ปกติเรามักจะคุ้นกับกาพย์ยานีในลักษณะ อาขยาน
มูลบทบรรพกิจ
ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหลใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใสและปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
บทสวดมนตร์
บทสรรเสริญพระพุทธคุณ
องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธะสันดาน
ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคีบ่พันพัว สุวคนธะกำจร
องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆะกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
พร้อมเบญจพิธจัก- ษุจรัสวิมลใส
เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ
ลูกขอประณตน้อม ศิรเกล้าบังคมคุณ
สัมพุทธการุญ- ยภาพนั้นนิรันดร ฯ
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
และที่จับใจมากๆก็เห็นจะเป็น บทกวีเพื่อชีวิต
อิศาน
ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบบ่รอซึม
แดดเปรี้ยงปานหัวแตก แผ่นดินแยกอยู่ทึบทึม
แผ่นอกที่ครางครึม ขยับแยกอยู่ตาปี
มหาห้วยคือหนองหาน ลำมูลผ่านเหมือนลำผี
ย้อมชีพคือลำชี อันชำแรกอยู่รีรอ
แลไปสดุ้งปราณ โอ! อิศาน ฉะนี้หนอ
คิดไปในใจคอ บ่คอยดีนี้ดังฤา?
พี่น้องผู้น่ารัก น้ำใจจักไฉนหือ?
ยืนนิ่งบ่ติงคือ จะใครได้อันใดมา?
เขาหาว่าโง่เง่า แต่เพื่อนเฮานี่แหละหนา
รักเจ้าบ่จาง ฮา แลเหตุใดมาดูแคลน
เขาซื่อสิว่าเซ่อ ผู้ใดเน้อจะดีแสน
ฉลาดทานเทียมผู้แทน ก็เห็นท่าที่กล้าโกง
กดขี่บีฑาเฮา ใครนะเจ้า? จงเปิดโปง
เที่ยววิ่งอยู่โทงโทง เที่ยวมาแทะให้ทรมาน
รื้อคิดยิ่งรื้อแค้น ละม้ายแม้นห่าสังหาร
เสียตนสิทนทาน ก็บ่ได้สะดวกดาย
ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย คือเลือดหลั่ง! ลงโลมดิน
สองมือเฮามีแฮง เสียงเฮาแย้งมีคนยิน
สงสารอิศานสิ้น อย่าซุด, สู้ด้วยสองแขน!
พายุยิ่งพัดอื้อ ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อิศานนับแสนแสน สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ?
“นายผี” อัศนี พลจันทร
เปิบข้าว
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจินต์
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง .และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
จิตร ภูมิศักดิ์
บทเพลงแห่งปีศาจ
เสียงโหยเสียงไห้มี่ คือเสียงผีที่วู่โหวย
สมโภชอึงโอดโอย ล้อลมหนาวระร้าวรุก
นครจะได้ยาก และบางจากจะได้ทุกข์
ปากพนังจะสนุก ตะลุมพุกจะเป็นวัง
ลมบ้าทรหวล ชะเลครวญสะพัดควั่ง
เพลงพล่านบันดาลดัง ประเลงฟ้าและฝากดิน
พื่น้องผองเพื่อนเอ๋ย แลสิเหวยด้าวทักษิณ
ละโหยละไห้ยิน ประหึ่งเปรตทุเรศไทย
ในฟ้าชระอับฝน ในดินดลชลาลัย
เสียงดหยและเสียงไห้ คือกาพย์กลอนมากล่อมชน
ความตายคือเพื่อนผี ระเริงรี่ระริกหน
น้ำตาเต็มหล้าล้น ตวงล้างทักษิณายัน
เสียงกู่แห่งปีศาจ ประชุมญาติพี่น้องผัน
ทระหึงทระหวงกัน ซร้องประคัลภ์ประโคมรุก
นครจะได้ยาก และบางจากจะได้ทุกข์
ปากพนังจะสนุก ตะลุมพุกจะเป็นวัง
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
อาจเนื่องเพราะคณะของกาพย์ยานี มีท่วงทำนองที่กระแทกกระทั้นอารมณ์ได้ดี และเมื่อประกอบกับอัจริยะของกวีที่เลือกใช้การสัมผัสอักษรและเสียง จึงทำให้กาพย์ยานีในบทบาทของกวีเพื่อชีวิตมีความไพเราะบนความเข้มข้นนักหนาปานนั้น
แต่จะได้ผลเช่นเดียวกันหรือไม่ หากนำมารจนาในบริบทแห่งความหอมหวานของความรัก?
อาจมีกวีหลายท่านเคยกระทำไว้ แต่ด้วยความรับรู้อันน้อยนิดของผมจึงยังนึกไม่ออกในขณะนี้
พรายม่าน
สันทราย
๒๘.๐๓.๕๔