04 มีนาคม 2013, 06:35:PM |
choy
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 04 มีนาคม 2013, 06:35:PM » |
ชุมชน
|
ปณิธานกวี
๑ ใครจะอาจซื้อขายฟ้ามหาสมุทร แสนวิสุทธิ์โลกนี้ที่พระสร้าง สุดท้ายกายวิภาคจะจากวาง ไว้ระหว่างหล้าและฟ้าต่อกันฯ ๒ เรามิใช่เจ้าของฟ้าอากาศ โลกธาตุทั่วสิ้นทุกสรวงสวรรค์ มนุษย์มิเคยนฤมิตตะวันจันทร์ แม้แต่เม็ดทรายนั้นสักธุลีฯ ๓ แย่งแผ่นดินอำมหิตคิดแต่ฆ่า เพราะกิเลสบ้าหฤโหดสิงซากผี ลืมป่าช้าคุณธรรมความดี เสียศรีสวัสดิ์ค่าแท้วิญญาณฯ ๔ สภาวะสรรพสิ่งทุกส่วนโลกนี้ ควรที่สำนึกค่าทิพย์วิเศษวิศาล อนุรักษ์ดินน้ำฟ้าไว้ตลอดกาล เพื่อเหนือทิพยสถานวิมานแก้วไกวัลฯ ๕ ทุ่งนาป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัย เทือกผาใหญ่เสียดดาวดึงส์สวรรค์ เนื้อเบื้อเสือช้างลิงค่างนั้น มดแมลงนานาพันธุ์ทั้งจักรวาลฯ ๖ เสมอเสมือนเพื่อนสนิทมิตรสหาย เกิดร่วมสายเชี่ยววัฏฏะสังสาร ชีพหาค่าบ่มิได้นับกาลนาน หวานเสน่ห์ฟ้าดาราลัยฯ ๗ ถึงใครเหาะเหินวิมุติสุดฝั่งฟ้า เดือนดาริกาเป็นมรคายิ่งใหญ่ แต่เราขอรักโลกนี้เสมอไป มอบใจแด่ปฐพีทุกชีวาวายฯ ๘ จะไม่ไปแม้แต่พระนิรพาน จะวนว่ายวัฏฏะสังสารหลากหลาย แปลค่าแท้ดาราจักรมากมาย ไว้เป็นบทกวีแด่จักรวาลฯ ๙ เพื่อลบทุกข์โศก ณ โลกมนุษย์ ที่สุดยุคสุขเกษมศานต์ วารนั้นฉันจะป่นปนดินดาน เป็นฟอสซิลทรมานอยู่จ้องมอง ๑๐ สิ้นเสน่ห์วรรณศิลป์ชีวิตเสนอ ละเมอหาค่าทิพย์ไหนสนอง อเนจอนาถชีวีทุกธุลีละออง สยดสยองแก่ถ่านเถ้าเศร้าโศกนักฯ ๑๑ แล้งโลกกวีที่หล้าวูบฟ้าไหว จะไปรจนารุ้งมณีเกียรติศักดิ์ อำลาอาลัยมนุษยชาติน่ารัก จักมุ่งนฤมิตจิตรจักรวาลฯ ๑๒ ให้ซึ้งซาบกาพย์กลอนโคลงฉันท์ ไปทุกชั้นอินทรพรหมพิมานสถาน สร้างสรรค์กุศลศิลป์ไว้อนันตกาล นานช้าอมตะอกาลิโก ฯ@ฯ
อังคาร กัลยาณพงศ์ ปณิธานกวี, ปณิธานกวี, พิมพ์ครั้งที่ 11, กรุงเทพฯ, ศยาม,2554, pp9-11
***ขออภัยต่อสมาชิกฯ ทุกๆ ท่าน ครั้งก่อนโพสต์ไปคู่กับบทกวีของคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คู่ควรอย่างยิ่ง จึงขอแก้ไขใหม่ดังที่เห็นอยู่นี้ choy
|
|
|
|
05 มีนาคม 2013, 11:16:AM |
choy
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 05 มีนาคม 2013, 11:16:AM » |
ชุมชน
|
กุลีปรุงอักษร
กุลีปรุงอักษร กรรมกรในสวนบรรณ แบกคำป่ายโตรกฝัน ในเชิงชั้นถักร้อยความ
ง่ายงามในวิถี มิยินดียินร้ายตาม กระแสสังคมทราม ในนิยาม-ทุนโสมม
สมถะในพอเพียง อาบดื่มเลี้ยงกายอารมณ์ เจียมตน-เขียมใจงม มิกรานก้ม-ทุนสามานย์
ออมจิตมิปลื้มหลง ในคอกกรง-ศฤงคาร หมุดหมายจิตวิญญาณ พอประมาณ ใน-อยู่-เป็น
เสพรื่นใจกาพย์กานท์ รื่นดวงมานดั่ง อยู่-เห็น รื่นใด-สงบเย็น เฉกดังเช่น-ใจละวาง
พอเพียงในฤดี ดุจกุลี-เช่นวัวต่าง แบกคำมาปรุงวาง บนเถื่อนทางวิญญาณกวีฯ
สนอง เสาทอง 26 มิถุนายน 2555 อินทามระ 10
***ขออภัยอีกครั้ง เป็นของเก่าที่โพสต์ไว้แล้ว (ไปซ้อนกับบทอื่น) เลยนำมาโพสต์ใหม่ choy 5 มีนาคม 56
|
|
|
|
05 มีนาคม 2013, 07:38:PM |
choy
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 05 มีนาคม 2013, 07:38:PM » |
ชุมชน
|
โลกและกวี (ยุคทุนนิยมเสรีใหม่)
มนุษยชาติอหังการกเฬวราก เชื้ออุบาทว์กักขฬะอุตริแสน ชั้นอากาศมหาสมุทรสุดดินแดน อีกสวรรค์เมืองแมนซื้อ-ขายครัน
มนุษย์สมัยทุนนิยมเสรีใหม่ แบ่ง (คลื่น) อากาศขายกำไรสนั่น คลื่นทีวีวิทยุมือถือ, ซื้อสัมปทาน นภดลวิศาลนั้นถูกจับจอง
แม้บาดาลมิพ้นมือมนุษย์บ้า มหาสมุทรกว้างกว่า, มีเจ้าของ น้ำมันดิบแก๊สธรรมชาติต่างถือครอง ซื้อ-ขายจอง, ขุดเจาะเคาะกำไร
แม่ธรณียิ่งพรหมเกียรติศักดิ์ มนุษยชาติปักเขตหลักซื้อขายได้ ปั่นราคาเก็งค่าแปรธาตุไป อกตัญญูเวไนยบัวใต้ตม
แต่ชั้นอินทร์ดาวดึงส์ฟ้าสวรรค์ ยังแผลงคิดขายกันอยู่เกลื่อนขรม โมทนาบัตร-เสบียงบุญ, ใครนิยม จองสวรรค์ซื้อสะดมสะสมบุญ
แม้แต่ดารานิศากรโพยมหน ยังร้อนรนหวั่นสะทกอยู่ว้าวุ่น ไม่นานช้าถูกแปลงค่าเป็นทุน ขึ้นกระดานหุ้น, ซื้อ-ขายปั่นราคา
ถึงชั้นท้าวทินกรยังอ่อนฤทธิ์ ในเอื้อนอิดบทจรเหนือเวหา ร้อนรุ่มอาสน์กริ่งมนุษย์ทรงฤทธา เบียนบีฑา, ซื้อ-ขายสุริยจักร
โลกวันนี้แม้กวียังขลาดฝัน กลัวถูกปั่นซื้อ-ขาย, พจน์ทองวรรค แบกะดิน, ไร้ค่า-อนาถานัก สิ้นศรีศักดิ์วรรณศิลป์ทิพย์สวรรค์ฯ
สนอง เสาทอง สุขสนาม สุรินทร์ 5 มีนาคม 56
***ทุนนิยมเสรีใหม่ (newly-capitalism) เป็นสกุลแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่คิดค้นพัฒนาโดยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ชื่อกลุ่ม Chicago's boy ซึ่งมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุน (ทรัพย์สิน) ที่สามารถซื้อขายได้ อาทิ นอกจากวัตถุสิ่งของแล้ว คน, ความคิด, ความรู้ความสามารถ (ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เช่นกรณี ลูกของเดวิด เบ็กแฮม ก็ยังถูกตีราคาซื้อขายกันในอนาคตว่าจะต้องเก่งเหมือนพ่อ), การซื้อขายในอนาคต (การซื้อขายเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า) และอื่นๆ อีกมากมาย สกุลแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในยุคประธานาธิบดีโรแนลด์ เรแกน ของสหรัฐฯ เป็นแนวคิดในการจัดระเบียบโลกใหม่ (new order) ถูกใช้ในยุคสมัยเราอยู่ในขณะนี้ (ผ่าน WB, IMF และ WTO) ที่มักเรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์ อันเป็นยุคการค้าไร้พรมแดน ทั้งการค้าเสรี, ตลาดเสรี ฯลฯ +สนอง เสาทอง+
|
|
|
|
06 มีนาคม 2013, 11:49:PM |
choy
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 06 มีนาคม 2013, 11:49:PM » |
ชุมชน
|
ตามเยี่ยงอย่าง แก้วมณีแห่งชีวิต
๑ เสถียร สถิตคุณค่าแท้ แด่มนุษย์ โลกนา โกเศศ วิเศษแก่นวิสุทธิ์ สิ่งแก้ว นาคะ ทิพย์ร่ายพระพุทธ มนตร์มิ่ง เปรียบฤา ประทีป สวรรค์สว่างแพร้ว พร่างฟ้า วรรณศิลป์ฯ ๒ พรหมินทร์กินงอกง้วน ดินหอม ก็ดี บุปผชาติอาจตรมตรอม อกไหม้ อักขระน่าทนุถนอม ยิ่งกว่า เก็บแก่นไตรปิฎกได้ ค่าล้ำโลกสามฯ ๓ งามวรรณศิลป์ไป่สิ้น สุคนธรส ฤาค่าอมตะหอมหมด โลกม้วย วิญญาณยิ่งเกียรติยศ คงอยู่ คู่แผ่นฟ้าดินด้วย ตราบไร้นิรพานฯ ๔ ชะเอมอ้อยร้อยสิ่งซึ้ง วิเศษหวาน ก็ดี ครู่หนึ่งอันตรธาน เปื่อยไร้ วรรณศิลป์อยู่คู่กาล กับโลก แล้วไม่หวานชีพไว้ เพื่อได้ทิพย์ไฉนฯ ๕ อักขระฤาเสื่อมสิ้น ศิลปะศาสตร์ สองท่านชีวิตปราชญ์ เปรื่องแพ้ว มรคานั่นวิสุทธิ์สะอาด อิ่มทิพย์ ทางแห่งดวงแก้ว แม่นแล้วอัญชลีฯ ๖ กี่โกฏิปีกี่ม้วย อนันตกาล ก็ดี ใหม่เอี่ยมวรรณศิลป์หวาน เลิศแล้ว ลายสือสื่อวิเศษงาน แห่งทิพย์ ตามท่านเถิดเพริศแพร้ว พร่างรุ้งมณีสมัยฯ ๗ ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง ก็ดี จริงแต่นามอุโฆษดัง คู่หล้า ชีวิตปราชญ์เลิศขลัง อมตะ ตามเทอญ เยี่ยงอย่างมณีระยับฟ้า เฟื่องฟุ้งไอศวรรย์ฯ ๘ อาถรรพณ์ขวัญเปี่ยมด้วย งามดี ปราดเปรื่องแววรุ้งมณี คู่ฟ้า วรรณศิลป์ค่าวิเศษศรี สูงส่ง ชุบชื่นหลายชาติหน้า นิ่งพริ้งเหนือสมัยฯ ๙ ไหวชีวิตอุทิศแด่หล้า คณะมนุษย์ ตามเยี่ยงอย่างมหาบุรุษ เก่งกล้า ทางทิพย์แห่งจิตรวิสุทธิ์ วิเศษยิ่ง คือสิ่งประเสริฐเลิศฟ้า กว่าได้มไหศวรรย์ฯ ๑๐ ชีวิตนักปราชญ์ซึ้ง กินใจ พิมพ์อยู่วิญญาณไป โลกหน้า ปัญญาแก่นทิพย์ใน มิ่งมนุษย์ ถือหนึ่งพึงขลังกล้า เพื่อฟ้าเกษมสมัยฯ ๑๑ อุทิศดวงใจแด่หล้า อาถรรพณ์ เทิดค่าวรรณศิลป์สวรรค์ เพริศแพร้ว อยู่คู่พุทธธรรมอัน อมตะ สถิตค่าสองปราชญ์แก้ว ไป่แล้วอัญชลีฯ ๑๒ ปากกากว่าปากแก้ว กายสิทธิ์ อยู่เพื่อโลกนิมิต ไม่แล้ว กุศลศิลป์ส่งสัมฤทธิ์ เรืองรุ่ง ปรุงค่ามนุษย์เพริศแพร้ว พรุ่งพริ้งอนันตกาลฯ
อังคาร กัลยาณพงศ์ ตามเยี่ยงอย่าง แก้วมณีแห่งชีวิต, ปณิธานกวี, พิมพ์ครั้งที่ 11, กรุงเทพฯ : ศยาม, 2554, pp95-97
*ขอบคุณ Ghost trick ที่ช่วยชี้เตือนคำผิดให้ "งาม" ตอนนี้เปลี่ยนเป็น "งาน" แล้ว
|
|
|
|
07 มีนาคม 2013, 02:35:PM |
choy
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 07 มีนาคม 2013, 02:35:PM » |
ชุมชน
|
หอมวรรณศิลป์ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) (๑)
โคลง (๑) ชั้นแต่มนุษย์แก่นซึ้ง ศิลป์บรรณ ปวงกวินทร์ลิขิตฉันท์ ห่อนร้าง พิสุทธิ์กรองกลอนวรรณ แก้วทิพย์ ชั้นแต่มนุษย์หอมสร้าง เพริศแพร้วบรรณศิลป์ฯ
ฉันท์ (๒) หอมศรีเพ็ญศิลป์ ทั่วถิ่นทศทิศ พิสุทธิ์พิจิตร หอมซึ้งกำซาบ ก่องเก็จกานท์กล หลั่งท้นแก้วกาพย์ โบกฉันท์ทองฉาบ งามสรรรุ้งศิลป์ฯ*
กาพย์ (๓) เสมอชั้นนรชาติ รู้พิลาสวรรณศิลป์ ชุบชื่นอารมณ์วิญญ์ เสพดื่มกินโคลงกาพย์ฉันท์ ร้อยกรองประทีปกานต์ เร่งเจือจานและแบ่งปัน หอมกานท์ชั้นทิพย์สวรรค์ เวไนยนั้นฤาห่อนมีฯ**
กลอน (๔) เสมอแต่ชั้นเผ่าพงศ์นรชาติ จึงรู้ค่าพิลาสหอมวรรณศิลป์ กระบือโคมัจฉาอีกสกุณิน ไป่รู้หอมปิ่นแก้วโคลงกาพย์กานท์ฯ
สนอง เสาทอง สุขสนาม สุรินทร์ 6 มีนาคม 56
หมายเหตุ *วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ **กาพย์ยานี ๑๑ ***ขอบคุณ (ไร้นาม ไร้นวม) ที่ช่วยชี้แนะ ปกติถนัด "กลอน" ไม่ค่อยได้เขียน โคลง, ฉันท์ และ กาพย์
|
|
|
|
08 มีนาคม 2013, 12:20:PM |
choy
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 08 มีนาคม 2013, 12:20:PM » |
ชุมชน
|
หัวอกเมียกวี
เอ้า! พ่อกวีตื่นไว! นี่สายแล้ว ยังคลุมโปงจ่อมแซ่วอยู่ไยนั่น หัดดูเขาใครอื่นเขาเป็นกัน ตื่นแต่เช้าผลุนผลันปั่นหากิน
“...นั่นขันน้ำยาถูฟันอยู่ข้างโอ่ง โน่นโสร่ง, ขะม้า อยู่ม้าหิน พ่อกวีศักดิ์สายโด่งอยู่อาจิณ อย่าชาชินเกียจคร้านอยู่เง่างม…
...โน่นไอ้โต้งแม่ขังแต่แย้มรุ่ง เชิญพ่อกวีต้มปรุงให้อิ่มสม แล้วค่อยวาดวิมานฝันวิมานพรหม เชิญเถิดพ่อแล้งลมบ่มคำกวี…”
กรรมของฉันสามีชั้นกวีศักดิ์ อิเหลื่ออิหลักช้ำใจทุกวันวี่ ชั้นมูลไก่เหยียบไม่ฝ่อท้อฤดี ชั่วนาปีครุ่นฝันคำหวานกรอง
เรื่องนอนดึกตื่นสายนั้นนิจสิน งอมือเท้าไม่ทำกินนี้คับข้อง ตั้งแต่รักสมัครใจร่วมฝาครอง เมียเต็มหมอง ละเหี่ย! อกเมียกวี
พอแดดสายพ่อร้อนหลบนอนพัก ให้เมียรักงกงกงานหน้าที่ พ่อฝันค้นความจริงและความดี อีกความงามมากมีศรีศักดิ์ชน
แต่ชั้นเมียทำดีให้, ไม่ดีตอบ แต่ชั้นจอบเสียมมีดพ่อไม่สน แต่ชั้นหม้อช้อนจานไม่ลำบน กินแล้วแช่กองล้นพ่อไม่แล
ครั้นแดดร่มลมตกตะวันอ่อน พ่อก็ฟ้อนร่ำเมรัยสบายแท้ หมูเป็ดไก่กับแกล้มวางหราแบ เมาอ้อแอ้ลิ้นไก่หายลงคอ
พอกันทีพ่อสามีชั้นกวีศักดิ์ อกเมียรักปะผุอารมณ์ท้อ จะหนีบวชชีพราหมณ์แสงธรรมทอ ให้กวีพ่อรื่นสมอารมณ์กวีฯ
ใจหอม ใสละออ
6 มีนาคม 56
|
|
|
|
08 มีนาคม 2013, 05:26:PM |
choy
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 08 มีนาคม 2013, 05:26:PM » |
ชุมชน
|
หอมวรรณศิลป์ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) (๒)
โคลง (๑) ชั้นแต่มนุษย์ด่ำซึ้ง บุปผชาติ พรายสันสีผุดฉาด ศิลป์แก้ว พงศ์ภมรสกุณดาด รู้ค่า แต่ปองหวานแอร่มแล้ว โผสิ้นผินฟ้าฯ
ฉันท์ (๒) หอมศรีบุปผา หอมค่ามาลี ผุดผาดสันสี ชนเสพศิลป์ล้ำ นกผึ้งปองมาน อิ่มหวานรสฉ่ำ เริงร่ายลำนำ โผผินบินจรฯ*
กาพย์ (๓) หอมกลิ่นบุปผชาติ สันสีฉาดเก็จตระการ ชุบชื่นหอมรื่นมาน ยามแบ่งบานกลีบผกา วิหคภมรผึ้ง หรือไป่ซึ้งงามบุปผา เอมหวานพลันจรลา โผผินฟ้าว่อนว่ายรำฯ**
กลอน (๔) เสมอชั้นแต่เผ่าพงศ์นรชาติ จึงรู้ค่าพิลาสหอมบุปผา ภมรแมลงอีกวิหคนานา เพียงรู้ค่าหวานอิ่มแล้วบินจรฯ
สนอง เสาทอง สุขสนาม สุรินทร์ 8 มีนาคม 56
*วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ **กาพย์ยานี ๑๑
|
|
|
|
09 มีนาคม 2013, 11:09:AM |
choy
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 09 มีนาคม 2013, 11:09:AM » |
ชุมชน
|
หอมวรรณศิลป์ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) (๓)
โคลง (๑) ชั้นแต่มนุษย์เปรื่องรู้ วนาวิญญ์ ไศลผาโขดเถื่อนถิ่น เสน่ห์ถ้ำ ชุบชื่นวิญญาณกวินทร์ ซึ้งค่า ด่ำดื่มอยู่ซากซ้ำ กลั่นถ้อยโคลงสวรรค์ฯ
ฉันท์ (๒) ผาภูเถื่อนถิ่น โขดหินไม้ป่า ต้นน้ำรักษา ปกป้องปกปักษ์ โฉดชนใจต่ำ หยาบย่ำถางหัก ป่าจริงหมดรัก อวยค่าป่าตึกฯ**
กาพย์ (๓) ไศลผาเถื่อนไพรภู พึงชนรู้ค่าวิศาล ต้นน้ำห้วยลำธาร ไหลเลาะผ่านเลี้ยงชีวิน ป่าอยู่แม่น้ำยัง ชนพึงฟังใช่เล่ห์ลิ้น ป่าหมดแม่น้ำภิณฑ์ สรรพชีวินสิ้นเผ่าพงศ์ฯ**
กลอน (๔) ชั้นเผ่าพงศ์นรชาติประเสริฐ พึงสดับเถิดเสียงเถื่อนภูร่ำไห้ แทร็กเตอร์แบ็กโฮถากทึ้งไพร ใกล้สิ้นลมสุดท้ายหัวใจพนาฯ
สนอง เสาทอง สุขสนาม สุรินทร์ 8 มีนาคม 56 *วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ **กาพย์ยานี ๑๑
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ดุลย์ ละมุน, Shumbala, ชลนา ทิชากร, Thammada, รพีกาญจน์, ไร้นวล^^, ยามพระอาทิตย์อัสดง, panthong.kh, รการตติ, รัตนาวดี, พี.พูนสุข
ข้อความนี้ มี 11 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
10 มีนาคม 2013, 09:18:AM |
choy
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 10 มีนาคม 2013, 09:18:AM » |
ชุมชน
|
หอมวรรณศิลป์ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) (๔)
ชั้นแต่มนุษย์ซ่านซึ้ง มหรรณพ มณีค่า โล้เห่กล่อมหล้าภพ หฤหรรษ์ กวีฉานฤดีคบ ไฟศิลป์ โชนแฮ โคลงฉันท์แรปาดปั้น กาพย์แก้วกลอนกรองฯ
ฉันท์ (๒) อารมณ์สาคร โล้ร่อนทุ่มถั่ง ขึ้นลงโถมฝั่ง แตกฟ่องว่องวาย หมู่ชนสนเท่ห์ หกเหวกว่าย ยากหยั่งเค้าหมาย ส่ำสายชลเล่ห์ฯ*
กาพย์ (๓) ชลสินธุ์โล้คลื่นเห่ ดั่งหญิงเล่ห์หลอนปอกปลิ้น ยากหยั่งสาครจินต์ คล้ายลมลิ้นหญิงลวงชาย คลุ้มคลั่งบ้างเรียบสงัด บ้างขึ้งขัดบ้างตาปราย จึ่งเปรียบมารยาไสย หญิงนั้นร้ายคล้ายคลื่นชเลฯ**
กลอน (๔) ทะเลครวญโลกร้อนคาร์บอนร้าย เข้าโจมจู่ทำลายโอโซนชั้น แหวกช่องฟ้า, รังสี-สุริยัน กรูเผาพลันขั้วโลกน้ำแข็งละลายฯ
สนอง เสาทอง สุขสนาม สุรินทร์ 10 มีนาคม 56 *วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ **กาพย์ยานี ๑๑
|
|
|
|
10 มีนาคม 2013, 11:01:AM |
ไร้นวล^^
ผู้ดูแลบอร์ด
คะแนนกลอนของผู้นี้ 825
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 1,430
โปรดแนะนำเพื่อค้ำชูภาษาไทย
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 10 มีนาคม 2013, 11:01:AM » |
ชุมชน
|
(ท่านสนองครับผมขอร่วมสนุกด้วยคนครับ )
(โคลง ๔ สุภาพ)
๐โคลงกลอนอันอ่อนช้อย เฉกสยาม ค้นทุกทิศทั่วคาม บ่แจ้ง มีเพียงหนึ่งศาสตร์งาม เพริศเผ่า เดียวเฮย คือเขตขัณฑ์ไทยแกล้ง ก่อแก้วประดับนิมา
(วิชชุมมาลาฉันท์)
๐ลูกหลานพรรณผ่อง เรืองรองฤๅลา น้อมนึกศึกษา หรือหลีกลี้วงศ์ เกริกกาญจน์จารไว้ ด้วยไทยไป่ปลง เชิดชูชี้ชง เช่นเชื้อชาติไทย
(กาพย์ยานี๑๑)
๐ปลูกพฤกษ์ระลึกผล จ่อกมลมิไปไหน รดเช้ารดเย็นไย จะมิปลั่งสะพรั่งงาม
๐กลอนโคลงก็โยงเยี่ยง บ่บ่ายเบี่ยงและเคียงความ คือเคร่งเคารพตาม กวีปราชญ์พิลาศฉันท์
(กลอน๘)
๐ยิ่งเรียนร่ำดื่มด่ำกับคำหงษ์ ยิ่งลุ่มหลงลวดลายไอศวรรย์ ยิ่งจดจ่อต่อแต่งยิ่งแจ้งพรรณ ว่ากลอนนั้นคือเอกดิเรกรงค์
๐แหงนพักตราสู่ฟ้าฟากสวรรค์ พร่ำจำนรรจ์ตั้งสัจจะด้วยประสงค์ เกิดชาติหน้าฉันใดได้พบองค์ พระจอมไตรพร้อมพงศ์สยามเทอญฯ
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, choy, ♥ กานต์ฑิตา ♥, Moo Dum, ยามพระอาทิตย์อัสดง, ชลนา ทิชากร, Thammada, จารุทัส, Shumbala, panthong.kh, รการตติ, พี.พูนสุข
ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
แดนดินใดให้เราเกิด เราจะเทิดทูนไว้เหนือเศียร
|
|
|
10 มีนาคม 2013, 01:08:PM |
choy
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 10 มีนาคม 2013, 01:08:PM » |
ชุมชน
|
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ชลนา ทิชากร, ยามพระอาทิตย์อัสดง, รพีกาญจน์, Thammada, จารุทัส, Shumbala, ไร้นวล^^, D, รการตติ, รัตนาวดี, พี.พูนสุข
ข้อความนี้ มี 11 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
10 มีนาคม 2013, 04:40:PM |
ไร้นวล^^
ผู้ดูแลบอร์ด
คะแนนกลอนของผู้นี้ 825
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 1,430
โปรดแนะนำเพื่อค้ำชูภาษาไทย
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 10 มีนาคม 2013, 04:40:PM » |
ชุมชน
|
ถึงท่านสนองด้วยความคารวะอย่างสูง
-กระผมมิอาจเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือได้เลยครับ เพราะกระผมยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกมาก เคยอ่านงานของนักเขียนและสมาชิกเว็บที่นี่และที่อื่น ที่สุดยอดฝีมือนี่กระผมชิดซ้ายไปเลยครับ -ผมเองก็ฝึกกลอนมาได้เพียงปีกว่าๆ โดยที่ไม่ได้มีพื้นฐานอะไรที่แน่นนัก เพราะเรียนสายวิทยาศาสตร์มาตลอด เพราะฉะนั้น ยังมีจุดบกพร่องต้องปรับปรุงอีกมากครับ -ผมเสียดายหลายๆท่านที่ฝีมือดีๆที่เคยเข้ามาและหายไปแล้ว ไม่งั้นเราทุกคนคงจะได้อ่านและฝึกฝีมือไปด้วย -จริงๆแล้วผมเพียงแต่งคล่องขึ้นเฉยๆครับ แต่ระดับการแต่งยังเหมือนผู้ที่กำลังหัดอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจะดีใจมาก ถ้ามีกัลยาณมิตรช่วยติติงแนะนำในจุดทีืท่านเห็นว่ายังไม่ค่อยพลิ้ว ไม่ต้องกังวลใดๆว่าผมจะโกรธครับ ตรงกันข้ามผมจะดีใจมากกว่าครับ -ผมก็หวังว่าทุกท่านจะพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งๆขึ้นไปพร้อมกับผมครับ
๐มิอาจเอื้อมออกอ้าง อันใด เด่นเอย พอจะเชิดไฉไล จมูกคิ้ว คือบานเบ่งใครใคร ก็ทัก กรามใหญ่ร่ายรำงิ้ว ปะแป้งหมดกระป๋องฯ (อิอิอิ)
|
แดนดินใดให้เราเกิด เราจะเทิดทูนไว้เหนือเศียร
|
|
|
11 เมษายน 2013, 10:44:PM |
choy
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 11 เมษายน 2013, 10:44:PM » |
ชุมชน
|
กาบแขวนไว้ข้างกลอน (ประตู) 'รงค์ วงษ์สวรรค์
๑. เรณูปรูโปรย วิรงรองแม่นว่าพลับพลึง เพทายแก้วก่ำหม่น กรวด, แก้วเก็จกาววาว แมงบ้ง, จั๊กกิ้มจั๊กกะเล้อ ร่านระดาฤดี ๒. หยาดน้ำค้างพร่างเพรียง ไมกากลีบหินชุ่มชรอุ่ม ดิน, ดาน, กำหนัดสันดาน ดลดอนถนนคอนกรีท ถัน, ถนัน, ถนนแน่วพ้นบ้าน ม่าน, ควันมลพิษ บ้า, ใบ้, ไขสือไม่ยินยลก่นโคตร เมามนอำนาจแลเงินขุ้นขึด ไอ้ขี้ฮากสองกอง แม่งมลาย ๓. แพร่งสบสังวาส บนชานชาลาสถานีขี้เหมี้ยง หลุผุ หมอนไม้รองเรียงรับเหล็กขนาน สร้อยสนิมอเนกอนาจาร สีการาคะสมีสถุลถ็อกถ่อน ก่อก่นกลกามกะหลี่- กัญชา, ฝอยทอง, ๔. บ่ายเวลานาฬิกาคล้อยคล้าย หวีดหวูดรถไฟบรรเลง โฉงเฉงฉอกเฉกเฉวียนไฉน ฉลุฉลวยดำรู สิมพลีแม่นว่าไม้งิ้ว, หนามไหน่ จั๊กกะเล้อเหลือง, ไอ้โล้น, โดนขย่มกบาลแยงเยียน, เยียใด อีร่านเริงร่า ๕. อ้าปากขบกัดกินไก่ไฟ, ย่างเกรียมนุ่มนุช โซดา, เทวา, เดวาร์อมฤตรส ละมุด, ละเม็ดถั่วถิมทิ่มเกลือกลอกกลิ้ง ถาโถมถ้อย, ก้อย, กุ้งเกรียบกรอบ เผาเผ็ดพริกเค็มน้ำปลาเปรี้ยวมะนาว สยิวเสยียว ๖. แก้วคลาไคลรมเยศ ขมุบขมิบขมมคลึงเคล้าอรทัย อร่อยแอร่มลำหลายปลายนิ้ว, ปลายลิ้น, กุนเชียงยำแตงกวา, กุ้งพล่า, ส้มฟักแนมขิง, จื่น, จ่าว, เจียวผักแคบ, แอบอิงยำไก่ลาบฟัก, ส้ามะเขือหำม้าเห็ดถอบ, แค็บหมูไส้อั่วพริกอ่อง, แกงขนุนคั่วผำตำพริกอีเก๋, ผักเชียงดา, ขี้ก๋วง, ขี้เสียด, ส้าน, ส้าน, เสี้ยน, เสี้ยน, เสี้ยน, เหียนหัน, หิวหื่นกามา, กาเฟอีน, โคเคน, รเบงระบำอ้อนแอ้น แคนธาริดีสแม่นว่าแมงงนสเปน สะป๊ะสป่าย, ก่ายเกย, ป่นปี้สี้ไสยาล่วงชู้ทรามเชย ในโบกี้บังม่านนอนโท ๗. เลขผาบนหน้าปัดจรลี, ผ่านเวียง, สเปกตรัมแผดแผ่รังสี อมรา, อมีบา, สาลี, ข้าวโพดเทียน (อบเนย) แหนม, แนมเหน็บนวลนาง แกงอ่อม, แกงแคแลนแคลิ่น แคเต่าแคเห็ดทั้งปลาฝา ส้าผักกูดแมงมันแลมดส้ม ต้มปุ๋มหนา ลาบไก่อ็อกปลากั้งปลาปก, ร้าวรัญจวน ๘. รุกรวดวัวเถลิงล่นถึงแปดอย เครือออนบานไสว แดดแรแสงสาดเส้า, กาสะลอง, กันเกรา, กะล่า, กรักแก่นบะลิดไม้, เอื้องเผิ้งสามปอย, แกถวา, สารภีผกาฟ้ามุ่ย, เม็ดทราย, ๙. สไบ, บิกินี, มาร์ทินีมะกอกเทศ หม้อห้อม, เตี่ยวยีนส์ปีนป่าย จำปาจำปีคางคากแลยางเนิ้ง มะแขว่น, ปลากั้ง, ก้าน, แกด, ปลาเหยี่ยน, เป้า, ปาน, สะป๊าก, ไหน่, หนอน, แน้, ปูนา, น้ำเมี้ยงน้ำปู, ข้าวมวก มะเหนียกน้ำมณีเม็ดใน, หนอง ฟักหม่น, น้ำตาชุ่มกว่าน้ำฝน, กูเป็นคน, หนึ่งไม่เป็นสองรองไผ หน็อย—กูเป็นหนองในโกโนเรีย ๑๐. หยาดร้อยหยดโอดโอย อีแม่โป่ใคร่หวัวไยไพ แมงงน, ขี้เดือน, กำบี้, กำเบ้อ, ก่ำปุ้ง, แปดเปื้อนสังคมสังคัง, สังคัน นกแล, กองกอย, เกว๋น, แอ่นแวน, กะบ้า, เอี้ยงคำ, เอี้ยงขี้หมาแหม้นมะม่วง (ฝี) แม่ฮ้างแม่เฮือนเบือนหน้า นมแมว, สะบันงา, เค็ดเค้า, อูน, ออนเครือ, สารภีสลิดก้าน มะลิซ้อนกาบกลีบอ้าซอนลอน วาบวับหวี่หวิวหวิว, หวิว, วอนแวนว้อง, วงเวียนเทียนหมกไม้ ๑๑. บานหน้าต่างประตูกลอน กร่อนกาพย์ยานีคาบคารวะโยนี อมีบา, บักเตรีสไปริลลัม, ขอกคอกคั้นเคี่ยวเมฆา, วิลย, วิลัยวิลัยวิลาป ครั่งเคียงไฟแลไขเคียงแดด ต่อมแตกเร่าร้อนละลาย กรวดวางไว้บนกรวด ทรายวางไว้บนทราย อากาศวางไว้บนอากาศ นบนอบน้อมเนิ้ง สุมาเต๊อะ—ไอ้หน้อยนี้บ่แม่นว่ากวี กะทกรกก้นแง้นงึดง่าว แม้นว่าคนสาละวีกจิตหลุนั้นแม่นแล้ว, ป้อเฮย
*'รงค์ วงษ์สวรรค์ ฉายา "พญาอินทรีในสวนอักษร" อยากให้เพื่อนๆ สังเกตชั้นเชิงลีลาความเป็นนักเลงภาษา เนื้อหาอาจหมิ่นเหม่สองแง่สามง่ามไปบ้าง แต่เป็นบทกวีเกียรติยศที่น่าจะได้อ่านประดับความรู้และสติปัญญา *พิมพ์ครั้งสุดท้ายใน สองบทกวีประดับไว้ในวงวรรณ, นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย, กวีนิพนธ์รางวัลยอดเยี่ยมนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒, กรุงเทพฯ, อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิซชิ่ง, 2552 *พิมพ์ครั้งที่ ๒ ลมบาดหิน *พิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร HI-CLASS
|
|
|
|
17 เมษายน 2013, 11:00:AM |
choy
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 17 เมษายน 2013, 11:00:AM » |
ชุมชน
|
หนังสือและศิลปะ นิ้วกลม
ตัวอักษร เป็นได้ทั้งดาบ และดอกไม้
ตัวหนังสือ ไม่ต่างจากสีน้ำ มันสร้างสรรค์ความงามได้เช่นกัน
กวีที่ไร้ความเศร้า บทกวีของเขา ย่อมขาดมิติ
โลกของกวี เข็มนาฬิกา เดินช้า
ถ้าเธอมีความงามอยู่ในดวงตา จงกลั่นมันออกมา เป็นบทกวี
กวี จับห้วงหนึ่งของความเศร้า มาเล่าให้งดงาม
จิตรกรพยายามวาดดอกไม้ให้เหมือนจริง ดอกไม้กลับยิ่ง มีเสน่ห์น้อยลง
ลายเซ็น ไม่ต้องพยายาม ถ้าพยายาม ก็ยังไม่เป็นลายเซ็น
อาจารย์ชราเคยแนะนำฉันว่า จงอย่าวาดดอกไม้ ด้วยสมอง
ฉันถามจิตรกรว่า วาดดอกไม้อย่างไรให้สวย จิตรกรตอบ เธอต้องมองเห็นความสวยของมันก่อนลงมือวาด
ความงาม ปรากฏตัว อยู่ทั่วไป
พิเศษ ธรรมดา อยู่ที่ตาเรา
ความงาม ไม่ได้อยู่บนกลีบดอกไม้ มันอยู่ในดวงตาของผู้มองดอกไม้
ลมพัดผ่านบ้านของเธอเสมอ ต่างแค่ บางวันเธอปิดหน้าต่าง
ฉันสังเกตพบว่า สิ่งที่เปราะบาง มักจะสวยงาม
ความสวยงาม ต้องการ การดูแล
สวยที่มากไป กลายเป็น น่าเกลียด
บางคำ สวยงาม เมื่อพูดโดยไร้เสียง
สิ่งมีชีวิต กับสิ่งมีหัวใจ ไม่เหมือนกัน
ความงามหายไปทันที เมื่อเธอพยายามสร้างทฤษฎี วิธีดูดอกไม้
จงเก็บภาพของโลกที่สวยงามเอาไว้ ก่อนสายตายาว
ความพร่ามัว มีเสน่ห์กว่า ความชัดเจน
ความรู้สึก จริงกว่า ความคิด
ความงาม สัมผัสด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด
จาก หนังสือและศิลปะ, สิ่งที่ค้นพบระหว่างนั่งเฉยเฉย, พิมพ์ครั้งที่ 11, กรุงเทพฯ, แพรวสำนักพิมพ์, 2554, pp156-162
|
|
|
|
|
17 เมษายน 2013, 09:40:PM |
choy
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 17 เมษายน 2013, 09:40:PM » |
ชุมชน
|
หอมวรรณศิลป์ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) (๕)
๑. โคลง (โคลง ๔ สุภาพ) อันมนุษย์เพียรเร่งรู้ ทินกร มณีค่า วาดทิวาแผดร้อน อำมหิต เช้าค่ำเคร่งบทจร ฤาผ่อน เว้นพัก รัศมีศักดิ์แกว่นฤทธิ์ สว่างหล้าไสวสวรรค์ฯ
๒. ฉันท์ (วิชชุมมาลาฉันท์ ๘) อาทิตย์ฤทธิ์แรง แผดแสงเร่าร้อน ฤาหยุดผัดผ่อน รอนรถเรื่อยล่อง โคจรทาบฟ้า สาดทาฉาบผ่อง ฉานฉายรังรอง โชติช่วงอำไพฯ
๓. กาพย์ (กาพย์ยานี ๑๑) ทินกรรัศมีกล้า ส่องเด่นหล้าจบสวรรค์ไสว ถักทอแสงโชนไกร ฉาบเรืองไรทาบโค้งฟ้า บทจรเวหาหน บันดาลดลม่านทิวา เกื้อกูลสรรพชีวา เนิ่นเนามาอสงไขยฯ
๔. กลอน (กลอน ๘) สรรพชีวิตไม่เว้นนรชาติ ล้วนรู้ค่าพิลาสสุริยะสาย สว่างหล้าสว่างโลกพรรณราย สรรพชีวิตดิ้นป่ายใต้สุริยันฯ
สนอง เสาทอง อินทามระ 10 5 เมษายน 2556
|
|
|
|
19 เมษายน 2013, 12:33:PM |
choy
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 19 เมษายน 2013, 12:33:PM » |
ชุมชน
|
หอมวรรณศิลป์ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) (๖)
๑. โคลง (โคลง ๔ สุภาพ) แขดวงนวลแจ่มเบื้อง กาลราตรี ดาริการุบหรี่ ดื่นฟ้า เดือนดาราย้อมสี แพร้วพร่าง เพ็ญนิศา กวีฝันบรรเจิดจ้า พร่ำถ้อยวจีกรองฯ
๒. ฉันท์ (วิชชุมมาลาฉันท์ ๘) ดาวเดือนเด่นฟ้า แจ่มหล้าเวหน นวลเย็นยามยล ด่ำมนต์ดื่มบาน ชื่นใดไหนเท่า กาววาวก่ำกานท์ ร้อยถ้อยขับขาน ซึ้งสร้านใจชนฯ
๓. กาพย์ (กาพย์ยานี ๑๑) ดาวเดือนป้ายเปื้อนฟ้า แต้มนิศาราตรีแผ้ว เจิดแจ่มพริ้งเพริศแพร้ว ก่องแกมแก้วแวววับวาว กวีชนร่ำเสพฝัน คืนเต็มจันทร์เพ็ญรุ้งราว ดาราพริบพรีพราว ก่ำเก็จกาวแข่งแขไขฯ
๔. กลอน (กลอน ๘) คืนจันทร์นวลข้างขึ้นแต้มฟ้าเพ็ญ ปรายแสงเย็นเด่นแขวาดนิศา ดอกดาวพรายป้ายเปื้อนแก้มนภา อวดแสงจ้อยพริบพร่าแข่งศศิธรฯ
สนอง เสาทอง อินทามระ 10 7 เมษายน 56
|
|
|
|
20 เมษายน 2013, 10:47:AM |
choy
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: 20 เมษายน 2013, 10:47:AM » |
ชุมชน
|
กวีนิพนธ์ สนอง เสาทอง
หอมวรรณศิลป์ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) (๗)
๑. โคลง (โคลง ๔ สุภาพ) เคียวรุ้งโค้งป่ายคุ้ง นภาลัย รวีแสงสาดไสว เด่นรุ้ง หลากสันสีผกาย เพชรร่วง ค่าล้ำ กวีเสพร่ำร่ายฟุ้ง พร่างแพร้วมณีบรรณฯ
๒. ฉันท์ (วิชชุมมาลาฉันท์ ๘) สูรย์แสงวาดรุ้ง ทาบคุ้งโค้งฟ้า หลากสีแยงตา เด่นล้ำงามยล ถักทอเคียวรวง ดุจสรวงเสกดล รุ้งร่วงใจชน เลอค่าทิพย์สรรฯ
๓. กาพย์ (กาพย์ยานี ๑๑) รวีสายวาดเฉดรุ้ง ใช่พลอยหุงเพชรรุ้งร่วง สันสีพร่างยองยวง ล้ำเลอสรวงค่าควรเมือง รุ้งราวแจ่มวาววับ พราวระยับขับประเทือง เอกมณีน้ำเรื่อเรือง เด่นกระเดื่องเลื่องไตรภพฯ
๔. กลอน (กลอน ๘) เคียวรุ้งรวงสรรสีแรโค้งฟ้า พิสุทธิ์งามลออค่าล้ำเลิศศิลป์ ดั่งฝีแปรงปาดป้ายเอกศิลปิน เกี่ยวโน้มฟ้าจูบดินไร้หมิ่นแคลนฯ
สนอง เสาทอง อินทามระ 10 10 เมษายน 56
|
|
|
|
05 พฤษภาคม 2013, 09:56:AM |
choy
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2013, 09:56:AM » |
ชุมชน
|
หอมวรรณศิลป์ (๘) (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน)
๑. โคลง (โคลง ๔ สุภาพ) เหลืองดอกคูณอร่ามแต้ม ระย้ารวง ไสวสล้างช่อผกาพวง ถิ่นแล้ง ท้าดอกสูรย์แดงดวง ร้อนร่าย พริบระยับ เหลืองคูณขับเด่นแย้ง ป่นแห้งดินอีสานฯ
๒. ฉันท์ (วิชชุมมาลาฉันท์ ๘) ดอกคูณพวงช่อ เหลืองล้อแดดแดง ขึ้นดินทรายแล้ง สืบเหล่าว่านวงศ์ เหลืองคูณอีสาน ศรีบ้านค้ำยง เหนือดินฝุ่นผง แห้งร้อนกันดารฯ
๓. กาพย์ (กาพย์ยานี ๑๑) ดอกคูณถิ่นอีสาน หน้าแล้งบานสล้างร่าย ระย้าพวงช่อราย ต้องแดดบ่ายอร่ามเหลือง แต้มทุ่งนาทรายดิน สันสีรินไสวรังเรือง ดอกคูณค่าควรเมือง งามลือเลื่องอีสานถิ่นฯ
๔. กลอน (กลอน ๘) พวงช่อคูณแบ่งบานระย้าเหลือง ค้ำคูณบ้านศรีเมืองระแหงอีสาน ยามแดดแล้งไสวสล้างช่อกลีบบาน เหลืองละลานรังเรืองทุ่งทรายดินฯ
สนอง เสาทอง สุรินทร์ 5 พฤษภาคม 56
|
|
|
|
05 พฤษภาคม 2013, 04:32:PM |
Thammada
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2013, 04:32:PM » |
ชุมชน
|
คือ “จิตร ภูมิศักดิ์” คือ “ปราชญ์สามัญชน” ๏ ห้าพฤษภาฯสองห้าศูนย์เก้า สามัญชนทอดเงาเพื่อเล่าขาน กำเนิด “จิตร ภูมิศักดิ์” เป็นตำนาน กำเนิดปราชญ์ก่อนกาลสายธารธรรม
๏ ใช่แค่เพียงนักคิดและนักเขียน ใช่แค่เรียนรู้ตนพ้นทางต่ำ ใช่แค่นึกเป็นนายเพื่อชี้นำ ใช่เพื่อย่ำยีใครใช้บีฑา
๏ หากแต่คิดและเขียนเร่งเรียนรู้ เพื่อยืนหยัดเย้ยสู้อย่างผู้กล้า ในกระแสแห่งอยุติธรรมา ต้องยุติธรรมดาสามัญชน
๏ ใช่แค่เพียงชี้นิ้วตามใจนึก หากแต่พร้อมสู้ศึกในทุกหน คนยังคงยืนเด่นเต็มค่าคน ยืนข้างผู้ทุกข์ทนเพื่อเป็นไท
๏ “ภูมิศักดิ์” เต็มศักดิ์และเต็มสิทธิ์ เต็มค่าเต็ม “จิตร” เต็มใจให้ ดั่งเทียนผู้ถ่องแท้และแน่ใจ เพื่อส่องทางสว่างไสวในแผ่นดิน
๏ ห้าพฤษภาฯสองห้าศูนย์เก้า สามัญชนทอดเงาเถ้าคืนถิ่น แต่ปณิธานยังอยู่ยั้งให้ยลยิน ไม่สุดสิ้นตำนานเหนือกาลเวลา
๏ ยังคงชื่อคง “จิตร ภูมิศักดิ์” สามัญชนจำหลักเต็มคุณค่า ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่คนธรรมดา แต่คือปราชญ์ส่องทิศาอุษาคเนย์
คือปราชญ์สามัญชนคนธรรมดา คือ “แสงดาวแห่งศรัทธา” อุษาคเนย์ฯ
นายทิวา ศุกร์ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔
|
|
|
|
|