19 ตุลาคม 2011, 11:16:PM |
ภู กวินท์
|
|
« เมื่อ: 19 ตุลาคม 2011, 11:16:PM » |
ชุมชน
|
เคยชิน................... ยังแต่ความอาลัยในเสียงโศก สลักโลกตามรางระหว่างค่ำ พักพิงแววสายตามาประจำ พอชุ่มฉ่ำสายฝน, หม่นนที
คุ้นเคยกับไอดินกลิ่นน้ำเน่า กระจกเก่ากลางแจ้งต้องแสงสี ความเจ็บปวดรวดร้าวหนาวธุลี แผ่รังสีชีวิต, อิสรา
ซึมซับความรู้สึกเมื่อนึกย้อน ตะวันก่อนอ่อนแสงเรี่ยวแรงหา ตะวันนี้สว่างไม่สร่างซา ร่วงโรยราสลาย, เกลื่อนรายทาง
ไม่มีความพอดีที่เหยียบย่ำ กล่าวอ้างคำพบเห็นเป็นตัวอย่าง ไล่จับภาพ คราบเงาที่เขาวาง โดยทั้งรู้ว่าห่าง, แตกต่างเอง
เหมือนความฝันละเมอหลงเพ้อเจ้อ ตื่นมาเจอเมื่อวานที่บานเบ่ง ยังสมมุติกับตัวไม่กลัวเกรง ยิ่งเปล่าเปลี่ยวคว้างเคว้ง, เมื่อเพลงดัง
ไม่มีสิ่งสูงสุดเมื่อหยุดดิ้น มีแต่ความเคยชินที่รินหลั่ง ไม่มีแม้ตัวตนบนภวังค์ มีแต่หวังแล้งแล้ง, รอแห้งตาย!
………………….
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ♥หทัยกาญจน์♥, amika29, รัตนาวดี, Music, บัณฑิตเมืองสิงห์, บ้านกลอนไทย, Charlie, คนกันเอง.., บ้านริมโขง, ช่วงนี้ไม่ว่าง, yaguza, อริญชย์, พิมพ์วาส, เมฆา..., พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, สะเลเต, --ณัชชา--, ..กุสุมา.., ฤดีไพร, ไม่รู้ใจ, รัตติกาล
ข้อความนี้ มี 22 สมาชิก มาชื่นชม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
20 ตุลาคม 2011, 12:18:AM |
รัตนาวดี
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 12:18:AM » |
ชุมชน
|
สว่างเคลื่อน เลื่อนลา มืดมาปิด สะอึดจิต คิดมั่ว ฝันรั่วร้าย สงบใจ ใฝ่ระงับ จนกลับกลาย เรื่องทั้งหลาย คลายคล้อย จนลอยเลือน
ในที่สุด หยุดนิ่ง อุ่นอิงแอบ ซบหน้าแนบ แบบซม อารมณ์เชือน ทุกสิ่งเริ่ม เสริมจบ ให้พบเตือน ความปล่าวเปลี่ยว เทียวเยือน เป็นเพื่อนคลุม
รัตนาวดี
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : บัณฑิตเมืองสิงห์, ♥หทัยกาญจน์♥, บ้านกลอนไทย, Charlie, คนกันเอง.., บ้านริมโขง, ช่วงนี้ไม่ว่าง, yaguza, อริญชย์, พิมพ์วาส, เมฆา..., พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, ภู กวินท์, สะเลเต, --ณัชชา--, ..กุสุมา.., amika29, ไม่รู้ใจ, รัตติกาล
ข้อความนี้ มี 20 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
20 ตุลาคม 2011, 02:15:AM |
บ้านกลอนไทย
ผู้ดูแลทุกบอร์ด
คะแนนกลอนของผู้นี้ 533
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 962
จิ๊กโก๋...กำลังจะโตเป็นหนุ่ม ฮ่าๆ
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 02:15:AM » |
ชุมชน
|
"ความเคยชิน"ยินชื่อนั่นคือใช่ อยากทุ่มใส่ไฟฟองเอากองสุม เพราะมันเก่าเกินกว่าจะคว้ากุม อยู่ในมุมมืดมาจนชาชิน
หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็นเพื่อน วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น เหลือเพียงเราเฝ้าแขตาแลดิน ไม่นานสิ้นแสงใสจะไปตามแบบว่า....ก็ไม่รู้สิครับ แต่ก็ตามนั้นแหละ..
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Charlie, รัตนาวดี, คนกันเอง.., บ้านริมโขง, ♥หทัยกาญจน์♥, ช่วงนี้ไม่ว่าง, yaguza, อริญชย์, พิมพ์วาส, เมฆา..., พี.พูนสุข, บัณฑิตเมืองสิงห์, รพีกาญจน์, ภู กวินท์, สะเลเต, --ณัชชา--, ..กุสุมา.., amika29, ไม่รู้ใจ, รัตติกาล, ไพร พนาวัลย์
ข้อความนี้ มี 21 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
20 ตุลาคม 2011, 03:32:AM |
a moth
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 03:32:AM » |
ชุมชน
|
คงเป็นแค่ดาวดวงที่ล่วงลับ ให้คนนับเพลินตา - ก่อนฟ้าอร่าม และเป็นเพียงเศษเถ้าธุลีงาม ให้คนถามย้อนถึง..ซึ่งเลือนราง
มิอาจหยัดเคียงลมห่มแดดเช้า ก็เคลื่อนเงาลุกไหม้ - ให้แสงสว่าง นาที - ผีพุ่งไต้ ชัดฉายทาง- กระนั้น!..บางสายตาเหมือนว่าชิน!.
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : บ้านริมโขง, ♥หทัยกาญจน์♥, ช่วงนี้ไม่ว่าง, อริญชย์, พิมพ์วาส, เมฆา..., พี.พูนสุข, บัณฑิตเมืองสิงห์, รพีกาญจน์, ภู กวินท์, สะเลเต, --ณัชชา--, ..กุสุมา.., บ้านกลอนไทย, amika29, ไม่รู้ใจ, รัตติกาล
ข้อความนี้ มี 17 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
20 ตุลาคม 2011, 03:33:AM |
รัตนาวดี
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 03:33:AM » |
ชุมชน
|
"ความเคยชิน"ยินชื่อนั่นคือใช่ อยากทุ่มใส่ไฟฟองเอากองสุม เพราะมันเก่าเกินกว่าจะคว้ากุม อยู่ในมุมมืดมาจนชาชิน
หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็นเพื่อน วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น เหลือเพียงเราเฝ้าแขตาแลดิน ไม่นานสิ้นแสงใสจะไปตามแบบว่า....ก็ไม่รู้สิครับ แต่ก็ตามนั้นแหละ.. "อยู่ในมุม มืดมา จนชาชิน" ครั้นพอยิน จินตนา ผวาหวาม กลัวถึงแดร็กร์ คูล่าร์ ผู้บ้ากาม ฮักลวนลาม ตามลูบ สูบเลือดกิน
อุ๊ย!!ขอโทษ โปรดพี่ Moderator รัตน์แค่ขอ ต่อเนื่อง เป็นเรื่อง(ตง)ฉิน อย่าลงโทษ โกรธน้อง สมองบิน เดี๋ยวไม่สิ้น แสงส่อง มิต้องตาม
รัตนาวดี ฮิๆๆแบบขำๆค่ะพี่จ๋า
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : คนกันเอง.., บ้านริมโขง, ♥หทัยกาญจน์♥, ช่วงนี้ไม่ว่าง, อริญชย์, พิมพ์วาส, เมฆา..., พี.พูนสุข, บัณฑิตเมืองสิงห์, รพีกาญจน์, ภู กวินท์, สะเลเต, --ณัชชา--, ..กุสุมา.., บ้านกลอนไทย, amika29, ไม่รู้ใจ, รัตติกาล
ข้อความนี้ มี 18 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
20 ตุลาคม 2011, 08:52:AM |
ช่วงนี้ไม่ว่าง
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 08:52:AM » |
ชุมชน
|
"ความเคยชิน"ยินชื่อนั่นคือใช่ อยากทุ่มใส่ไฟฟองเอากองสุม เพราะมันเก่าเกินกว่าจะคว้ากุม อยู่ในมุมมืดมาจนชาชิน
หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็นเพื่อน วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น เหลือเพียงเราเฝ้าแขตาแลดิน ไม่นานสิ้นแสงใสจะไปตามแบบว่า....ก็ไม่รู้สิครับ แต่ก็ตามนั้นแหละ.. ก่อนอื่นเลยต้องขออนุญาตท่าน ทำ มะดา ในฐานะเจ้าของกระทู้ กับ ท่าน บ้านกลอนไทย ในฐานะเจ้าของกลอน ที่ผมจะต้องขออนุญาตเพื่อ ติ-ชม บทกลอนของท่านบ้านกลอนไทย สักเล็กน้อย ว่าอันที่จริงนับแต่ผมเข้าเว็บนี้มา มีไม่บ่อยครั้งนัก ที่จะได้อ่านกลอนของท่านบ้านกลอนไทย ดังนั้นนั่นจึงอีกแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้ผมใคร่จะได้ยลฝีมือของท่านบ้านกลอนไทย ซึ่งก็นับว่าไม่ผิดหวัง ในเมื่อนานๆทีมาโชว์ฝีมือย่อมจะมีดีมาอวดกัน.......ซึ่งผมจะได้เขียนไปเป็นข้อๆว่ากลอนนี้มีดีอะไร ทำไม ถึงต้อง ติ-ชม วิจารณ์ด้วย ๑. กลอนนี้นำเอาลูกเล่นคือ กลบทอักษรสามช่วงมาใส่ในวรรคสดับทั้งสองบททำให้กลอนมีความสะดุดหูสะดุดใจ ซึ่งการนำเอากลบทมาประยุกต์ใส่ในบทกลนั้นทำให้กลอนมีความโดดเด่นเป็นพิเศษกว่ากลอนทั่วไป ๒. ในกลอนรับและกลอนส่งนั้นมีการเล่นอักษร เช่น "มุมมืดมา" "เลือนลับลา" ซึ่งการเล่นอักษรแต่ไม่มากไปจนเสียความ นี้เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของกลอน(คือใส่ได้เท่าที่โอกาสจะอำนวยแต่ไม่ฝืนมากจนเกินไปจนผิดธรรมชาติเรียกว่ใส่แต่พอดีหรือใส่ ตามจังหวะและโอกาส) ๓. มีสัมผัสครบ ที่ใดที่ไม่มีสัมผัสสระก็จะพบว่ามีการสัมผัสอักษรอยู่ด้วย(เรียกว่ายังคงไว้ลายความเก๋าอยู่) ๔. ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย คือใช้คำได้คุ้มค่าแต่ละคำแต่ละประโยคนั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายที่ไพเราะจับใจทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น"หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็เพื่อน" เพียงแค่วรรคนี้วรรคเดียวก็อธิบายความได้หลายอย่าง เฉพาะคำว่า "หลายดาวผ่อง" ก็กินความว่า ดวงดาวไม่ใช่ดวงเดียวแต่ทว่าเป็นหลายดวงมีรัศมีผ่องใส จะเห็นว่าเพียงสามคำเท่านั้นก็สื่อความหมายได้กว้างขวาง คำต่อมาคือ "ส่องเพ็ญ" อาจหมายความว่า ส่องประกายเต็มดวง หรือส่องแสงคู่กับดวงจันทร์เต็มดวงก็ได้อีก คำว่า "อยู่เป็นเพื่อน" อาจสื่อความหมายว่าอยู่เป็นเพื่อนดวงจันทร์หรืออยู่เป็นเพื่อนคน(ผู้แต่งกลอน)ก็ได้ทั้งสองทาง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเพียงแค่คำ ๘ คำ เท่านั้นแต่กลับกินความหมายที่กว้างขวางลึกซึ้ง นอกจากนี้ก็คือวรรคต่อมา "วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น" ตรงนี้ก็อีก คำว่า"วันนี้" บอกให้ทราบว่าเป็นเวลาปัจจุบันไม่ใช่ เมื่อวานหรือวันไหน ส่วนคำว่า"เลือนลับลา"ก็คือการจากไป มองไม่เห็นอีกต่อไป มองไม่เห็นเหมือนเคย แล้วยังเป็นการเล่นอักษร อีกด้วย ส่วนคำว่า"จากฟ้าถิ่น" นั้นบอกให้ทราบว่า จากท้องฟ้าซึ่งเป็นถิ่นที่ดาวเคยอาศัยอยู่ นอกจากจะรับสัมผัสแล้วยังแฝงด้วย ความหมายที่ครอบคลุมทั้งหมด นอกจากนี้แล้วในวรรคถัดๆมาหรือวรรคอื่นล้วนแล้วแต่มีความหมายในตัวทั้งสิ้น ๕. มีการส่งสัมผัสจากคำที่ ๕ ไปยังคำที่ ๗ ทุกวรรคตลอดทั้งสองบท ซึ่งตรงนี้โดยส่วนตัวผมก็ชอบที่จะส่งสัมผัส จากคำที่ ๕ ไปลงคำที่ ๗ อยู่ด้วย(แต่ส่วนมากมันจะทำไม่ได้ครบทุกวรรค)ทั้งนี้เป็นความชอบส่วนตัว ๖. กลอนนี้เลือกลงท้ายวรรคแรกด้วยเสียงโททั้งคู่(อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวของผมแม้ว่าในการแต่งกลอนทั่วๆไป ผมจะไม่ค่อยมีโอกาสลงท้ายด้วยเสียงนี้นักก็ตาม) ๗. กลอนนี้ดีทางด้านภาษา กระชับ ได้ใจความ ถูกต้องตามหลักฉันทลักษณ์ของกลอนแปดและไม่ยาวยืดเยื้อจนเกินไป (ความนิยมส่วนตัวอีกที่นิยมกลอนสั้นเพราะกลอนยาวผมขี้เกียจอ่าน ไม่ได้หมายความว่ากลอนยาวไม่ดี) สรูปแล้ว กลอนนี้เป็นที่รวมของข้อดีหลายๆอย่างเท่าที่ผมพอจะนึกได้ หรืออาจจะมีข้อดีอื่นๆแต่ผมไม่ทราบก็เป็นได้ ผิดถูกยังไงผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ช่วงนี้ไม่ว่าง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Music, ♥หทัยกาญจน์♥, อริญชย์, พิมพ์วาส, บ้านริมโขง, เมฆา..., พี.พูนสุข, บัณฑิตเมืองสิงห์, รพีกาญจน์, รัตนาวดี, ภู กวินท์, สะเลเต, --ณัชชา--, ..กุสุมา.., บ้านกลอนไทย, amika29, ไม่รู้ใจ, รัตติกาล
ข้อความนี้ มี 18 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
20 ตุลาคม 2011, 10:52:AM |
♥หทัยกาญจน์♥
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 10:52:AM » |
ชุมชน
|
เคยชิน................... ยังแต่ความอาลัยในเสียงโศก สลักโลกตามรางระหว่างค่ำ พักพิงแววสายตามาประจำ พอชุ่มฉ่ำสายฝน, หม่นนที
คุ้นเคยกับไอดินกลิ่นน้ำเน่า กระจกเก่ากลางแจ้งต้องแสงสี ความเจ็บปวดรวดร้าวหนาวธุลี แผ่รังสีชีวิต, อิสรา
ซึมซับความรู้สึกเมื่อนึกย้อน ตะวันก่อนอ่อนแสงเรี่ยวแรงหา ตะวันนี้สว่างไม่สร่างซา ร่วงโรยราสลาย, เกลื่อนรายทาง
ไม่มีความพอดีที่เหยียบย่ำ กล่าวอ้างคำพบเห็นเป็นตัวอย่าง ไล่จับภาพ คราบเงาที่เขาวาง โดยทั้งรู้ว่าห่าง, แตกต่างเอง
เหมือนความฝันละเมอหลงเพ้อเจ้อ ตื่นมาเจอเมื่อวานที่บานเบ่ง ยังสมมุติกับตัวไม่กลัวเกรง ยิ่งเปล่าเปลี่ยวคว้างเคว้ง, เมื่อเพลงดัง
ไม่มีสิ่งสูงสุดเมื่อหยุดดิ้น มีแต่ความเคยชินที่รินหลั่ง ไม่มีแม้ตัวตนบนภวังค์ มีแต่หวังแล้งแล้ง, รอแห้งตาย!
ทำ มะ ดา
…………………. ความเคยชินรินหลั่งหวังแล้งแล้ง ไม่มีแสงส่องถนนบนทางสาย ไม่มีแม้แต่ตัวหัวเคียงกาย ต่างถูกกลืนกล่นหายคล้ายโลกมน
มันพิลึกนึกพร่ำซ้ำจะกล่าว เปรียบดวงดาวพราวพร่างกระจ่างหน กับชีวิตจิตมนุษย์ดุจคำ“คน” มีเพียงตนต่างบทกฎครรลอง
อันดารานภาท้องฟ้ากว้าง ส่องสว่างไสวใสผุดผ่อง อยู่ที่สูงจูงใจใครต่างมอง แต่มนุษย์สุดซ้ำสองต้องเดินดิน
เพียงเดินดินดิ้นร้นค้นจุดหมาย กับชีวิตจิตหายมลายสิ้น มีเส้นสายเน้นขีดกรีดชีวิน ต่างต้องชินเชยชาพาเดินตาม
พร้อมกับหวังพลังสั่งแรงกล้า ที่ใครใคร่ใฝ่หาน่าเกรงขาม ล้วนตรากตรำทำไปในทุกยาม เปรียบกับความเคยชินสิ้นฤดี
หากสิทธิเสรีภาพตราบเทียมเท่า ขอเป็นตัวของตัวเราเฝ้าวิถี ขอเดินตามความฝันที่ฉันมี สมกับที่เกิดเป็นคนชนพื้นดิน
หทัยกาญจน์ ปล. ขออนุญาตต่อนะคะ พี่ทำมะดา
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พิมพ์วาส, บ้านริมโขง, เมฆา..., ช่วงนี้ไม่ว่าง, พี.พูนสุข, บัณฑิตเมืองสิงห์, รพีกาญจน์, รัตนาวดี, ภู กวินท์, Music, สะเลเต, --ณัชชา--, ..กุสุมา.., บ้านกลอนไทย, ไม่รู้ใจ, อริญชย์, รัตติกาล, ไพร พนาวัลย์
ข้อความนี้ มี 18 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
อักษราจารึก รักผลึกตรึกตรองคำ ร้อยเรียงเคียงคู่ธรรม ศาสตร์ศิลป์ร่ำลำ
|
|
|
20 ตุลาคม 2011, 05:02:PM |
ภู กวินท์
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2011, 05:02:PM » |
ชุมชน
|
"ความเคยชิน"ยินชื่อนั่นคือใช่ อยากทุ่มใส่ไฟฟองเอากองสุม เพราะมันเก่าเกินกว่าจะคว้ากุม อยู่ในมุมมืดมาจนชาชิน
หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็นเพื่อน วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น เหลือเพียงเราเฝ้าแขตาแลดิน ไม่นานสิ้นแสงใสจะไปตามแบบว่า....ก็ไม่รู้สิครับ แต่ก็ตามนั้นแหละ.. ก่อนอื่นเลยต้องขออนุญาตท่าน ทำ มะดา ในฐานะเจ้าของกระทู้ กับ ท่าน บ้านกลอนไทย ในฐานะเจ้าของกลอน ที่ผมจะต้องขออนุญาตเพื่อ ติ-ชม บทกลอนของท่านบ้านกลอนไทย สักเล็กน้อย ว่าอันที่จริงนับแต่ผมเข้าเว็บนี้มา มีไม่บ่อยครั้งนัก ที่จะได้อ่านกลอนของท่านบ้านกลอนไทย ดังนั้นนั่นจึงอีกแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้ผมใคร่จะได้ยลฝีมือของท่านบ้านกลอนไทย ซึ่งก็นับว่าไม่ผิดหวัง ในเมื่อนานๆทีมาโชว์ฝีมือย่อมจะมีดีมาอวดกัน.......ซึ่งผมจะได้เขียนไปเป็นข้อๆว่ากลอนนี้มีดีอะไร ทำไม ถึงต้อง ติ-ชม วิจารณ์ด้วย ๑. กลอนนี้นำเอาลูกเล่นคือ กลบทอักษรสามช่วงมาใส่ในวรรคสดับทั้งสองบททำให้กลอนมีความสะดุดหูสะดุดใจ ซึ่งการนำเอากลบทมาประยุกต์ใส่ในบทกลนั้นทำให้กลอนมีความโดดเด่นเป็นพิเศษกว่ากลอนทั่วไป ๒. ในกลอนรับและกลอนส่งนั้นมีการเล่นอักษร เช่น "มุมมืดมา" "เลือนลับลา" ซึ่งการเล่นอักษรแต่ไม่มากไปจนเสียความ นี้เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของกลอน(คือใส่ได้เท่าที่โอกาสจะอำนวยแต่ไม่ฝืนมากจนเกินไปจนผิดธรรมชาติเรียกว่ใส่แต่พอดีหรือใส่ ตามจังหวะและโอกาส) ๓. มีสัมผัสครบ ที่ใดที่ไม่มีสัมผัสสระก็จะพบว่ามีการสัมผัสอักษรอยู่ด้วย(เรียกว่ายังคงไว้ลายความเก๋าอยู่) ๔. ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย คือใช้คำได้คุ้มค่าแต่ละคำแต่ละประโยคนั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายที่ไพเราะจับใจทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น"หลายดาวผ่องส่องเพ็ญอยู่เป็เพื่อน" เพียงแค่วรรคนี้วรรคเดียวก็อธิบายความได้หลายอย่าง เฉพาะคำว่า "หลายดาวผ่อง" ก็กินความว่า ดวงดาวไม่ใช่ดวงเดียวแต่ทว่าเป็นหลายดวงมีรัศมีผ่องใส จะเห็นว่าเพียงสามคำเท่านั้นก็สื่อความหมายได้กว้างขวาง คำต่อมาคือ "ส่องเพ็ญ" อาจหมายความว่า ส่องประกายเต็มดวง หรือส่องแสงคู่กับดวงจันทร์เต็มดวงก็ได้อีก คำว่า "อยู่เป็นเพื่อน" อาจสื่อความหมายว่าอยู่เป็นเพื่อนดวงจันทร์หรืออยู่เป็นเพื่อนคน(ผู้แต่งกลอน)ก็ได้ทั้งสองทาง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเพียงแค่คำ ๘ คำ เท่านั้นแต่กลับกินความหมายที่กว้างขวางลึกซึ้ง นอกจากนี้ก็คือวรรคต่อมา "วันนี้เลือนลับลาจากฟ้าถิ่น" ตรงนี้ก็อีก คำว่า"วันนี้" บอกให้ทราบว่าเป็นเวลาปัจจุบันไม่ใช่ เมื่อวานหรือวันไหน ส่วนคำว่า"เลือนลับลา"ก็คือการจากไป มองไม่เห็นอีกต่อไป มองไม่เห็นเหมือนเคย แล้วยังเป็นการเล่นอักษร อีกด้วย ส่วนคำว่า"จากฟ้าถิ่น" นั้นบอกให้ทราบว่า จากท้องฟ้าซึ่งเป็นถิ่นที่ดาวเคยอาศัยอยู่ นอกจากจะรับสัมผัสแล้วยังแฝงด้วย ความหมายที่ครอบคลุมทั้งหมด นอกจากนี้แล้วในวรรคถัดๆมาหรือวรรคอื่นล้วนแล้วแต่มีความหมายในตัวทั้งสิ้น ๕. มีการส่งสัมผัสจากคำที่ ๕ ไปยังคำที่ ๗ ทุกวรรคตลอดทั้งสองบท ซึ่งตรงนี้โดยส่วนตัวผมก็ชอบที่จะส่งสัมผัส จากคำที่ ๕ ไปลงคำที่ ๗ อยู่ด้วย(แต่ส่วนมากมันจะทำไม่ได้ครบทุกวรรค)ทั้งนี้เป็นความชอบส่วนตัว ๖. กลอนนี้เลือกลงท้ายวรรคแรกด้วยเสียงโททั้งคู่(อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวของผมแม้ว่าในการแต่งกลอนทั่วๆไป ผมจะไม่ค่อยมีโอกาสลงท้ายด้วยเสียงนี้นักก็ตาม) ๗. กลอนนี้ดีทางด้านภาษา กระชับ ได้ใจความ ถูกต้องตามหลักฉันทลักษณ์ของกลอนแปดและไม่ยาวยืดเยื้อจนเกินไป (ความนิยมส่วนตัวอีกที่นิยมกลอนสั้นเพราะกลอนยาวผมขี้เกียจอ่าน ไม่ได้หมายความว่ากลอนยาวไม่ดี) สรูปแล้ว กลอนนี้เป็นที่รวมของข้อดีหลายๆอย่างเท่าที่ผมพอจะนึกได้ หรืออาจจะมีข้อดีอื่นๆแต่ผมไม่ทราบก็เป็นได้ ผิดถูกยังไงผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ช่วงนี้ไม่ว่าง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ ....ตามที่ท่าน "ช่วงนี้ไม่ว่าง" กล่าวมานั่นแหล่ะครับ นานๆมาที ไม่เคยทำให้ผิดหวังสำหรับ ท่าน"บ้านกลอนไทย" หรือ "นะโม" หนุ่มหล่อ ของเรานี่เอง ...มาบ่อยๆสิ หลายคนเขาคิดถึง...ติดตามผลงานอยู่เสมอ.... ....ส่วนท่าน "ช่วงนี้ไม่ว่าง" (ไม่รู้ว่าช่วงไหนว่างมั่ง หุหุ)...ได้แจกแจงมาโดยละเอียดนั้น นับว่าดีเลยทีเดียว ได้ความรู้มากมายท่าน เป็นประโยชน์ในการแต่งกลอน ของข้าพเจ้า และอีกหลายๆคนเลยทีเดียว ขอบคุณท่านมาก!... ....ด้วยจิตคารวะ ....ทำ มะดา...
|
|
|
ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : สะเลเต, ..กุสุมา.., --ณัชชา--, ช่วงนี้ไม่ว่าง, รัตนาวดี, ♥หทัยกาญจน์♥, รพีกาญจน์, บ้านกลอนไทย, Music, ไม่รู้ใจ, อริญชย์, รัตติกาล, พี.พูนสุข
ข้อความนี้ มี 13 สมาชิก มาชื่นชม
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
21 ตุลาคม 2011, 10:20:PM |
บ้านกลอนไทย
ผู้ดูแลทุกบอร์ด
คะแนนกลอนของผู้นี้ 533
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 962
จิ๊กโก๋...กำลังจะโตเป็นหนุ่ม ฮ่าๆ
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 10:20:PM » |
ชุมชน
|
.... ตามที่ท่าน "ช่วงนี้ไม่ว่าง" กล่าวมานั่นแหล่ะครับ นานๆมาที ไม่เคยทำให้ผิดหวังสำหรับ ท่าน"บ้านกลอนไทย" หรือ "นะโม" หนุ่มหล่อ ของเรานี่เอง ...มาบ่อยๆสิ หลายคนเขาคิดถึง...ติดตามผลงานอยู่เสมอ........ส่วนท่าน "ช่วงนี้ไม่ว่าง" (ไม่รู้ว่าช่วงไหนว่างมั่ง หุหุ)...ได้แจกแจงมาโดยละเอียดนั้น นับว่าดีเลยทีเดียว ได้ความรู้มากมายท่าน เป็นประโยชน์ในการแต่งกลอน ของข้าพเจ้า และอีกหลายๆคนเลยทีเดียว ขอบคุณท่านมาก!... ....ด้วยจิตคารวะ ....ทำ มะดา... ๏ "ทามะดำ" ทำด้อย กลบรอยเด่น เมื่อก่อนเล่น เช่นชาว แห่งหาวหงส์ กระพือปีก หลีกล้อ ลออองค์ หนึ่งในวงศ์ วรรณศิลป์ กวินไทย
๏ ทอดทิ้งฟ้า หน้าหนาว เมื่อคราวนั้น ความผูกพัน วันคืน เคยชื่นไหม ทิ้งให้น้อง หมองหม่น น้ำหล่นนัยน์ เปลี่ยนแปลงไปเป็นว่า...."ทามะดำ"
แบบว่า...อย่าเนียน,อย่าเนียน..รู้หรอกน่า...แบร่ๆ.. ..
|
|
|
|
|
22 ตุลาคม 2011, 10:06:PM |
รพีกาญจน์
กิตติมศักดิ์
คะแนนกลอนของผู้นี้ 3482
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 3,752
ทุกคนมีเครดิต แต่ทำลายได้ง่าย สร้างขึ้นใหม่ได้ยาก
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2011, 10:06:PM » |
ชุมชน
|
ฤามีมนตร์ ดลจิต ตราติดตรึง ลงกลางบึง หนึ่งหทัย จักใคร่เผย แดร็กร์คูล่าร์ มาล่อ เขี้ยวหล่อเลย คอยทรามเชย เปรยปรอบ เริ่มชอบใจ
ยามเดือนเพ็ญ เป็นทิวา ราตรีมืด หนังพังผืด ยืดรอ เอียงคอให้ เลือดลิ้นลุ้น อุ่นเขี้ยว โอ้..เสียวไป จินตนา พาไว้ หวั่นไหวกลัว
รัตนาวดี
ฮู...Hooo.... "แดร็กร์กูลาร์ บ้ากาม" นามอสูร ยองหละปูน ฟ้ามาร ขานกันทั่ว รูปหล่อล่ำ จำศีล กินนมวัว เดี๋ยวนี้มั่ว ดูดเลือด เหือดแห้งกาย
เจาะสาวไทย วัยมัน พันธุ์ฝรั่ง ยามคลุ้มคลั่ง ตาปรือ มือสยาย รวบหัวลง องค์เอว เขวเท้าปลาย อันตราย จับได้ ต้องใส่กรง
บรื๋อ...
รพีกาญจน์ 59
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|