(ที่มา .. บล็อค "วรรณประทีป .. สดายุ" )
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2011&date=19&group=24&gblog=20....อารัมภบท....
๑. ล่องลอยเอย...
ชะลอเผย..ภาคลงสู่สงสาร
สืบเยื่อใยผูกพันแห่งวันวาน
ร่วมโอบกล่อมทรมาน..ให้ลาญรอย
๒. กระแสเสียงสังคีตประณีตเสนาะ
ก็รินเซาะโสตแล้ว..เพียงแผ่วค่อย
ก่อนจำหลักรูปนิมิต..สู่จิตคอย
จนเกินคล้อยคิดล้างให้จางเลือน
๓. วิเวกท่ามน้ำค้าง..ผุดพร่างหยด
ลมตอบบท..ดาวพร้อยแขคล้อยเคลื่อน
หอมโกสุมกำจรกลิ่นย้อนเยือน
แผ่วผ่านเตือนสำทับ..ให้รับรู้
๔. ลอออ่อนหอมพรม-ผ่านลมร่ำ
ให้ดื่มด่ำอาวรณ์ที่ย้อนสู่
แฝงม่านหม่นมืดดำ..ความดำรู
คล้ายรออยู่..ผูกพันตามสัญญา
๕. คำนึงฝ่าช่วงภพ, พระลบคร่อม
ผ่านทะเลดาวล้อมแสงห้อมหา
เผยร่องรอยเพรงกาลแต่นานมา
กลางนิทราลึกล้ำแห่งค่ำนี้
๖. กระแจะจันทน์ห้อมห่มร่ำลมโบก
ราวจะโกรกกล้ำร้ายให้ถ่ายหนี
ก่อนรื่นหอมกุสุมา..ดอกราตรี
จักคลายคลี่คลุมฆาน แต่กาลนั้น
....โฉมสะคราญสุดแดนดิน....
๗. พลิ้วพรายแห่งเศวตพัสตร์สะบัดผืน
พร้อมกลิ่นรื่นห้อมให้...ห้วงใจสั่น
ชดช้อยร่างแอบแฝงใต้แสงจันทร์
เพื่อแต่งฝันแอบ-ออ..ผู้รอคอย
๘. เสมือนร่างนิ่งหลับ..ใจกลับตื่น
เมื่อหอมรื่นลงเคล้า-เงียบ, เหงา, หงอย
หลังเพรียวร่างแทรกสงัดลงหยัดรอย
กระซิบถ้อยก็รุมเร้ากระเซ้าทรวง
๙. ในท่ามกลางรัตติภพ-พระลบล้อม
ก็ถึงพร้อมรูปแหนจากแดนสรวง
ลำดับนั้นจันทร์แจ่ม..ยอมแรมดวง
และงามปวง..ศิโรราบ ณ คาบนั้น
๑๐. จวบตาผู้หลับใหลเริ่มไหวตื่น
เมื่อใครยืนตรงหน้า..รูปพร่าสั่น
ร่างทะลึ่งผลุนนั่ง...ขนตั้งชัน
นี่ใครกัน..มายืน-ยิ้มรื่นตา
๑๑. ภูษิตขาวลมส่ายปัดป่ายริ้ว
เกศาปลิวเส้นส่ายปัดป่ายหน้า
แล้วราตรีหอมละมุนก็กรุ่นมา
แต่งรูปรอยปริศนา..ติดคาใจ
๑๒. งามขนง-วงพักตร์เลิศลักษณ์ล้ำ
ประกายน้ำเนตรพรับวับวับไหว
นาสิกโอษฐ์นลาตปรางดั่งนางใน-
ดุสิดาฟ้าไกล..มาให้ชม
๑๓. ขยี้ตาเกรงว่า..จะตาฝาด
แม้นหวั่นหวาด -กล้ำกลืนต้องฝืนข่ม
รำงับความวุ่นว้าในอารมณ์
เมื่อเนตรคมวาบแวว..พลิ้วแผ่วมา
๑๔. เป็นอัปสรทิพสุรางค์ หรือนางไม้
เพียงคิดไป..แว่วดังตอบกังขา
เป็นคนสิ...เคลื่อนขยับเห็นกับตา
รูปร่าง-หน้า...ฤๅเห็นไม่เป็นคน
๑๕. โอษฐ์ขยับยั่วล้อ..พูดต่อคำ
ราวตอกย้ำรำงับความสับสน
แล้วชดช้อยย่างยกอยู่วกวน
เฝ้าชวนสนทนาอยู่..อย่างรู้ใจ
๑๖. คนผู้นอนดึกดื่น..ย่อมตื่น-ช้า
ยากรู้ว่าตรู่สาง..เป็นอย่างไหน
หากวันนี้รอบร่าง..นั้นต่างไป
มีความงามผ่องใส..เดินไหววน
๑๗. ในห้องหับชายหนุ่ม..มาซุ่มซ่อน
คำจักค่อนติฉิน..ทั่วถิ่นหน
ใช่แห่งที่ให้สนุกเที่ยวซุกซน
แต่ไว้ค้นตำราวิชาการ
๑๘. กลางค่ำคืนเงียบสนิท..เหมาะคิดนึก
จดจารึกถ้อยคำ..ไว้ย้ำอ่าน
จวบแสงสางเบิกฟ้า..ทิวากาล
จักสำราญห้วงจิต..ในนิทรา
๑๙. ค่ำคืนนี้หลับฝันไม่ทันจบ
ต้องพลันพบใครหนึ่ง..อยู่ซึ่งหน้า
ขอนอนเถิด..สว่างแล้วแม่แก้วตา
แล้วค่อยย้อนกลับมาร่วมพาที
....มหาบัณฑิตนครหลวง....
๒๐. ย่างสิบเก้าโดยวัยของชายชาติ
เฝ้ามุ่งมาดปรารถนาทำหน้าที่
ของลูกโทนวรรณะคหบดี
ให้สองบุพการี..ได้ปรีดา
๒๑. จบโทยังไม่พอจะต่อเอก
ด้วยปัจเจกนิยมลึกในศึกษา
มีจิตใจตั้งมั่นทางปัญญา
ส่วนการค้าการขาย..กลับคล้ายเมิน
๒๒. เรียนเร็วกว่ามิตรสหายอยู่หลายปี
จนสุดที่สุดทางจักย่างเหิน
จำต้องเพิ่มเติมทางให้ย่างเดิน
ใช่เพื่อความเพลิดเพลินผลาญเงินทอง
๒๓. เฝ้าศึกษาสมาธิ..ทอนวิตก
คอยหยิบยกข่มคิดยามจิตล่อง
อีกเมตตาการุณละมุนมอง
ในครรลองปิยะบุตร..มีจุดยืน
๒๔. มารดาใฝ่ธรรมะ..แห่งพระพุทธ
จิตพิสุทธิ์ปรากฎแต่สดชื่น
เยือกเย็นสง่างามเช่นยามคืน
อันฟ้าผืนอร่ามเย็นแสงเพ็ญจันทร์
๒๕. อีกคืนค่ำ..ตรองตรึกเฝ้าศึกษา
อ่านตำราอำรุงความมุ่งมั่น
เหตุผลยกโยงมาสารพัน
จดจารบันทึกไว้อยู่ในคืน
๒๖. จะผ่านพ้นมืดค่ำอยู่รำไร
กลับร้างไร้โอษฐ์อิ่มมายิ้มยื่น
เหมือนเหงาเงียบสาปซ้ำให้กล้ำกลืน
เพื่อตาตื่น..คอยรับใครกลับมา
๒๗. แล้ว-ราตรีรวยริน..กรุ่นกลิ่นล้อม
แต่เมื่อความรื่นหอม, ละม่อมหน้า
ได้ผ่าวผ่านกำจาย, สู่สายตา
ทอนเงียบเหงาเหว่ว้า..จากราตรี
๒๘. ยืนกอดอก..เอียงคอมองล้ออยู่
จนอีกผู้เหลียวเห็น..ใจเต้นถี่
ยืนแอบเสามืดมัว..แม่ตัวดี
เถิดวันนี้จะถามไถ่..เอาให้รู้
๒๙. เอนหลังพิงเก้าอี้..ตาหรี่เพ่ง
มองคนเก่ง..เคลื่อนร่างเยื้องย่างอยู่
ฤๅอัปสรพรากโพยมเป็นโฉมตรู
เที่ยวเล่นอยู่ให้ดินได้ยินดี
๓๐. รูปพักตร์นั้นเมียงเมิน..แล้วเดินหา
หยิบตำราหนังสือ..พ่อฤๅษี
เปิดผ่านผ่าน..พักตร์นวลทำยวนยี
คล้ายเต็มทีกับวิถีของชีวิต..!
๓๑. อ้อนี่..!..จิตวิทยา, ปรัชญาพุทธ
หมายวิมุติหรือสวรรค์..ท่านบัณฑิต
ฤๅจะเป็นฤาษี..ผู้มีฤทธิ์
เอื้อมเหนี่ยวดึงพรหมลิขิตเอาลิดรอน..!
๓๒. ย่อมอยากเป็น..วาสี -ผู้มีฤทธิ์
เหาะขึ้นชิดที่ประทับหมู่อัปสร
แล้วไล่โลมโฉมล้ำกลางอัมพร
พาสู่เรือนให้อ้อนตะบอนตะบึง..!
๓๓. คนอยากเหาะขึ้นฟ้า..ปาก-ตายิ้ม
จนอีกรูปโอษฐ์อิ่ม..คลายยิ้ม - บึ้ง
เหมือนแววเนตรคมปลาบอยากสาปตรึง
ด้วยหมั่นไส้ใครหนึ่ง...จนถึงทรวง
๓๔. เจ้าบ้านหันมองฟ้านอกหน้าต่าง
ยังพราวพร่างดาวเดือนไม่เลือนล่วง
อีกหน้าหนึ่งก้มเรียวเห็นเสี้ยวดวง
หยิบจับปวงหนังสือ-เปิด-ถือ-วาง
๓๕. เอื้อมกรคว้ากระดาษมาวาดเล่น
ขีดเขียนเส้นหยาบหยาบเป็นภาพร่าง
รูปฤๅษีวาดลงอยู่ตรงกลาง
มีนวลนางรอบล้อม..คอยน้อมนบ..!
๓๖. จวบสุรีย์เยี่ยมภพ..พระลบลับ
คนยืน-กลับหลังหัน..ก็พลันสบ
ความว่างเปล่าเปลี่ยวนั้น..ช่างครันครบ
เงียบสงบแฝงเร้นดั่งเช่นเคย
๓๗. บนโต๊ะมีกระดาษ..ใครวาด-เห็น
ช่างล้อเล่น..ดีแท้..แม่คุณเอ๋ย
แล้วก็มาหายวับจนลับเลย
ไม่แม้เอ่ยสักคำก่อนอำลา..
....ปฏิสัมพันธ์....
๓๘. บ้านเก่าแถบบางกระบือ..แม่ซื้อไว้
เงียบสงัดสมใจดังใฝ่หา
เหมาะสมช่วงคืนค่ำ..อ่านตำรา
และพักนอนผ่อนล้า..เวลาเช้า
๓๙. เอนกายลงเตียงนอน..หนุนหมอนนึก
มาตอนดึก..เดินพล่านในบ้านเก่า
พอใกล้สาง..หายเร้น..ไม่เห็นเงา
เถิดจะเย้ายั่วให้...เมื่อได้เจอ
๔๐. “ตาฤๅษี”...ผลอยหลับลงกับหมอน
หลังจากนอนใจคล้อยตาลอยเหม่อ
หลับ-นึกหอมอบร่ำ...ใจพร่ำเพ้อ
คล้ายว่าคนหลับเผลอ..ละเมอคำ
๔๑. ตื่นขึ้นกลับบ้านแม่ตั้งแต่บ่าย
ด้วยนัดหมายร่วมงานอาหารค่ำ
งานสังคมโก้หรู..เหล่าผู้นำ
จึงคลาคล่ำปวงดรุณละมุนละไม
๔๒. ในงาน-มากสาวคอย..ชม้อยเนตร
ฤๅรู้เจตจำนง...ยังสงสัย
เห็นหัวร่อต่อกระซิกระริกไป
มองทางไหน..ลดาวัลย์พร้อมกันบาน
๔๓. บ้าง-พูดคุยกระซิบทราบ..ห่วงภาพพจน์
บ้าง-เลี้ยวลดพรมพร่ำ..ถ้อยคำหวาน
บ้าง-อวดยศใหญ่โตศักดิ์โอฬาร
บ้าง-เบื่อหน่ายรำคาญ..เลี่ยงผ่านไป
๔๔. ยืนมุมห้องพูดคุยกับคุณป้า
สำรวมท่าทีรับ..ดี-ครับ-ใช่
ป้าคุยเรื่องการเมืองแล้วเคืองใจ
เลยอาศัยหลานชายระบายความ
๔๕. จนห้าทุ่มส่งแม่กลับถึงบ้าน
เจ้าที่-ท่าน..ลอบเพ่งเหมือนเกรงขาม
ผายมือให้มองพิศ..ผู้ติดตาม
ก็เห็นงามพักตร์นั่ง..อยู่หลังรถ..!
๔๖. มารดาล่วงพ้นผ่านเข้าบ้านแล้ว
เสียงเจื้อยแจ้วเจรจา..ก็ปรากฏ
ท่านฤๅษี..จรจรัลจากบรรพต
มาสวมบทเข้มคม-อารมณ์เย็น
๔๗. สาวในงานมองอยู่ไม่รู้หรือ ?
มัวทึ่มทื่ออยู่ไหนถึงไม่เห็น
มัวขลุกอยู่กับป้า..ทำหน้าเป็น
คง-ลำเค็ญใจอยู่..ต้องสู้ทน
๔๘. แล้วลุกจาก..เบาะหลังไปนั่งคู่
เจ้าที่-ผู้..เมียงมองก็ล่องหน
หลังสบเนตรชายวาบ...ก็ทราบกล
ว่าภพภูมิเบื้องบน..ปะปนมา
๔๙. รถเลี้ยวกลางวิกาล..มุ่งบ้านเก่า
เงียบเสียงเย้า..ครู่เดียวก็เหลียวหา
เห็นคนช่างพูดเล่น..เขม้นตา
กับบรรดาเงาร่างที่ข้างทาง
๕๐. รถผ่านถึง..ภาพหายกับสายลม
แว่วรันทมโหยหอบ..อยู่รอบข้าง
คล้ายเสียงล้อครูดกรีดคนหวีดคราง
ก่อนเสียงรถพลิกขวางเส้นทางจร
๕๑. เหมือนว่าเหตุพ้นผ่านไม่นานนัก
แขนขาหักขาดเห็นอยู่เป็นท่อน
ขื่นคาวเลือดโลมพลอด..ผู้มอดมรณ์
ให้พักผ่อนตราบนิรันดร์ในวันนี้...
๕๒. รถผ่านโค้งเบื้องหลัง..ก็ดังคาด
ร่างปีศาจคืนห้อมเข้าล้อมที่
โบกรถผ่านไปมา..กลางราตรี
ร่างเหล่านั้นริบหรี่...เห็นสีเดียว
๕๓. หอมราตรีกรุ่นกลิ่นรวยรินสู่
ให้คนรู้อยู่เคล้าความเปล่าเปลี่ยว
คืนนี้ฟ้าหม่นครัน..ท่ามจันทร์เรียว
และส่วนเสี้ยวใจคน...วกวนคิด
๕๔. ใกล้กาลต้องจำพรากไปจากที่
เรียนดุษฎีอีกขั้นของบัณฑิต
ครั้งนี้..จะมีใคร..มาใกล้ชิด
ให้เพ่งพิศ..เนตรคม..คารม-กวน..?
๕๕. ถึงห้องอ่านหนังสือ..ตาปรือ-ง่วง
ชั่วคิดห่วง-รูปใครกลับไม่หวน
ช่างหายตัวเร็วเหลือ..แม่เนื้อนวล
ตราบเจียนจวนตาหลับ..รูปกลับย้อน..!
.
.
มีต่อ