำจายรสหวานฉม .. แอบลม-อ้อน
ฤๅ-ต่างอกครวญคร่ำ .. ถ้อยคำวอน-
แอบแฝงความอาวรณ์ .. สะท้อนสะท้าน
O นุ่มนวลรูปชาติเชื้อ .. นั้น-เหลืออ้าง
แต่หยั่งร่างลงแล้ว .. สุดแล้วผ่าน-
ไปจากห้วงเจตจินต์, เมื่อวิญญาณ-
สัมผัสคราญ, เสน่หา – ฤๅ .. ฝ่าพ้น ?
O กลีบพะยอมนิ่มเนื้อ .. นั้นเหลือนุ่ม
ลมแผ่วรุมไหวระรัว .. ก็กลัวหล่น
รอ - โน้มแนบด่ำดอม .. กรุ่นหอมปรน-
เปรอใจวนว่ายหอม .. เพื่อ-น้อมรับ !

-2-
O แววระยับวามช่วง .. ในดวงเนตร
ค่อยเผยเลศนัยชู้ .. ล้อม จู่ จับ
อิริยารูปนาม .. ย่อมสำทับ
ลงกำกับพรับพริ้ม เพื่อพิมพ์ใจ
O มุขมณีน้ำระยับ .. ย่อมจับจิต-
ผู้เพ่งพิศ-อภิรมย์ฤๅข่มไหว
เห็นแต่เฝ้าจับจ้องหมายมองไป
เสพรูปนามเพ็ญพิไล .. พลอยไขว่คว้า
O เห็นงามก็ว่างามไปตามเห็น
หวัง-ตอบเต้นนัยมีด้วยทีท่า-
ของดวงแก้วเหลื่อมแสงเข้าแยงตา
ที่-ร่ำรอเสน่หาจากตาชาย
O เห็นงามก็ตามว่า .. ดั่งตาสบ
แต่บรรจบก็ลุกลามเป็นความหมาย
ถวิลแต่คุณค่าอันพร่าพราย
ที่โชนฉายแววมณีเป็นสีเดียว
O ทุกพื้นเหลี่ยมมุมรัตน์ .. จำรัสรอย
เหลื่อมแสงพร้อยพร่างมาให้ตาเหลียว
จำรัสรูปให้เห็น .. ราวเส้นเกลียว-
สายใยแทรกรัดเหนี่ยว .. พันเกี่ยวไว้
O ดั่งมณีแทรกวางที่กลางทรวง
เพื่อเป็นบ่วงโอบขวัญ .. แนบฝันใฝ่
เพื่อเสพรับอุ่นอายจากภายใน-
อุ่นอาลัยเร้ารุม .. คอยสุมลน
O แต่บรรจบก็ลุกลามเป็นความหมาย
แววตาฉายโฉบกันนับพันหน
โอ้ละหนอ .. หวั่นไหว .. และใจคน
จะหลุดพ้นพรากได้เยี่ยงไรฤๅ
O เห็นมณีน้ำระยับงามจับจิต
หากไม่คิดคว้าไว้จะได้หรือ
ใครเล่าจะเหนี่ยวดึง .. ส่งถึงมือ
มีแต่ยื้อยึดครอง .. เป็นของตัว
O เหลื่อมแสงสีพร่างอยู่ไม่รู้สิ้น
เชื่อมสองจินต์ด้วยระลอก .. นัยหยอก-ยั่ว
มณีเนตรแฝงเร้น .. ค่อยเต้น-รัว-
อยู่โดยทั่วดวงมณี .. ณ ที่นั้น
O เห็นโชนช่วงดวงวิเชียรที่เวียนว่าย
พร้อมแววฉายเนตรใคร .. หนอ-ไหวสั่น
ดูเถิด .. ที่ก่ำแก้ม .. ราวแต้ม-ปัน-
ด้วยหวามหวั่นจบพักตร์ .. จำหลักไว้
O อันมณีน้ำระยับงามจับจิต
ฤๅโดยฤทธิ์เทพส่งให้หลงใหล
พามอบสอดแทรกวางถึงกลางใจ
เป็นดวงแก้วส่องพิสัย .. รอ-ไขว่คว้า
O รับรู้คร่ำครวญคะนึง ..
รับรู้ถึงรูปนามเกินข้าม .. ฝ่า
จักยอขวัญดวงมณีด้วยปรีดา
รอคุณค่าคืนมอบ .. มา-ตอบแทน
O รับรู้ความออดอ้อน ..
ด้วยอาวรณ์โอบล้อม .. ดั่งอ้อมแขน-
เอื้อม-ปกป้องไว้เอง .. อย่าเกรงแกลน
อกนี้แสนทะนงอยู่ .. อย่างรู้ตน
O ลมเหนือที่เหน็บหนาว ..
เมื่อโหมฝ่าห้วงหาวทุกคราวหน
เถิด-ทุกครั้งยอหอม .. เข้าล้อมลน
ร่วมอุ่นปรนเปรอสาวให้หนาวคลาย
O เจ้าดวงมณีเอย ..
ราวสูรย์เย้ยยั่วแหล่งด้วยแสงฉาย
แววออดอ้อนยั่วย้ำเจ้ารำบาย
เกรงว่า-สายเกินการณ์จักต้านแล้ว !
ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
18 มิถุนายน 2014, 08:48:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #9 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2014, 08:48:PM »
ชุมชนชุมชน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=03-2012&date=09&group=11&gblog=385



O บุหลันลอยเลื่อน .. O








.. 1
O อัสดง .. สุริยาจะลาแล้ว
เหลืองแสดแดงผ่องแผ้ว .. อาจแล้วหรือ ?
ปีกนกกาง .. ลมชะ-ลอยกระพือ
สุดท้ายคือหม่นหมองที่ครองแดน

O ฟ้าจรดน้ำ .. ดวงรพินทร์ก็สิ้นช่วง
ทิ้งโอภาสทั้งปวงเคยช่วงแสนย์
สิ้นคาบกาละทิวา, ที่มาแทน-
คือราตรีห้อมแหน .. บนแผ่นฟ้า

O เหลื่อมแสงเรื่อทอดสู่ .. สินธูผืน
ให้ค่ำคืนแฝงเงาเคลื่อนเข้าหา
พร้อมกับดวงรัชนี .. เลื่อนลีลา
คือหอมการเวกแกม .. ลงแต้มทรวง

O ลมพลิ้วผ่านรูปรอยก็คล้อยเคลื่อน
เพ็ญบุหลันลอยเลื่อนขึ้นเยือนสรวง
แสงเหลืองเย็นอ่อนโยน .. เมื่อโชนดวง-
รูปหน้างามก็โชนช่วง .. ขึ้น-พ่วงพัน !

O อ่อนหวานถึงปานนั้น .. เจ้าขวัญน้อย
แต่ร่วมร้อยอภิรมย์ .. เข้าบ่มฝัน
อ่อนโยนเล่า-สำแดงออกแบ่งปัน
ราวจะพันผูกใจ .. ด้วยนัยเดียว

O อ่อนไหวถึงป่านนั้น .. หนอขวัญเจ้า
แต่รุมเร้าความผอง .. หมายข้องเกี่ยว
หวังเจ้าพ้องปรารมภ์ร่วมกลมเกลียว
ก้าวย่างบนทางเที่ยว .. ก้อยเกี่ยวกัน

O ลมพลิ้วผ่านรูปรอย .. ก็คล้อยเคลื่อน
แทนแข-เลื่อนลอยดวง .. กลางทรวงนั่น
เจ้าเอย-นี้ .. อ่อนไหว-ของใครกัน-
คล้ายทอดลงล้อมกั้น .. ผูกพันพร้อม

O ราตรีอวล-กลิ่นรื่น .. ล้อมคืนค่ำ
ใจดื่มด่ำ .. ก็อวลศัพท์ขึ้นขับกล่อม
เพื่อเรี่ยวแรงแห่งถวิล .. จักยินยอม-
ร่วมโอบล้อมรสประทิ่นของกลิ่นมาลย์

O ลมแผ่ว .. คะนึงนั้น .. ก็ครันครบ
เมื่อพระลบเคลื่อนล้อม, ความหอมหวาน-
ราวเคลื่อนลงกอปรกิน-จิตวิญญาณ
แล้วบรรสารรมย์รื่น .. ท่วมผืนใจ

O คะนึงนึกรูปฝัน .. ในบรรจถรณ์
จะตอบรับอาวรณ์ด้วยอ่อนไหว
ฤๅลอบเร้นวาบหวามด้วยความนัย
ต้องเยี่ยงไร-ทำไฉนจะได้รู้ .. ?

O กราบพระบำบวงผ่านปวงภาษ
ตรองโอวาทศาสดา .. น้อมมาสู่-
จิตใจที่ล้อมโลมด้วยโฉมตรู-
ราวต้องเงื่อนบ่วงชู้ .. เกินรู้คลาย

O กราบก้มประนมมือ, ความถือมั่น-
ยิ่ง-บุหลันลอยดวงขึ้นช่วงฉาย
ความอ่อนหวานเวียนวก .. ในอกชาย-
ก็รำบายฝากไปถึงใครนั้น

O คอค้อม, กรประนม .. ปรารมภ์ความ
สืบส่งข้ามสู่ใจ .. ที่ไหวสั่น
ให้รับรู้วอนเว้า, รูปเยาวพรรณ-
เพื่อกล่อมขวัญเจ้านั้น .. ให้ฝันดี

O แววตาพร้อมอาวรณ์แสนอ่อนโยน
หวังแจ่มจ้าช่วงโชน .. อยู่โพ้นที่
พึงเผยเลศเผยนัย .. หัวใจมี-
แล้ววาดวี .. คืนกลับ .. ให้รับรู้ !


.. 2
O แล้วรื่นรสรวยริน .. ของกลิ่นโมก-
ก็บ่ายโบกหวานหอม .. รายล้อมสู่
โสมเลื่อนดวงครองค่ำ .. ความดำรู-
ก็ครองใจถวิลชู้ .. สุดรู้-ล้าง !

O ลิบลิบกระพริบช่วงแห่งปวงดาว
ก็ดูราววิบไหว .. แสนไกลห่าง-
จากโลกหล้า, เปลื้องปรุงแสงรุ่งราง-
คงอยู่ค้างฟ้าทะมื่นในคืนแรม

O ลิบลิบดารดาษดวง .. ในสรวงฟ้า
เช่นนัยน์ตาวามแสงเมื่อแต่งแต้ม-
ด้วยรูปรอยรอบอุทธัจ .. ระบัด..แกม
คาบนั้นแซมสอดหมาย .. รำบายความ

O เพียงแสงช่วงปวงดาว .. เห็นวาววับ
ย่อมเห็นงามระยิบระยับ .. เกินดับ-ห้าม
โลกทั้งดวงดูเหมือน ..จะเลื่อนตาม
และอบอุ่นวาบหวาม .. คล้ายลามลน

O จึงน้อมรับระยับช่วง .. แห่งดวงดาว
อันวาบวาวปลาบปลั่งอีกครั้งหน
ความอ่อนหวานอ่อนไหวแห่งใจคน
ราวโซ่ตรวนพันวน .. เกินด้นดึง

O ระทึกและสั่นไหว .. อกใครหนอ-
หลังเติม-ต่อ .. อาลัยส่งไปถึง
ร่วมครอบครองคุณค่าอันตราตรึง
เสพหวานซึ้งซ้ำอยู่ไม่รู้เลือน

O นึก-ระทึกวาบหวิวจนริ้วแก้ม-
ราวเกลี่ยแกมเลือดฝาดเข้าปาดเปื้อน-
เพื่ออยู่รอ-สายตา .. ผ่านมาเยือน
รอ-ด้วยใจสั่นสะเทื้อนสะทกสะท้าน

O เลือดในอกผู้รอ .. เมื่อหล่อเลี้ยง
อบอุ่นย่อมคล้อยเคียง .. ลำเลียงผ่าน
ขัดเขินสักเพียงใด .. หนอใจคราญ
จะซึ้งซ่านเพียงไหน .. หนอใจคน

O ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม .. กับความว่า-
อาจ-วุ่นว้านัยศัพท์..ที่สับสน-
บางความหมายหยิบยก .. ย่อมวก-วน
เพื่อแฝงนัยให้คนวก-วนคิด

O ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม .. ถ้อยความสื่อ
ตรองเถิดหรือ .. ความปวงจากดวงจิต-
ล้วนเร่งรอบอาลัย .. มาใกล้ชิด
เพื่อถือสิทธิ์ปักปลูกความผูกพัน

O แม้นหนทางขวางกั้น..ด้วยอรรณพ
อาจบรรจบด้วยใคร..แต่ในฝัน
ยังยอมอยู่เปล่าเปลี่ยว..ใต้เสี้ยวจันทร์
ด้วยใจหนึ่งใจนั้น..ดื้อรั้น-คอย

O ดึกสงัดพราวพร่าง .. น้ำค้างหยด
ลมตอบบท .. แขเปลื้องแสงเงื่องหงอย
แรงคำนึงโชนช่วง .. ใจล่วง-ลอย
ถึงรูปรอยพักตร์พิไล .. ผู้ไกลตา

O ในฝัน .. ฝันว่าฝน .. นั้นหล่นสาย
เนื้อ, อุ่นอาย, อ้อมแขน .. ที่แม้นว่า-
หากโลกนี้แหลกยับไปกับตา
ยอม .. ชีวาดับล่วง .. กับทรวงนั้น !
ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
21 มิถุนายน 2014, 07:56:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #10 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2014, 07:56:PM »
ชุมชนชุมชน

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sdayoo&month=21-06-2014&group=11&gblog=555



O พวงผกา..แห่งป่าฝน .. O








O น้ำค้างรุ่งเหน็บหนาว .. พร่างพราวรับ-
แสงเช้าทอดจู่จับ .. จนวับไหว
ผืนพลอยเพชร-เม็ดน้ำ .. คล้าย-ร่ำไร
รอแสงไล้โลมต้อง .. เพื่อ-ล่องลอย
O รวยรวยรสมาศไม้ที่ในสวน
กลิ่นหอมอวลอบเร้าความเหงาหงอย
รื่นรสกุสุมเช้า .. เหมือนเฝ้าคอย-
บางรูปรอย .. ผู้ถวิลแต่กลิ่นมาลย์
O คำนึงด้วยเจตจินต์ .. ที่ยินยอม-
การกักกุมรุมล้อมด้วยหอมหวาน
ที่ทั้งใจไหวสั่นแต่วันวาน
เมื่อใครผ่านความหมายขึ้นว่าย-วน
O งามจริตรูปละม่อมพรั่งพร้อมค่า
เปรียบช่อชั้นพวงผกา .. แห่งป่าฝน
ที่เสียดยอดพลอดยามให้ตามยล
ถึงดิ้นรนด้วยใจ .. พลอยไขว่คว้า
O นับการก้าวยกย่าง .. บนทางฝัน
ช่างเต็มเปี่ยมมุ่งมั่น .. การฟันฝ่า-
อุปสรรคทั้งปวง .. ให้ร่วงคา-
อยู่ใต้ฝ่าเท้าย่ำ .. ที่ดำเนิน
O นับสิบร้อยพันหมื่นการตื่นหลับ
คือลำดับรอยอุทธัจ .. ความขัดเขิน-
ค่อยค่อยโหมหวนระลอกเข้าหยอกเอิน
ด้วยท่าทีที่สะเทิ้นด้วยเมิน-เมียง
O ละเมียดรส .. ผกากรองละล่องกลิ่น
หอมตรึงจินตนาการนั้น-ปานเสียง-
กระซิบแผ่วผ่านถ้อยมาร้อยเรียง-
ความซาบซึ้งให้ประเดียงประดังใจ
O กลีบเรียวบางดอกดวง .. บ้างร่วงหล่น
อยู่กับอกอึงอล .. ลมวนไหว
ละครั้งที่งดงามของความนัย
ผ่านโลมไล้ลูบอก .. พาวกย้อน
O หยาดน้ำค้างเคยเห็น .. ก็เร้นหาย
ยังแต่สายสวาดิผู้สุดรู้ผ่อน
ในคำนึงเงียบเหงา .. เหมือนเว้าวอน-
ความออดอ้อนแอบอำอยู่ค่ำเช้า
O รูปะภพอบร่ำในคำนึง
ย่อมตราตรึงผูกพันจากวันเก่า
ผ่านเผยรูปรอยยิ้ม .. อันพริ้มเพรา
ก็เพียงเงาเยาวรูป .. โลมลูบทรวง
O นับแต่วันเดือนปีเท่าที่เห็น
ก็ยากเร้นงดงามที่ลามล่วง
ราวอดีตคำสาป .. บุญบาปปวง-
ผ่านฤทธิ์หน่วงเหนี่ยวให้ .. อาลัยรอ
O ถ้วนปวงความอ่อนโยนและอ่อนหวาน
ต่างฤๅเมื่อดอกมาลย์ .. เบ่งบานช่อ-
ยังลามล่วงรุมเร้าพะเน้าพะนอ
เช่นรูปเงาแอบออ .. ร่ำรอทรวง
O ถ้วนสิ้นความอ่อนโยนและอ่อนหวาน
จึงเปลี่ยนผ่านแปรให้ .. อาลัย-หวง-
แหนนั้น-เข้าห้อมห่มอารมณ์ปวง
แทรกความห่วงใยล้ำ .. อยู่ค่ำเช้า
O น้ำค้างเร้นหยาดหยด .. ไปหมดแล้ว
ลมโผยแผ่วลอดเลี้ยวความเปลี่ยวเปล่า
ประหนึ่งเพชร-แสงปลาบ .. นั้นวาบเงา
เมื่อรูปเยาว์ .. หล่นคว้าง .. ลงกลางใจ !
O อบอุ่นแล้วอีกคราว .. เมื่อหนาวพ้น
ที่เหน็บหนาวเสียจน .. ยากทนไหว
ยังดี-ที่ในทรวงมีห่วงใย-
คอยอุ่นไล้โลมสิ้น .. จิตวิญญาณ
O อบอุ่นแล้วอีกคราว .. เมื่อหนาวสิ้น
ด้วยลมรินเอื่อยอ่อย-ที่คล้อยผ่าน
ยอดหญ้าค้อมเรียวลู่-รับรู้กาล
กุสุมาดอกมาลย์ก็บานรับ
O ขณะวันสาดส่อง .. ฟ้าผ่องแผ้ว
คือยามแววลึกล้ำ .. เนตรดำขลับ-
ค่อยเหลือบชายให้ทราบ .. ความวาบวับ-
ที่โหมลงจู่จับ .. ลำดับนั้น
O จู่จับห้วงจิตใจ .. เกินไหว-เบี่ยง
ด้วยชั่วเพียงสบรูป .. แล้ว-วูบสั่น
จนสบแววอ่อนหวาน .. ก็ปานทัณฑ์-
ผูกล่ามขวัญเอาไว้อยู่ในมือ
O แววเนตรไหว-วนวิ่ง, ยากยิ่งแล้ว-
จักฝ่าความผ่องแผ้ว .. จนแล้ว .. หรือ ?
สบรูปแล้ววิญญาณ .. จักผ่าน ฤๅ ?
เหลือแต่คือ-ยื้อยุดไว้ .. สุดตัว !

ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
28 มิถุนายน 2014, 08:24:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #11 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2014, 08:24:AM »
ชุมชนชุมชน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2013&date=17&group=11&gblog=447



O ฝนเดือนหก .. O






O หยาดมาเถิดฝุ่นฝน .. สีหม่นเทา-
ลงปกคลุมรุ่งเช้าให้เหงาหงอย
ปีกเบาบางเคยขยับ .. ก็ลับรอย
ท่ามกลางน้ำฟ้าย้อย .. ลงเยี่ยมพื้น
O ร่วงหยดไหลหล่นล่าง .. หยาดพร่างพร้อย
ลงห่มเกสรสร้อยให้ช้อย-ตื่น
รับฉ่ำเย็นถ้วนตอนที่ย้อนคืน
ยามเสียงฟ้าครั่นครื้นอยู่อลเวง
O ไร้ปีกผีเสื้อบางสะบัดโบก
กลางฝนโชกฟ้าวาบ .. แสงปลาบเปล่ง
อติรูปในฝัน .. ก็บรรเลง-
สังคีตเพลงยั่วเย้า .. ในเช้าวัน
O อ้อยอิ่งกลางเม็ดฝนที่หล่นหยาด
ลดามาศก็ช้อยช่อร่ำรอหัน-
เรียวกลีบรับน้ำสรวงหล่นร่วงบรร-
โลมความชื่นฉ่ำนั้น .. เช้าวันนี้
O เจิ่งนองแผ่นพื้นโลกจนโชก-ชุ่ม
น้ำฟ้าร่วงผ่านพุ่ม .. โกสุมสี
ปีกล้อลมรำเพย .. อันเคยมี
จำปลีกลี้ฝุ่นฝนสีหม่นเทา
O ไหนเล่าดวงจำรูญ .. ในพู้นที่-
พร้อมรังสีเปลวแดด .. เคยแผดเผา
ฤๅ-บัดนี้ลับล่มใต้ร่มเงา-
ของเงียบเหงาเมฆทึมอันครึ้มมัว
O มืดอับพยับฝน .. เมฆหม่นแต้ม
ราวจะแย้มยั่วทาให้ฟ้าหลัว
งามรูปแพงทองเอย .. ฤๅเคยกลัว-
ความสั่นเร้าเร่งรัวของหัวใจ
O มืดอับพยับฝน .. เมฆหม่น-แกม
กลับแต่งแต้มรอบระยับขึ้นขับไข
ร้อยรวมความมั่นหมายจากภายใน-
ด้วยสายใยอาวรณ์ .. แสนอ่อนโยน
O พาตรู่เช้าลอยล่อง .. ละอองทิพ
ความ-คำแผ่วกระซิบ .. สู่ลิบโพ้น
อบอุ่นแห่งความหมาย .. ค่อยถ่ายโอน-
เข้าหักโค่นเปลี่ยวเหงาแห่งเช้าวัน
O ฝุ่นฝนสีหม่นเทา .. แห่งเช้ายาม
จึงเติมเต็มงดงาม .. เชื่อมความฝัน
ปีกผีเสื้อโบกบินกลางถิ่นพรรณ
ค่อยโบกขวัญฝากไว้ .. ที่ในทรวง
O หยาดน้ำฟ้า .. หยดย้อยเป็นสร้อยสาย
พร้อมความหมายในคน .. นั้นหล่นร่วง
แววนัยน์ตาวาบหวัง, ใจทั้งดวง-
ก็ผ่านช่วงหม่นเทา .. แห่งเช้าวัน
O หยาดน้ำค่อยสิ้นหยด, เหลือบทบาท-
พิสวาดิรายล้อมเข้ากล่อมขวัญ
ความนัยรู้รับรอง .. เมื่อพ้องกัน
ย่อมซาบซึ้งผูกพัน .. นิรันดร
O สิ้นหยดน้ำร่วงหยาด, สองชาติผู้-
ร่วมตอบรับนัยชู้ .. เกินรู้ถอน
แรงถวิลเสน่หา, รอบอาวรณ์-
ก็แทรกตอนจำนง .. เข้าบงการ
O ร้างหยดและไร้หยาด, ฝนขาดช่วง-
หากความหวง-ห่วงใย .. ยิ่งไพศาล
ลมเอย..ฝากเย็นรื่นของชื่นบาน
ห่มดวงมานผู้ถวิล .. อย่าสิ้นเลย
O ร้างหยดจนไร้หยาด .. ฝนขาดเม็ด
เหลือรุ้งเพชรรูปพลอยที่ค่อยเผย-
รอวันทอดทอสิทธิ์ลงชิดเชย
และสายลมรำเพยมาแผ่วพาน
O เพื่อจะไหวบทกระเพื่อมเป็นเหลื่อมรับ
ไว้ประดับธรณินทั่วถิ่นฐาน
เช่นแววตาจบจูบด้วยรูปคราญ
สั่นสะท้านสะเทือนทั่วทั้งหัวใจ -
O – ที่จักไหวส่ายรัว .. เพียงชั่วยาม-
ที่รูปนามรูปนั้น .. คอยสั่นไหว-
ยั่วหยอกความแหนหวง .. ความห่วงใย
เพรียกอาลัยวาดหวังอยู่ทั้งเป็น
O สิ้นแล้วหรือ .. ฝุ่นฝนสีหม่นเทา
เลื่อนรูปเงาพาโลกพ้นโศกเข็ญ
หรือ-เพียงรอถมเทียบความเยียบเย็น-
เข้าบีบเค้นอาลัย .. แห่งใจนี้
O ไร้ปีกผีเสื้อบางสะบัดโบก-
กลางแหล่งโลก-บินบ่ายอวดลายสี
ปีกเล่นลมรำเพยอันเคยมี
ราวปลีกลี้ลับสิ้นจากดินแดน
O เหลือแต่ปีกอาวรณ์เวียนว่อนอยู่
ด้วยแรงชู้ในทรวง, ด้วยหวงแหน-
รูปนามอันปรากฎเข้าทดแทน-
ติดตรึงแน่นในอก .. เกินยกแล้ว !



ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
29 มิถุนายน 2014, 07:19:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #12 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2014, 07:19:AM »
ชุมชนชุมชน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=06-2014&date=28&group=11&gblog=556

.
.

O คำข้าว .. และใจคน .. O






O คำข้าวเจ้าคดน้อม - - - นำลง-
สู่บาตรเกื้อกูลสงฆ์ - - - สืบไว้-
รับบทบาทธำรง - - - ปวงหลัก ธรรมแฮ
กล่อมโลกเหนี่ยวรั้งให้ - - - ห่างไข้โศกเข็ญ ฯ

O วงพักตร์เมื่อน้อมสู่..ท่านผู้ขอ
นวลลออ..ผุดผ่องก็มองเห็น
อิริยาจับเลือก..เจ้า-เยือกเย็น
ล้อแววตาตอบเต้น..ไม่เว้นยาม
O มาทำบุญตักบาตรหนุนชาติภพ-
กลับบรรจบโลกสภาพจนวาบหวาม
จักฝ่าฝืนโลมลูบด้วยรูปนาม-
รูปกลับตามติดตาไม่ล้าเลย
O อิริยาจับช้อน ก็อ่อนช้อย
ชั่วแววตาเหลือบชม้อย..จึงค่อยเผย-
ความอ่อนโยนลึกล้ำ..ดั่งรำเพย-
ของลม-เย้ยยั่วชายให้หมายชม
O บัดนั้น..คือช่วงงามคุกคามโลก
กลบสร้อยโศกเบื้องหลังเคยสั่งสม-
จดวงรอบปรารถนาสู่อารมณ์
แฝงสายลมโชยอ่อนพัดย้อนไป
O คำข้าว..ช่อดอกไม้..ถวายพระ
ตอบภาวะศรัทธาที่อาศัย
แต่ละคำข้าวคด..กำหนดใจ-
ลดละให้อัตตานั้นล้าตัว
O คำข้าว..ช่อดอกไม้..ถวายพร้อม-
ความนอบน้อมนิ่มนวล..ออกยวนยั่ว-
ให้แววตาเหลือบเห็น - แล้วเต้นรัว-
สั่นทั้งหัวใจผู้..รับรู้งาม
O แขนเรียวรูปหยิบจับสำรับส่ง-
ให้หมู่สงฆ์ตามแถว, เมื่อแววหวาม-
ในอีกดวงตาพิศ..คอยติดตาม-
เหมือนสุดห้ามหักจิตเอาปลิดปลง
O ผมรวบเกล้า พรรณลออ..อยู่ล้อตา
เผยรูปรอยคุณค่า..ต่อหน้าสงฆ์
ใจนอบน้อม..คำขอ..และช่อบง-
กชงามสี, รูปทรง..สืบวงกรรม
O เหมือนรูปองค์ จบจิต..สัมฤทธิ์รู้-
ความนัยผู้ปรารมภ์ผ่านลมร่ำ
สบชำเลืองเหลือบชม้อย..เหมือนพลอย - บำ-
รุงใจคร่ำครวญชู้..ที่อยู่คอย
O มาบรรจบงดงาม ในยามเช้า
จนเปลี่ยวเหงาถึงบทต้องถดถอย-
ให้จันทร์ล่มลับดวงจนล่วงรอย
เหลือล่องลอยโชนช่วงเพียงดวงเดียว
O เช่นรูปกลางแววตา..เพ-ลานี้
เปล่งราศีผุดผ่องให้มองเหลียว
ละม่อมพักตร์ทั่วแดน, สองแขนเรียว-
ฤๅเปรียบเสี้ยวส่วนองค์..หน้าองค์พระ ?
O โอ งาม..ราวจะตามมาหยามเย้ย
ด้วยรูปเผยรออยู่..ไม่รู้ผละ
แววซ่อนยิ้มในตา - หรือภาวะ-
ตอบฉันทะนัยชู้..อย่างรู้เชิง ?
O โอ งาม..ราวบีบคั้นด้วยทัณฑ์โทษ-
พาหัวใจปราโมทย์..พลอยโลดเหลิง-
ไปกับยิ้มในตา, แววร่าเริง-
ในฝันเวิ้งว้างตอน..ก็ - ย้อนคืน
O ทิวแถวท่านผู้ขอ..ร่ำรออยู่-
เหมือนรอกู้กลับใจ..ช่วยให้ขืน-
ขัดอำนาจลึกล้ำ, ยอมกล้ำกลืน-
ข่มความรื่นรมย์ชู้..ให้รู้เกรง
O คงจะสายเกินการณ์ แล้วท่านเอ๋ย
เมื่อรูปเผยปรารมภ์..เข้าข่มเหง
ดูเถิดตาตอบตื่นแสนครื้นเครง-
เหมือน-คอยเร่งรอบชู้..ไม่รู้วาง
O คงจะสายเกินการณ์ แล้วท่านเอ๋ย
เมื่อตาเอ่ยเอื้อนความ..ออกตามขวาง-
ขับความเงียบเปล่าเปลี่ยวในเที่ยวทาง
ข่มความอ้างว้างเหงา..เมื่อเช้าวัน
O รูปแห่งธรรมเลือนบทไปหมดแล้ว
เหลือผ่องแผ้วรูปละม่อม..รายล้อมขวัญ
คงรูปรอ..ปักปลูกความผูกพัน
เพื่อร่วมบันทึกส่วนคร่ำครวญคอย
O เสียงธรรมเคยก้องอยู่ไม่รู้แล้ว
เพียงชั่วยามเคยแว่ว..เหลือแผ่วค่อย
โอ งาม..ราวจะแกล้งเข้าแฝงรอย-
จนสุดใจเคลื่อนคล้อย...จากรอยงาม !

O คำข้าวเจ้าคดน้อม - - - นำวาง
กำหนดจิตขีดทาง - - - ย่างเท้า
คำพระยกธรรมขวาง - - - ฝากคิด
กำหนดกรรมกล่อมเช้า - - - หากช้าเกินการณ์ !


ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
06 กรกฎาคม 2014, 09:39:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #13 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2014, 09:39:AM »
ชุมชนชุมชน


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2014&date=06&group=11&gblog=557



O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O







O แม้นวันเดือนปีคล้อย .. ยังคอยอยู่
คอยให้รู้ว่าใจนั้นใฝ่ถึง
กี่ครั้ง-ฝากลมร่ำ .. หนอ-รำพึง
เพื่อส่งความซาบซึ้ง .. มาถึงกัน
O เผยแล้วหรืออาวรณ์ .. เจ้าอ่อนน้อย
กับรอคอย-อุ่นอ้อมอก-กล่อมขวัญ
รู้หรือไม่จากนี้ .. ยากมีวัน-
หลับในฝันเปล่าเปลี่ยวอย่างเดียวดาย
O โอ-แววตาคู่ไหน .. หนอไหวสั่น-
ด้วยผูกพันอาวรณ์เกินซ่อนหาย
ร่องรอยเคยเก็บงำ .. เต้น-รำบาย-
ความมุ่งหมายเร้ารัวจากหัวใจ
O วาบหวามความอาลัยอยู่ในทรวง
ด้วยเงื่อนบ่วงอาวรณ์เกินถอนไหว
ถวิลคอยละห้อยเห็น .. ล้วนเป็นไป-
ตามวงรอบอาลัย .. ที่ไหวตัว
O รับรู้รอบอาวรณ์เจ้าอ่อนน้อย
เผยรูปรอยผ่านออก .. รับหยอกยั่ว
โหมแกว่งรอบหัวใจจนไหว .. รัว
ล่มม่านมัวในตาให้ล้าเลือน
O สื่อ-รับรู้ .. อาลัย .. จากใจนั้น
ราวภาพฝันรำบายลงป่ายเปื้อน-
รูปงดงามในนิมิต .. จนติดเตือน
เกินหัวใจอาจบิดเบือนให้เคลื่อนคล้อย
O รับรู้ความเงียบงันแห่งวันวาน
เลื่อนพ้นผ่านรูปเยาว์อย่างเหงาหงอย
ลมอบอุ่นผ่านล้อ, การรอคอย-
ผ่านชั่วยามแต่ละห้อย .. ด้วยน้อยใจ
O เอ็นดูนัก .. อาวรณ์เจ้าอ่อนน้อย
แฝงร่องรอยซ่อนอยู่เกินรู้ได้
ดูเถิด .. เสน่หาความอาลัย-
เพียงสั่นไหวเร้ารัว .. กับตัวเอง
O โอ หนอ .. เหมือนคนบาปใจหยาบช้า
ที่เหมือนตาบอด-ปิด .. ไม่พิศเพ่ง
ไม่แว่วเสียงไหวดัง-กลางวังเวง
เสียงแกว่งเร่งเร้ารัว-บางหัวใจ
O โอ หนอ .. ใจดวงน้อยต้องพลอยระส่ำ
กับความคำอ่อนหวาน .. เกินต้านไหว
เมื่อแต่คอยคิดตามเนื้อความใคร-
ล้ออาลัย .. แหนหวงผ่านช่วงวัน
O โอ หนอ .. ใจดวงน้อยต้องคอยเฝ้า-
ความ, รุมเร้ารายล้อมคอยกล่อมขวัญ
ด้วยอารมณ์สมยอมจะยอมกัน-
ความเงียบเหงาทั้งนั้น .. ให้ผันตัว
O รับรู้เถิดอ่อนน้อย .. ทุกรอยคำ
เฝ้าคอยย้ำความบอก .. เข้าหยอกหัว
เพื่อล่มล้างสับสน-แววหม่นมัว-
เคยทอดตัวในตา .. ให้ล้ารอย
O กว่าจะเผยความนัย..ออกให้รู้
ก็นานอยู่เกินงาม .. ทุกความถ้อย
กว่าจะเผยรอบชู้ .. ว่าอยู่คอย
ก็แทบลอยหลุดมือเกินยื้อครอง
O เห็นไหมว่าซ่อนเร้นอยู่เช่นนั้น
ย่อมบีบคั้นใจคนให้หม่นหมอง
รู้ไหมว่ารูปประทับที่จับจอง-
อยู่ทั้งสองแววตา .. คือ - หน้าใคร ?
O งดงามแววรำร่าย .. ในสายตา
เห็นเพียงว่าหวานระยับ .. นั้นขับไข-
สื่อส่งผ่านแรงชู้ต่อผู้ใด
เพื่อเก็บไว้กักกุม .. ลงสุมทรวง ..!

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
11 กรกฎาคม 2014, 11:03:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #14 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2014, 11:03:PM »
ชุมชนชุมชน


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2006&date=06&group=1&gblog=41



๐ นางครวญ ๐






พศ.๒๓๑๐
ยามสิ้นสุด..ราชวงศ์บ้านพลูหลวง


๑๔
๑. อาดูระพูนอยุธยา
ขณะวาระวอดวาย
ทวยรัฐและขัตติยะมลาย
ทุขะสายก็บรรสาร


๒. โอ้..เมืองแก้วเมืองฟ้าถึงคราล่ม
บัลลังก์จมมอดไหม้ด้วยไฟผลาญ
ปราสาทยอดใหญ่โตสูงโอฬาร
ถูกพลม่านเหนี่ยวรั้งเผาพังยับ

๓. ท่ามกลิ่นคลุ้งคาวเลือดจากเชือดหลั่ง
คือสุดรั้งกายทอดลงมอดดับ
หลังพลุ่งเพลิงโหมซ้ำเกินรำงับ
คือชีพสรรพทอดเถ้า…สิ้นเงาไท

๔. โอ้…ว่ารอยโศกเศร้าในเงาเนตร
จากสุดเขตศักดินาเคยอาศัย
กระบวนทัศน์ศรัทธาล้วนปราชัย
เหลืออาลัยเรื่องหลังที่ยังคง

๕. ต้องจำพรากจากถิ่นมาสิ้นศักดิ์
ละห้อยหักอาดูรประยูรหงส์
พลัดเวียงวังร้างหมู่มาอยู่ดง
กับอีกผู้ซื่อตรงมั่นคงนั้น

๖. คือหนึ่งแกล้วผู้กล้ายังปรากฏ
ข่มกำสรดเพื่อใครสิ้นไหวหวั่น
เป็นปราการผ่อนค่ารอยจาบัลย์
ร่วมปกป้องคุ้มกันตราบบรรลัย

๗. พระพายเฉื่อย..เริ่มโหมเข้าโลมโลก
ดังโบยโบกศรัทธาให้อาศัย
หวังนิทราย้อนย้ำความอำไพ
สัมผัสใจเยียวยาทุกอารมณ์

๘. พระเขนยเคยหนุน...เป็นดุ้นพฤกษ์
แกล้วก็นึกกล้ำกลืนกับขื่นขม
โอ้..ดอกฟ้าร่วงผล็อยลิ่วลอยลม
ความขืนข่ม..ฤๅจะกลบให้ลบเลือน

๙. หัวอกเอ๋ย..เคยหนักด้วยศักดิ์ราช
ต้องบำราศรูปรอยมาคล้อยเคลื่อน
เคยสูงส่งสุกสกาวดุจดาวเดือน
กลับแล่นเลื่อนลอยล่างลงข้างกาย

๑๐. ทูลกระหม่อม..เคยห่มล้วนรมย์รื่น
แต่เนตรตื่นชื่นฤทัยอยู่ไม่หาย
นางกำนัลหมอบเมียงเฝ้าเรียงราย
กลับเดียวดายเงียบเหงา...ใต้เงาจันทร์

๑๑. จักเค้นชีพบีบชาติมาลาดรับ
เพื่อสำหรับนอบน้อม...ใจหม่อมฉัน
จักรองภาษพจนีย์ด้วยชีวัน
ทอนโศกศัลย์ห่างเหพระเทพินทร์

๑๒. กระท่อมทับเปรียบว่าเช่นปราสาท
เรไรดั่งพิณพาทย์ระนาดศิลป์
ครวญขับกล่อมห้อมให้หนึ่งใครยิน
ประโลมถิ่นห้วงฤดีดั่งมีมา

๑๓. โกสุมกลีบดอกก้านประสานประดุจ
เช่นมงกุฏแห่งนาฏพิลาสสถา-
นะภาพในศักดิ์สกุลผู้บุญญา
แทนรูปทรงสูงค่ากลางป่าไพร

๑๔. โสมกลางสรวงแทนดวงอัจกลับ
ทอดแสงโลมที่ประทับผู้หลับใหล
แผ่วลมผ่าวผ่านฤดีผู้มีใจ
กระซิบให้สุจริตสัมฤทธิ์รู้

๑๕. บรรจถรณ์หมอนม่านย่อมลาญลับ
เยียรบับแพรผืนยากคืนสู่
อุบะกรองหอมร่ำสิ้นดำรู
ที่ยังอยู่เคียงใจ...ย่อมใจคน

๑๖. อัสสาสะในครานิทราสนิท
พาดวงจิตเรื่อยเร่กลางเวหน
หมายลับล่วงเรื่องหลังสิ้นกังวล
วางชีพชนม์เคียงแกล้วผู้แววไว

๑๗. สิ้นสุดแล้วไอศูรย์จำรูญรัศมิ์
สิ้นจำรัสบริบทเคยสดใส
สิ้นประยูรวงศ์นาถบำราศไกล
สิ้นจากไร้รอยบุญเคยหนุนนำ

๑๘. อุษาสาง...พลางถวิลถึงปิ่นเกล้า
เคยแหนเฝ้ากลับผวนเป็นครวญคร่ำ
คง..อำนาจกฎเกณฑ์ของเวรกรรม
มาช่วยย้ำช่วยยุดจนสุดรอย

๑๙. ปานฉะนี้ปิตุราชมาตุเรศ
จะเทวษกำสรดใจถดถอย
จักลำบากทดท้อท่ามรอคอย
หรือละห้อยถึงบุตรก็สุดเดา

๒๐. สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญสิ้นคุณค่า
แต่นองหน้าหยาดรอยล้วนสร้อยเศร้า
เพียงหนึ่งผู้คู่เข็ญยังเห็นเงา
ช่วยบรรเทาทดท้อให้พอทน

๒๑. แต่เหลือบเหลียวลืมเนตรสบเลศหนึ่ง
แววซาบซึ้งถนอมรับสิ้นสับสน
อุ่นหทัยเคียงข้างใครบางคน
พาอึงอลขวยเขินสะเทิ้นอาย

๒๒. แม้นอยู่สองต่อสองในห้องเก่า
ยังลงเข่ากราบก้มประนมถวาย
คงสำรวมใจอยู่...ใจผู้ชาย
ว่าอย่าหมาย..สูงส่ง..เกินวงศ์ตน

๒๓. เอื้อมหัตถ์เนียนจับกรที่ซ่อนอยู่
ย้อนนัยสู่รำงับความสับสน
ว่าสิ้นแล้วช่วงต่างระหว่างคน
สร้อยกุณฑลจะพาดสายบนกายนี้

๒๔. แล้วเลื่อนองค์ทรงร่างอยู่กลางอก
แกล้วก็ปกกรป้องตระกองศรี
สะท้านด้วยแววตาและท่าที
อ้อมอารีก็โอบอุ้มเข้าหุ้มเนื้อ

๒๕. วิเวกแว่วลมไหวยอดไม้แกว่ง
แม้นโศกแห่งเบื้องหลังจะยังเหลือ
หากอาวรณ์อบอุ่นได้จุนเจือ
สองใจเอื้อปลิดสร้อยกลบรอยกรรม

๒๖. อธิษฐานผ่านวาสน์ให้พาดช่วง
ทุกภพล่วงพบเจอให้เพ้อพร่ำ
ใจทั้งดวงรอคอยทุกรอยคำ
จนเนื่องนำน้อมสู่เป็นคู่เคียง

๒๗. ใจต่อใจดังว่าร่วมสาธก
ท่ามเหล่านกเขาไพรที่ให้เสียง
พระพายเอื่อยคนแนบแก้มแอบเอียง
เสนาะเพียงสองใจเต้นไหวรับ

๒๘. กรุ่นมาลีไหนเห็นจะเช่นหอม
ดั่งใจหลอมลึกล้ำเป็นลำดับ
วงแขนแกร่งโอบย้ำดั่งกำชับ
ว่าแม้นยับชีพวายไม่คลายคลอน

๒๙. แรงสุดถิ่นดินฟ้ามหาสมุทร
ฤๅอาจฉุดจิตชายให้ถ่ายถอน
ลึกล้ำห้วงน้ำสวรรค์สีทันดร
ฤๅเทียบตอนลึกล้ำแห่งจำนง

๓๐. ถ้วนถิ่นแถนแมนสรรพ..โปรดรับรู้
จักเชิดชูอยู่ข้างด้วยนางหงส์
ตราบสุดช่วงชีวิตถึงปลิดปลง
จะยังคงรอกัน...นิรันดร.

งานที่เขียนไว้เมื่อ 9 ปีที่แล้ว
ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
12 กรกฎาคม 2014, 09:10:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #15 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2014, 09:10:PM »
ชุมชนชุมชน


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=02-2012&date=26&group=11&gblog=379

O หอมดอกแก้ว .. O



งามเอยดวงนิลเนตร..กับเลศซ่อน - - - ที่จะวาบความวอน..ด้วยอ่อนไหว
เมื่อผ่านแววโชนเชื้อ, จะเหลือใด - - - ป้องอกใจ..ล่วงพ้นจากพันธนา ?



1 ..
O ลมอบอุ่นผ่านล่อง, สูรย์ผ่องแผ้ว
เสียงหวีดแว่วเสียดรวง..ค่อยล่วงหาย
ดอกมาลย์ช้อยกลีบเชื้อ, ผีเสื้อลาย-
ก็บินบ่ายเข้าล้อม..กรุ่นหอมนั้น

O แก้วดอกขาวหอมอ่อนกำจรกลิ่น
ต้องลมรินโลมไล้..ก็ไหวสั่น
เกสรรูปหวานหอม..ก็พร้อมปัน-
หวานหอมนั้นพร่างพรม..กลางลมโรย

O อ่อยเอื่อยสายลมไล้ลูบใบหญ้า
ดั่งแววตาสบแล้ว-ใจแผ่ว..โหย
หอมรูปนาม, ละห้อยหา..ก็ปร่าโปรย-
อยู่ในสายลมโชย..แห่งรุ่งเช้า

O อบอุ่นกลางลมอุสุม, ที่รุมอยู่-
คือแววชู้ทอดทับความอับเฉา
พาคำนึงโลมลูบแต่รูปเงา-
ของวัยเยาว์ซ่อนยิ้ม..ผูก-พิมพ์ใจ

O เอิบอิ่มแก้มเนียนเนื้อ..ช่างเหลือรู้-
แฝงเร้นความเอ็นดู..ซ่อนอยู่ไหว
เกรงร่องรอยปรารถนาแรงอาลัย-
จะขับไขเผยค่าเต็มตาแล้ว

O คลื่นลมอุ่นอ้อนฟ้า..ผ่านป่าฝน
ริ้วลมวนเวียนโชย..แม้นโผยแผ่ว-
หาก-เรียวหญ้ายังค้อมยอดพร้อม-แวว-
วาบสั่นแสนผ่องแผ้ว..ทั้งแววตา !

O คลื่นอาวรณ์พลันช่วง..ในห้วงคะนึง
ด้วยงามซึ้งหวานพร้อม..ละม่อมหน้า
ฟ้าบนมีดวงวัน, ในสัญญา-
ก็เพียบพร้อมคุณค่าให้ปรารมภ์

O งดงามกลางดอกดวงลดามาศ
เมื่อโอภาสปลาบปลั่งค่อยสั่งสม
คุณค่าเฝ้าเปรียบเปรยรอเชยชม-
ก็แฝงริ้วสายลมห้อมห่มใจ

O จึง-ฤดูลมล่อง..นกท่องฟ้า
มีแววตาคู่นั้น..คอยสั่นไหว-
แฝงฝากความออดอ้อน..แอบซ่อนนัย-
ความอาลัยยามชม้าย..ที่คล้ายเมิน

O แม้-ลมอุ่นอบอ้าว..ในคราวนี้
แววตาที่บอกชัด.จะขัดเขิน
หากเมื่อลมผ่านระลอกคอยหยอกเอิน
ใครนั่นย่อมสั่นสะเทิ้นทั้งแววตา

O อบร่ำริ้วลมร้อน..กำจรผ่าน
ถ้วนปวงความอ่อนหวานก็ปานว่า-
โหมรอบลงล้อมขวัญ..แล้วบัญชา-
เร่งเร้าอาวรณ์ชู้..ให้อยู่เคียง

O แก้วดอกขาวหอมอ่อนกำจรกลิ่น
เมื่อถวิลอาลัย..นั้นให้เสียง
ว่า-ถ้วนปวงความถ้อยร่ำร้อย, เพียง-
เผยความเรียงตอกย้ำ..ด้วยคำเดิม

2 ..
O มีเจ้า..ยอดเยาวพา
ราวฝั่งฟ้าเบิกบุญลงหนุนเสริม
ทิพรูปในภวังค์แต่ดั้งเดิม-
ราวแต่งเติมแรงถวิลแนบวิญญาณ

O พารื่นรมย์ลุกลามไปสามโลก
ทอนสร้อยโศกเงียบเหงาเคยเผาผลาญ
ถ้วนปวงมธุรสทั้งพจมาน
ก็บรรสารสุมสั่งไม่รั้งรอ

O จะจำหลักลงทรวง-ความห่วงหา
เพื่อคุณค่างามเลิศ..เมื่อเกิดก่อ-
จักผูกชาติหวงแหน-จนแน่นพอ-
ตราบโลกย่อเที่ยวทาง..ให้ย่างเท้า

O เพียงเจ้า..เท่านั้นเจ้าขวัญน้อย
ที่ดวงใจนี้ละห้อย..และคอย-เฝ้า
ทิพรูปเจ้าเอย..แต่เผยเงา
ก็รุมเร้าใจอยู่..เกินรู้ล้าง

O ฤๅ-พรแถนแมนสรวง..ทุกช่วงชั้น
พาร่ำรสรำพัน..ไม่กั้นขวาง
เพรงบุญในกาลอดีต..ฤๅขีดทาง
พาชดช้อยก้าวย่างลงกลางใจ

O ทิพรูปในภวังค์ก็หยั่งร่าง-
ในช่วงกลางอาวรณ์และอ่อนไหว
เดือนดาวที่กลางสรวง..ฤๅดวงใด-
อาจบรรเจิดแจ่มได้..เท่านัยน์ตา ?

O แต่นี้-เวียนเกิดดับกี่กัปกัลป์
ขอยกขวัญยอบุญเทียบคุณค่า
สบรูปเมื่อใดนั้น..จงบัญชา-
ให้จมห้วงเสน่หา..จนกว่าวาย !

O แต่นี้-เวียนเกิดดับกี่กัปกัลป์
ขอผูกพันเพียงเจ้า..เป็นเป้าหมาย
ยึดครองเถิด, อย่างไรทั้งใจกาย-
นี้-คงสายเกินการณ์..จะต้านแล้ว !


ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
13 กรกฎาคม 2014, 06:37:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #16 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2014, 06:37:PM »
ชุมชนชุมชน




http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=01-2013&date=06&group=5&gblog=42



O หอมกลิ่นบุปผชาติ .. O





O พากย์กรองหมายกล่อมให้ - - - ห่วง, ถวิล
คอยรสความหลั่งริน - - - รัดล้อม
เพื่อโลกแวดล้อมภิน - - - ทนาล่ม สิ้นเฮย
เพียงพี่เหลืออยู่พร้อม - - - รักพ้นพรรณนา ฯ

O เจ้าเอย-ความออดอ้อน - - - อวลนัย
แต่เมื่อความอ่อนไหว - - - แว่ว-รู้
จนโลกแตกดับไป - - - เป็นอื่น
หวัง-จิตวิญญาณชู้ - - - อย่ารู้เลือนสลาย ฯ

O พิมพ์ดวงเจ้าอ่อนด้อย - - - เดียงสา
ตื่น, รับรู้รมยา - - - ยั่วเย้า
ทุกข์โลกถูกล่มคา - - - แขขับ แสงแล
เสียงคีต, เสียงวอนเว้า - - - แว่ว-สะท้านสะท้อนเสียง ฯ

O อาวรณ์ไหวหวั่นชู้ - - - เชยขวัญ
เหยียบโลกยอสรวงสวรรค์ - - - หล่นล้อม
คีตครวญแผ่ว, แว่วบรร- - - - ลุโสต
ครวญแผ่วนั้น-แผ่วพร้อม - - - ผัสสะสร้อยเดียงสา ฯ

O เสียงเอยเสียงโอดอื้น - - - เอาทาร
เพรียกสิทธิ์รสกุสุมาลย์ - - - มอบให้-
ทรงสิทธิ์ครอบวิญญาณ - - - ให้สยบ ยอมเฮย
สืบโลกทุกโลกไว้ - - - ยากเว้นวางถวิล ฯ

O รูปองค์, ความออดอ้อน - - - อวลสมัย
แววตื่นตอบอ่อนไหว - - - วาบเต้น
เกสรารูปแฝงใบ - - - หอมกรุ่น นั้นนา
ผึ้งภู่อาจ-ละเว้น - - - ยากเว้น .. คือเรียม ฯ

O เรณูหอมรื่นล้อ - - - ริ้วลม
หอมกว่า, เมื่อปรารมภ์ - - - รูปเจ้า
ภู่ผึ้งตฤปหวาน, จม - - - จ่อมอยู่
หวานกว่า, ความวอนเว้า - - - กระซิบไว้ประโลมหวัง ฯ

O ลมโรยคันธะรสแต้ม - - - ติดทรวง
แล้ว-ย่อมเพียงสุดาดวง - - - เด่นหน้า
ตรึงรูปติดใจหวง - - - หาอยู่
ช่วย-ดับดาวทั่วฟ้า - - - ร่วมฟื้นแรงฝัน ฯ

O ศัพท์เสียงกระซิบเนื้อ - - - นัยความ
นั้น-เปิดโลกคุกคาม - - - บีบเค้น
เหนี่ยวใจจดจ่องาม - - - เงียบอยู่
วามทั่วแววตอบเต้น - - - อาจเร้นซ่อนหรือ ฯ

O อบอวลคำเอ่ยอ้อน - - - ออดแสดง
แผ่วกระซิบความแฝง - - - ฝากชู้
เยี่ยงหวานสุมาลย์แจรง - - - จรดหยาด
ผึ้ง, ภู่, คน แต่รู้ - - - หลั่งน้ำใจสนอง ฯ

O ปีกบางหรุบปีกล้อม - - - ละอองหวาน
ตฤปรสกลางช่อมาลย์ - - - แมกไม้
อกอุ่น-อุ่นเนื้อคราญ - - - ครวญ-กล่อม
แตะรูปตฤปรสให้ - - - ห่วงละห้อยคอยหา ฯ

O ผาณิตเพรียกภู่น้อม - - - แนบพะนอ
เมื่ออีกงามประหนึ่งรอ - - - รับรู้
อุ่นเนื้ออุ่นนวลลออ - - - อิงแอบ
เผยรูปร่ำรอชู้ - - - ชิดเนื้อนวล .. ถนอม ฯ

O หอมกรุ่นกลีบดอกเชื้อ - - - เชิญภมร
แต่เมื่อเสียงเว้าวอน - - - แผ่ว-กระชั้น
แยกฤา-สุมาลย์, สมร - - - หอม-อุ่น
เสียง, อุ่น, หอม-ยามนั้น - - - ประณีตล้ำคำแถลง ฯ

O แล้วเล่าหลังตฤปรู้- - - รสสุคนธ์
เบิกบทความอลวน - - - ว่อนล้อม
แล้วเล่าจากอนุสน- - - - ธิรูป
เพรียกจิตวิญญาณพร้อม - - - ปลีกพ้นนิพพิทา ฯ

O แผ่วพลิ้วลมผ่านไล้ - - - โลมผกา
ระริกรูปปีกภุมรา - - - ร่อนล้อม
แผ่วเสียงออด, เพรียกนา - - - สิกรับ รสแม่
รับรสแห่งรูป, น้อม - - - แนบไว้รองถวิล ฯ

O ศัพท์เสียงกระซิบอ้อน - - - อบอวล
เหนี่ยวจิตวิญญาณครวญ - - - คร่ำชู้
เกสรรูปหอม, หวน - - - หาภู่ นั้นเนอ
ผาณิตมาลย์ย่อมรู้ - - - เหนี่ยวรั้งรอยภิรมย์ ฯ

O คันธรูปแย้มกลีบเชื้อ - - - เชิญภมร
ลมแผ่วลูบเกสร - - - สั่นพลิ้ว
ฉันทารูปเตรียบกร - - - กอดเกี่ยว
ซ่านแผ่วเป็นริ้วริ้ว - - - รูป, เนื้อ-รอถนอม ฯ

O กลีบช่อคันธรสช้อย - - - รอเชย
พลิ้วผ่านลมรำเพย - - - แผ่วฟุ้ง
เรียวรูปอ่อนเนื้อ, เกย - - - ก่ายอยู่
รอเหยียดก้าวเหยียบรุ้ง - - - รอบคุ้งขอบขันธ์ ฯ

O แอบ-อุ่นนวลอ่อนน้อย - - - นงพะงา
พิมพ์รูปรสตฤษณา - - - เหนี่ยวรั้ง-
ให้โลกล่มลับคา - - - เสียงคร่ำ ครวญเนอ
อย่างแผ่วเบาซ้ำครั้ง - - - ข่มละห้อยฤๅหาย ฯ

O หอมเอยกลางแห่งห้วง - - - เสน่หา
กลบรูปรสกุสุมา - - - มอดเชื้อ
อวลกลิ่นกล่อมถึงนา- - - - สิก-รูป
ให้รับรอง, โอบเอื้อ - - - อุ่นเนื้อนวลนิรันดร์
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
16 กรกฎาคม 2014, 08:16:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #17 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2014, 08:16:PM »
ชุมชนชุมชน




http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2014&date=18&group=11&gblog=548


O กลางฝุ่นฝน .. O






O โปรยปรายลงโสรจหล้า .. วรรษาสมัย-
โลมพุ่มใบกิ่งก้านดอกมาลย์หอม
ราวฝากรื่นรดริน .. ให้ยินยอม-
แยกกลีบพร้อมเกสร .. ออดอ้อนน้ำ
O เกลื่อนหยาดเม็ดเกล็ดแก้วเห็นแวววับ
ใต้ฟ้าหม่นมืดอับคลุมสรรพ .. ส่ำ
ลมแผ่วลูบโลมสุคนธ์กลางฝนพรำ
เมื่อใจคร่ำครวญชู้ .. ไม่รู้วาย
O แต่เมื่อพบ .. ผูกพัน .. เจ้าขวัญน้อย
จนเคลื่อนคล้อยลุกลามเป็นความหมาย
กอปรอาวรณ์แรงชู้ .. ไม่รู้วาย
เฝ้าแต่ว่ายเวียนอยู่ไม่รู้แล้ว
O งดงามความสัมพันธ์แห่งวันวาน
ราวพลิ้วผ่านห้อมห่ม .. ด้วย-ลมแผ่ว-
ที่ซ่านรสหอมรับ .. อยู่กับแวว-
ตาผ่องแผ้ว .. เมื่อชม้อยชม้ายเมิน
O กำดัดรูป, ผกากรอง, ละอองฝน-
ค่อยหลั่งหล่นส่ายซัด, ความขัดเขิน-
ก็ก่อรูปเหิมระลอกเข้าหยอกเอิน-
ความจำเริญเสน่หาแต่ครานั้น
O ดูเถิด .. ริ้วเลือดแต้มเนียนแก้มใส
พร้อมแววตาอาลัย .. วาบไหว .. สั่น
โดยอาการอ่อนไหวของใครกัน-
เฝ้าส่งมาล้อมขวัญ .. ล่ามพันธนา ?
O ชวาลวชิระเฟื้อย .. แสงเลื้อยแล่น
ก้องกาหลจากแถนถึงแผ่นหล้า
รอบถวิลแรงชู้ก็รู้วา-
ระโถมถาอารมณ์เกินข่มลง
O วาบวับแสงบนฟ้า, แววตานั่น-
ก็วาบสั่นเร้ารุมให้ลุ่มหลง
กลางลมแผ่ว .. ฝนพรำ .. คล้ายจำนง-
ลอบเร้นบ่งบอกนัย .. ออกให้รู้
O ระยิบเอยดาวพร่าง .. ยามร้างฝน
บัดนี้หล่นลับรอย .. ให้คอยอยู่
สบ .. สองดาวแฝงเร้น-ก็เอ็นดู-
แววหวงชู้อ่อนไหวที่ในดวง
O ดูรา .. แรงโอภาสบำราศสิ้น
เหลือเพียงน้ำหยาดรินจากถิ่นสรวง
ฤๅ-นี่คือรอยคำ .. เคยบำบวง
เติมแรงชู้โชนช่วงกลางห้วงใจ ?
O กระนั้นแล้ว .. คงสมปรารมภ์ก่อน-
ตามคำบวงสรวงอ้อน .. เคยวอนไหว้
จึงผ่านรูปปรารถนา .. ล้อมอาลัย-
ดักขวางไว้ท่ามกลางเส้นทางจร
O ก่อนคงเคยตั้งจิตอธิษฐาน
แต่เมื่อกาลลาลับ .. รูปอัปสร
ทุกวงรอบชาติภพ .. ขอสบอร-
ร่วมอาวรณ์เสน่หา .. ทุกคราครั้ง
O จึงวันนี้ .. ละห้อยเห็นไม่เว้นว่าง
อยู่ท่ามกลางคลื่นฝน .. ที่ .. หล่น .. หลั่ง
ฤๅนี่คือแรงถวิล .. ก่อนภินท์พัง-
รูปกายฝังฝากชาติ .. บำราศนวล
O น้ำหล่นเม็ดกลางพลบ, เสียงกบร้อง-
ราวแซ่ซ้องฉ่ำชื่น .. เมื่อคืนหวน
พร้อมฝนโปรย, ลมร่ำ .. ความคร่ำครวญ-
หวัง .. แต่ล้วนโอบกล่อมในอ้อมตระกอง
O วาบวก-สายฟ้าตื่นล้อมคืนค่ำ
เมื่อลมร่ำสายโบก .. โลมโลกผอง
วาบวก-โดยหัวใจ .. รู้-ใฝ่ปอง
ก็แต่พร้องพร่ำชู้ .. ไม่รู้วัน
O โดยภาพและโดยพจน์ .. ก่อบทบาท-
เป็นภพชาติรายล้อม .. อยู่พร้อมนั่น
ก็เช่นบ่วงบาศก์ชู้ .. เกินรู้-กัน-
เมื่อล้อมพันผูกรัด .. อาจตัดฤๅ
O โอ .. สายใยล้อมช่วงเป็นบ่วงบาศก์
เงื่อนสวาทซ่อนปลาย .. อาจคลายหรือ ?
เหลือแต่รอรัดเหนี่ยวด้วยเรียวมือ-
ร่วมยุดยื้อกักล้อมด้วยอ้อมทรวง
O รูปนามเอย .. ควรคิดรับผิดชอบ-
โอนใจมอบ, ตอบแทน-ความแหนหวง
เผยอาวรณ์อาลัย .. ที่ในดวง-
ตาคู่ห่วงใยล้ำ .. แทนน้ำใจ
O ทุกคำนึงแนบขวัญ .. ในวันนี้
หวังเพียงแต่ตัวพี่ .. เจ้ามีให้
จะห่างรูปหวนร่างสู่ทางใด
อย่าร้างไร้ถวิลชู้แม้ครู่ยาม
O ป่านฉะนี้รูปน้อย .. อาจคอยอยู่-
ด้วยอาวรณ์แรงชู้เกินรู้ห้าม
บรรจถรณ์หมอนข้างแนบร่างงาม
หรือ .. ข่มข้ามเปล่าเปลี่ยวอย่างเดียวดาย ?
O ถวิล .. เสียงพร่ำพลอดอ้อนออดเจ้า
แผ่ว .. รุมเร้าลุกลาม .. สื่อ-ความหมาย
หวัง .. โอบรูปงามล้ำ .. ให้รำบาย-
เสียงลมหายใจนั้น .. ค่อย .. สั่นสะท้าน
O โปรยปรายลงโสรจหล้า .. วรรษาสมัย
ความอ่อนไหวใจคน .. ฤๅ-พ้นผ่าน ?
ลมแล่นริ้วโหมระลอก .. ดวงดอกมาลย์-
ก็ช้อยกลีบช่อบาน .. หอมซ่านแล้ว !
O ลมผ่านริ้วลูบฟ้า .. ฝนปร่าโปรย
แว่วก็เสียงแหบโหย .. อย่างโผยแผ่ว-
ผ่านให้โสต .. จักขุ .. โชนคุแวว-
ด้วยผ่องแผ้วพรรณา .. ตรงหน้านั้น
O ครืนครั่นวิชชุบน .. วาบ-วนวิ่ง
แววกลอกกลิ้งในตาก็พร่า .. สั่น
สิ้นหยาดฝนพรมพรำ .. สิ้นรำพัน
เหลือเพียงขวัญสั่นรัว .. ไปทั่วตน !

 
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
20 กรกฎาคม 2014, 06:18:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #18 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2014, 06:18:AM »
ชุมชนชุมชน



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2014&date=20&group=11&gblog=561



O บ่วงอาวรณ์ .. O





O กลิ่นดอกแก้ว .. หอมแล้วเจ้า
ปีบก็เร้ารุมกลิ่นแต่สิ้นสาง
ปีกแมงปอโบกเคลื่อนฝ่าเลือนลาง
เมื่อน้ำค้างระเหยหายกับสายลม
O จึง-มโนภาพร่างที่สร้างไว้
รูป, มาลย์, ไม้-ใจตื่น, กลิ่นรื่นฉม
บรรจบร่วมปรารถนา .. แรงอารมณ์
จน-สุดข่มขับล้างให้จางรอย
O แผ่ความหอมรุมเร้า .. ให้เช้าชื่น
แฝงลมรื่นเย็นเยียบ .. อย่างเงียบหงอย
เกสรฟุ้งฟายละอองปลิวล่องลอย-
เช่นใจ-คอยละห้อยอยู่ไม่รู้วาย
O จึง-แววตาวาบไหวอยู่ในยาม-
ค่อยเผยความอ่อนโยนออกโชนฉาย
เติมอบอุ่นลึกล้ำ .. ลงกล้ำกราย-
หัวใจชาย-ให้ถวิลแต่ดิ้นรน
O อ่อนหวาน .. อ่อนโยนมีในที่นั้น
วาบไหวสั่นตอกย้ำซ้ำซ้ำหน
โอ้ .. ว่าความอ่อนไหวของใจคน
ช่างมากล้นลึกล้ำ..เกินรำพัน
O ถวิลถึง..ก็วิตกสะทกสะท้อน
ฑิฆัมพรลิบไกล .. เฝ้าใฝ่ฝัน
หะหายกระต่ายน้อยเฝ้าคอยจันทร์
ด้วยว่ามันมิเจียมตัว .. แม้ชั่วยาม
O ที่ .. อาวรณ์อาลัยอยู่ในอก
ย่อมเวียนวกวนย่ำในคำถาม
อุปสรรคเพียงใด .. หนอใจงาม-
อาจข่มข้ามสู่ปลายที่หมายไว้
O ที่ .. อาลัยอาวรณ์สุมซ่อนอยู่
ย่อมรับรู้ขีดขั้นแห่งฝันใฝ่
แม้น-ความมี ความเป็น .. บีบเค้นใจ
ยัง-คงไหวสั่นเต้น .. อยู่เช่นเดิม
O แฝงเร้นฝากละอองฝัน .. สู่ม่านเมฆ
รุจิเรขรูปสล้างเอาสร้างเสริม
ประทิ่นมาลย์ .. ถ้วนแหล่งเอาแต่งเติม
ประจงเจิมเจตนัง .. ร่วมสั่งการ-
O เข้าเปลี่ยนฟ้าแปลงฝัน .. ของวันใหม่
บันดาลให้วัฏฏะวงแห่งสงสาร-
เข้าแตะตื่นละห้อยหวง .. บางดวงมาน-
จนค่อยซ่านซึ้งฤทธิ์ .. สุดบิดเบือน
O จง .. มโนภาพร่างที่สร้างสม
ร่วมปรารมภ์รอบชู้-แล้วรู้เคลื่อน-
คล้อยบรรจบ .. รสสุมาลย์ที่ผ่านเยือน-
เอาหวานเปื้อนปนหอม .. รอน้อมรับ
O จง .. มโนภาพร่างที่สร้างเสริม
พึงต่อเติมอาวรณ์คืนย้อนกลับ
ทุก-ปากตาแย้มยิ้มหรือพริ้มพรับ
นั้น-สำหรับ .. มอบ-หมาย .. เพื่อชายเดียว !



ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 กรกฎาคม 2014, 09:04:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #19 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2014, 09:04:PM »
ชุมชนชุมชน


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2013&date=18&group=11&gblog=444


O พี่รักเจ้า .. O








O แต่รับรู้งดงาม .. รูปนามนี้
ก็สุดใจจะอาจลี้ .. หรือหนีหาย
พร้อมแววตาหยอกเอิน, แววเขินอาย-
ก็ลอบชายชม้ายสบ .. เฝ้าหลบเมิน
O จริตรูปนารี .. ราศีเมษ
แต่ต้องเลศปฏิพัทธ์แล้วขัดเขิน
ย่อมเพรียกหอมหวานล้ำ .. ให้จำเริญ-
เข้าก้ำเกินอารมณ์ .. ให้สมยอม
O ลมยามเช้าห้อมเห่ช่อเกสรา
เพรียกคันธารสสุมาลย์อันหวานหอม-
อวลกลิ่นรุมภุมรินให้บินดอม
เพื่อจมจ่อมหวานรสเป็นบทเดียว
O แต่แววตาสบรูป-ที่วูบหล่น-
คือ ..ใจ-อลเวง, ตา-ละล้าเหลียว
สายใยอย่างแฝงเร้น .. ฟั่นเป็นเกลียว-
ล้อมรัดใจทุกเสี้ยว .. แล้ว-เหนี่ยวดึง !
O โอ .. งามที่คุกคามทั้งสามโลก
หรือ-เพื่อโยกคลอนจิต .. ให้คิดถึง
แล้วจรด .. รูปจริต .. ให้ติดตรึง-
ด้วยหวานซึ้ง .. คะนึงหา .. เกินกว่า-ล้าง ?
O จริตรูป .. ละม่อมลักษณ์จำหลักแล้ว
งาม, ผ่องแผ้ว-โลมโลก .. จนโศก-สร่าง
เพรียกอาลัยอาวรณ์ ให้ย้อนทาง-
ร่วมสืบสร้างงามล้ำ .. ให้ดำรง
O โอ .. รูปจริตอ่อนน้อย .. เหมือนคอยชี้-
บอกท่วงทีแห่งยูงอันสูงส่ง-
ว่า-กรรมบทสืบสานจากว่านวงศ์-
ด้วย-จำนง .. ภพชาติพิลาสพิไล
O แผ่วแผ่ว .. สายวาโย .. เมื่อโผผ่าน
ช่อสุมาลย์ต้องริ้ว .. ย่อมพลิ้วไหว
จึงเมื่อแววตาจบ .. รูปภพใด
แรงอาวรณ์อาลัย .. ย่อมไหวรับ !
O แต่ละภาพผ่านเคลื่อน .. ก็-เหมือนว่า
ยกคุณค่า .. ควรถนอมขึ้นพร้อมสรรพ
นลาตเนียน, แก้มอิ่ม, เนตรพริ้มพรับ-
ก็จู่รูปโจมจับ .. ใจ-รับรู้
O แต่ละภาพผ่านเคลื่อน .. เริ่ม-เหมือนว่า
เสน่หาหอมหวาน .. ใครผ่านสู่-
เพื่อหัวใจอบร่ำความดำรู-
นั้น-จักอยู่ทอดทับ .. ใจ-นับนาน
O แต่ละภาพผ่านเคลื่อน .. จึง-เหมือนว่า
ถ้วนคุณค่าอาวรณ์แสนอ่อนหวาน-
จากรูปนามพริ้มเพรา .. รูปเยาวพาล-
เจ้าส่งผ่านมอบสู่ .. ให้ผู้เดียว
O โผ-ลมแผ่วผ่านริ้วโลมผิวเนื้อ-
ความอุ่นเอื้อแฝงฝาก ย่อมกรากเชี่ยว
ด้วยหัวใจรอคอย .. เพียงก้อยเรียว-
เจ้ายื่นมาเกาะเกี่ยว .. ร่วมเที่ยวทาง !
ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s