**วลีลักษณา-อักษรารำพัน**
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
24 พฤศจิกายน 2024, 05:58:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: **วลีลักษณา-อักษรารำพัน**  (อ่าน 5210 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
06 ตุลาคม 2010, 05:29:PM
อักษรารำพัน
Special Class LV3
นักกลอนผู้มากผลงาน

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 84
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 120



« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2010, 05:29:PM »
ชุมชนชุมชน

๐ เวิ้งฟ้ากว้างพร่างพรายแดดสายสาด
ต้องหยดหยาดแวววาวคล้ายดาวใส
ร้อนแดดยามแผดลงคงคายไอ
แพรเพชรไหวที่วาบคือภาพลวง

๐ เพียงได้ชื่นยามเช้าแล้วเศร้า,สาย
น้ำค้างพรายพรมผกาจากฟ้าสรวง
พรากช่อแล้วชื่นมาลย์รานหยดยวง
คล้ายดั่งทรวงแห้งแล้งสิ้นแรงแล้ว
(วลีลักษณา)

๐ ยามรักหวานกานท์กลอนอ่อนหวานนัก
ยามเมื่อรักหักคลอนกลอนเริ่มแผ่ว
เมื่อความเหงาเข้าเสริมเริ่มฉายแวว
ออกเป็นแนว..กลอนโศกวิโยคครวญ

๐ ทั้งรันทดหดหู่ดูย่อท้อ
ทั้งตัดพ้อต่อว่าครากำสรวล
ทั้งหญิง-ชายหมายฝันอันรัญจวน
กลับเซซวนป่วนปั่นยามฝันกลาย
(อักษรารำพัน)

๐ เพราะภาพฝันเย้าหยอกหลอกให้หลง
ยากดำรงรูปพรางจึงจางหาย
จะเอื้อมคว้าก็คว้างไร้ร่างกาย
ไม่อาจหมายภาพเร้นให้เป็นจริง

๐ เมื่อภาพลวงพ่วงพันในฝันหวาน
ย่อมล่มลาญยามตื่นคืนทุกสิ่ง
เช่นกลอนกานท์ผ่านให้ใช่ว่าติง
เพียงได้อิงจินตภาพที่วาบพราย
(วลีลักษณา)

๐ อันรูปรอยถอยห่างอาจพรางได้
แต่รูปในกมลฤาพ้นหาย
จะประทับกับตนจนวางวาย
มิสลายหายลับกับห้วงกาล

๐ อยู่กับภาพอาบฝันในวันเก่า
อาจบรรเทาเหงากายคลายฟุ้งซ่าน
แต่เมื่อเงาเขานั้นอันตรธาน
ถึงดวงมานคลายเศร้ากลับเหงาทรวง
(อักษรารำพัน)

๐ มองท้องฟ้าเวิ้งว้างที่กว้างไกล
กับหัวใจเคว้งคว้างยามห่างหวง
แม้อดีตซึมซาบเหลือภาพลวง
ยังเหมือนบ่วงพ่วงพันสุดบั่นทอน

๐ ความเหงาเงียบเยียบเย็นไม่เว้นวัน
ยามพรากขวัญพรากหมายยากถ่ายถอน
แม้วันนี้คลายเศร้าที่เผา,รอน
หัวใจและอาวรณ์ยากผ่อนคลาย
(วลีลักษณา)

๐ เพราะความเหงาเร้ารุมเหมือนสุมเชื้อ
มาจุนเจือเชื้อไฟให้ขยาย
ถ่านใกล้ดับกลับคุประทุพราย
เหมือนประกายสายใยให้อาวรณ์

๐ แม้นตระหนักรักนี้ถึงที่สุด
มิอาจฉุดหยุดใจให้ถ่ายถอน
ยังจะหวงห่วงหาและอาทร
แม้ร้าวรอนนอนช้ำกับน้ำตา
(อักษรารำพัน)

๐ ปล่อยอดีตซีดจางเลือนรางทิ้ง
แม้จะยิ่งเหงาหงอยละห้อยหา
ด้วยเหตุการณ์ผ่านล่วงห้วงเวลา
ไม่เหลือค่าเคยซึ้งติดตรึงใจ

๐ แม้เส้นทางข้างหน้าจะว้าเหว่
สุดถ่ายเทอาวรณ์ให้ผ่อนได้
จำกล้ำกลืนฝืนทนความหม่นใน-
ห้วงหทัยไหวหวั่นให้บรรเทา
(วลีลักษณา)

๐ เพียงพลัดพรากจากไกลใช่ลาจาก
เพียงย้ำฝากรักไว้มิให้เฉา
เพียงหมายใจใกล้ชิดนิจแนบเนา
เพียงหมายเฝ้าคลอซึ้งด้วยหนึ่งนาง

๐ เธอ..คือหนึ่งตรึงฤดีที่หมายมั่น
เธอคือฝันอันจรุงครารุ่งสาง
เธอคือจันทร์วันเพ็ญเด่นนภางค์
เธอคือดาวพราวพร่าง ณ กลางมาน
(อักษรารำพัน)

๐ โอ้เจ้าช่อมาลียามคลี่กลิ่น
หอมรวยรินโลมไล้ให้ชื่นหวาน
ขอผ่านล่วงล้ำลงตรงแดดาล
เพี่อสอดสานเป็นบ่วงแล้วพ่วงคล้อง-

๐ ผูกอีกทรวงแน่นหนาเกินกว่าเคลื่อน
แล้วผันเลื่อนเวียนพบประสบสอง
ไม่พลัดพรากจากกันมั่นประคอง
เป็นคู่ครองแนบชิดนิจนิรันดร์
(วลีลักษณา)

๐ เพราะฤดีสี่ห้องร่ำร้องหา
ทุกเวลาพาซึ้งคะนึงฝัน
เป็นโซ่ทองคล้องเกี่ยวยึดเหนี่ยวพัน
มุ่งหมายมั่นฝันชื่นให้ยืนยาว

๐ แม้หนาวเหน็บเจ็บนักที่กักเก็บ
หัวใจรักอักเสบจนเหน็บหนาว
ยังถวิลจินต์หมายตะกายดาว
ท่ามฟ้าพราวหาวห้อมอย่างพร้อมใจ
(อักษรารำพัน)

๐ รักแท้ใช่เพียงฝันต้องฟันฝ่า
อุปสรรคนานาอย่าหวั่นไหว
แม้มั่นคงก้าวย่างสู่ทางไกล
ย่อมคว้าได้สักครั้งที่หวังปอง

๐ อาจเหน็จเหนื่อยเมื่อยล้าคราทุกข์เศร้า
หรือเงียบเหงาเศร้าซมระทมหมอง
แต่ย่อมมีวันที่ฟ้าสีทอง
ให้ได้ครองสุขสมภิรมย์มาน

๐ เจ็บครั้งหนึ่งซึ้งค่าว่าเคยรัก
แม้สั้นนักยามชื่นระรื่นหวาน
แต่หมองหม่นทนเหงาเศร้าแสนนาน
พรากสิ้นความชื่นบานจนผ่านคล้อย

๐ แผ่วพลิ้วลมพรมรื่นไล้ผืนน้ำ
หรือหวนซ้ำสู่ขวัญอันยับย่อย
เมื่อใจหนึ่งเคยช้ำเกรงซ้ำรอย
อาจเศร้าสร้อยโศกตรมจนซมซาน
(วลีลักษณา)

๐ เมื่อใจปลงหลงทางจนร้างฝัน
ความสุขสันต์วันก่อนก็ย้อนผ่าน
ดวงใจนั้นพลันแตกจนแหลกราญ
ลำนำกานท์ผ่านพ้นสิ้นมนตรา

๐ เคยรำพึงถึงกันเมื่อวันก่อน
ร่ายอักษรกลอนรักสลักหา
กลอนกล่อมขวัญวันนี้ไม่มีมา
ตำนานรักอักษรามาสิ้นมนต์

๐ ยังเศร้าหมองครองโศกวิโยคนัก
เหมือนสลักหักคาอุราหม่น
ยามเจ็บช้ำกล้ำกลืนต้องฝืนทน
ความทุกข์ท้นล้นหลากจนยากปลง

๐ ยามลมหวนทวนหอบหรือตอบถ้อย
ให้คนคอยน้อยใจอาลัยหลง
จะหยิบจับกลับกลายสลายลง
ไม่ดำรงคงมั่นเพียงฝันไป

๐ แม้ต้องครวญหวนไห้อาลัยรัก
เมื่อประจักษ์ภักดิ์นั้นยังสั่นไหว
แม้ระกำช้ำหมองครองฤทัย
เจ็บเพียงไรใจหนอยังขอทน
(อักษรารำพัน)

๐ เมื่อลมหวลชวนฝันสัมพันธ์ต่อ
ควรรีบก่อรูปรอยแล้วคอยผล
สูดความหอมโหยหาความน่ายล
อย่าร้อนรนคิดไปจนใจหมอง

๐ ฟ้ายังมีวันดับสูรย์อับแสง
แล้วกลับแจ้งเรืองเรื่ออุ่นเอื้อผอง
ย่อมมีวันที่หวังสมดังปอง
ได้ครอบครองสิ่งหมายสู่ปลายทาง
(วลีลักษณา)

๐ อยากได้พบสบฝันในวันหนึ่ง
แม้ได้ซึ้งตรึงอยู่เพียงตรู่สาง
ยังหมายปองลองรักมิพักจาง
แม้เลือนรางทางฝันมิหวั่นทน

๐ สำเนียงแผ่วแว่วหวานอาจขานขับ
ให้สดับรับฟังอีกครั้งหน
ปล่อยเรื่องเศร้าร้าวรานผ่านกมล
สู่วังวนมนต์รักแม้สักครา
(อักษรารำพัน)

๐ ยามทุกข์ทนหม่นเศร้าใครเล่ารู้
ยังต่อสู้เติมใจที่ใฝ่หา
อาจเจ็บช้ำจำฝืนกลืนน้ำตา
แม้สุดคว้าจะค้นหมายด้นดึง

๐ เพียงตั้งมั่นสานฝันแล้วฟันฝ่า
รอเวลาก้าวไกลเพื่อไปถึง
ใช้เรี่ยวแรงแห่งหวังตั้งคำนึง
เพื่อสิ่งหนึ่งใจปองได้ครองเธอ
(วลีลักษณา)

๐ หากเดือนดาวพราวฟ้าคอยพาฝัน
แม้ว่ามันหวั่นไหวเพียงใจเผลอ
ฝันคงไม่ไกลมากจนยากเจอ
ให้หม่นเก้อเดียวดายสู่ปลายทาง

๐ เมื่อห้วงหาวดาวเดือนยังเกลื่อนฟ้า
ใคร่ครวญหาคว้าไขว่ไว้เคียงข้าง
แต่นับวันฝันเหมือนยิ่งเลือนลาง
ห้วงหาวกว้างร้างไร้ใจคำนึง
(อักษรารำพัน)

๐ ชีวิตว่างเย็นเยียบเงียบสงัด
คลื่นกรรมซัดพัดพาจนมาถึง-
สุดท้ายเหลือเพียงช้ำคอยย้ำตรึง
แล้วขีดขึงขมวดมัดรัดกลางทรวง

๐ หาคำไหนเทียบเคียงเสียงร่ำไห้
ที่กึกก้องข้างในใจทั้งห้วง
หาคำไหนเทียบเท่าเศร้าทั้งปวง
ฟ้าฝั่งสรวงรู้ไหมฉันไร้ดาว
(วลีลักษณา)

๐ อยากทอถักรักงามส่งข้ามฟ้า
ฝากจันทราฟ้าสรวงกลางห้วงหาว
มิหมายใจให้ชื่นอย่างยืนยาว
เพียงเมื่อคราวหนาวล่วงสู่ทรวงเรา

๐ หมายวันชื่นคืนหวานได้ซ่านสุข
ลืมเรื่องทุกข์ปลุกใจมิให้เฉา
ใจกระซิบวิบแว่วเพียงแผ่วเบา
ก็ล้างเศร้าเหงาไปจากใจแล้ว
(อักษรารำพัน)

๐ เกรงสลายหายลับกับกาลล่วง
เป็นลมลวงรื่นริ้วที่พลิ้วแผ่ว
เพียงภาพฝันบรรเจิดที่เพริศแพรว
กับเสียงแว่วคำครวญล้วนบอกรัก

๐ อาจลับเลยเลือนหมดสิ้นรสหวาน
แม้อ้อยตาลพาลขมระทมหนัก
คงหมองหม่นก่นเศร้าเหงายิ่งนัก
จะห้ามหักอย่างไรยามไม่เจอ...

๐ หรือ..หมายเพียงยั่วหยอกที่บอกฝาก
รัก..นั้นจากดวงขวัญมั่นเสมอ
จริง..ใจหรือแค่เพียงเสียงละเมอ
แท้..อาจเผลอด้วยเหงาคอยเร้ารุม

๐ รัก..ปลายลิ้นยินผ่านแล้วพาลหาย
จาก..พรากกายคลายคำคงช้ำสุม
ปาก..เว้าวอนอ้อนภักดิ์ ว่ารักรุม
ชาย..หนอกรุ้มกริ่มนักยามทักนวล
(วลีลักษณา)

๐ หมู่มาลีมีภมรว่อนแห่ห้อม
ด้วยหมายชมดมดอมความหอมหวล
เฉกนารีมีชายหมายเชยชวน
ความเย้ายวนชวนชิดแม้ปลิดปลง

๐ ว่า......หอมเอย หอมกลิ่น มิสิ้นสุด
สองแก้มนุชผุดผ่องจนต้องหลง
ดั่งกุหลาบแรกแย้มแก้มอนงค์
สักคราลงจุมพิตสนิทใจ

๐ ว่า......นวลเอ๋ย นวลปราง ช่างงามสม
หมายเด็ดดมชมชิดพิสมัย
ก็กลัวว่าแก้มน้องต้องหมองไป
จะปล่อยไว้ใจหนอก็เสียดาย

๐ อันแก้มช้ำ-ช้ำไปเพราะใครอื่น
คงขมขื่นฝืนใจไม่รู้หาย
หากแก้มน้องต้องช้ำถูกกล้ำกราย
ด้วยมือชายให้เป็นพี่คนนี้นะ
(อักษรารำพัน)

๐ เป็นภู่ผึ้งพึงเพียงเคียงดอมด่ำ
เพื่อชื่นฉ่ำช้ำพอแล้วก็ผละ
ยามลุ่มหลงเวียนเชยไม่เคยละ
เป็นสัจจะธรรมจริงกว่าสิ่งใด

๐ อ้อนออดคำพร่ำวอนอ่อนหวานนัก
คำว่ารักนำหน้ากว่าคำไหน
ที่เอ่ยออกเน้นยิ่งจริงจากใจ
แต่เป็นไปชั่วคราวไม่ยาวนาน

๐ อย่าให้ช้ำเพราะใครให้เพียงพี่
พูดง่ายดีฟังดูเหมือนชูหวาน
หากหลงลมขมไหม้จนใจราน
อาจสิ้นปราณรานทรวงเกินทวงคืน
(วลีลักษณา)

๐ ไยตัดพ้อต่อคำให้ช้ำชอก
มิกลับกลอกหลอกเล่นเช่นเขาอื่น
รักพี่ชายหมายหวังให้ยั่งยืน
ร้อยพันขื่น ฤา เท่า ที่เจ้าเมิน

๐ หากที่พร่ำคำย้อนเพียงอ้อนออด
ทำเง้างอดเพียงลบเกลื่อนกลบเขิน
ความเอียงอายคล้ายนวลหมายชวนเชิญ
พี่ยอมเพลินเดินสู่ประตูใจ

๐ แม้เป็นบ่วงลวงล่อมิขอกลับ
จะยอมรับกับดักมิผลักใส
พร้อมเผชิญเดินรุกฝ่าบุกไป
ยอมหมกไหม้ในนรก"อ้อมอกเธอ"
(อักษรารำพัน)
ข้อความนี้ มี 14 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
06 ตุลาคม 2010, 05:57:PM
ทอฝัน
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 455
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,502

...ทอฝัน ขะรับ...ทอฝัน...!!!


« ตอบ #1 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2010, 05:57:PM »
ชุมชนชุมชน


 ดีใจจนคลั่ง อารมณ์ดีร้องเพลง โอว...น่ารักมั่กๆ กรี๊ดดๆ ตาวิ๊งๆ ขอโทษคร๊าบบ ปลื้มจัง ขำก๊าก
...........................................//ทอฝัน
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หัวโขมย...เรียงร้อยจากห้วงใจ มิตรภาพยิ่งใหญ่ ไร้กาลเวลา
06 ตุลาคม 2010, 08:29:PM
ดิษฐา
ผู้ดูแลทุกบอร์ด
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 200
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,067



« ตอบ #2 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2010, 08:29:PM »
ชุมชนชุมชน


ตาผ่าวร้อนย้อนคิด ให้อิจฉา
อักษราฯ ล่าใจ ให้ใครเพ้อ
วลีหวานขานอ้อน อ่อน , ละเมอ
สาวอาจเก้อเพ้อพบ สยบยอม

ชั่งเก่งกาจสาดคำ ลำนำเด่น
วลีเร้นเย็นจิต เฝ้าพิศ หอม
ทั้งหวานหยดรดริน แทบสิ้นตรอม
ใจคงหลอมน้อมรับ สดับวาง

คนอะไร..แต่งกลอนเก่ง จริงๆ ..นับถือๆ  ยิ้มแก้มแดง

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
12 ตุลาคม 2010, 11:55:PM
อักษรารำพัน
Special Class LV3
นักกลอนผู้มากผลงาน

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 84
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 120



« ตอบ #3 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2010, 11:55:PM »
ชุมชนชุมชน

๐ เพียงได้พบแล้วพรากเพื่อฝากแผล
ดังถูกแส้โบยส่งสิ้นสงสาร
กระหน่ำซ้ำสาสมจนซมซาน
เพื่อล่มรานด้วยร้าวเมื่อคราวร้าง

๐ ปล่อยคืนวันผันวนผ่านพ้นหวัง
เคยสุมสั่งคล้ายแสงแห่งรุ่งสาง
มืดดับแล้วพรายรุ้งยามเลือนราง
ย่อมอ้างว้างว่างวาบตราบวางวาย....
(วลีลักษณา)

๐ ตะวันรอน ผ่อนแสง อ่อนแรงล้า
พร้อมน้ำตา ราดริน มิสิ้นสาย
เหลือเพียงใจ บางเบา เหงากับกาย
ที่สลาย กับกาล เนิ่นนานเนา

๐ ยังประทับ กับฝัน วันฟ้าสวย
คงพอช่วย ปลอบขวัญ ในวันเหงา
เรื่องความหลัง ยังเห็น เป็นภาพเงา
อาจบรรเทา ทุกข์เหลือ ให้เจือจาง....
(อักษรารำพัน)

๐ เพียงเงาภาพทาบทรวงเป็นบ่วงคล้อง
อาจจำจองพ้องกันแต่หวั่นหมาง
กับรูปรอยแฝงเร้นเช่นภาพราง
คงไม่ต่างความฝันอันเลื่อนลอย

๐ กลับจะทุกข์ถาโถมโหมกระหน่ำ
หากถลำหลงเงาจนเศร้าสร้อย
และจะยิ่งทรมานกับการคอย
เหมือนฝากรอยแผลร้ายจวบวายปราณ....
(วลีลักษณา)

๐ หนามสะกิด นิดเดียว ที่เรียวก้อย
แล้วค่อยค่อย ลามแผล จนแผ่ซ่าน
แต่แผลกาย หายได้ ในไม่นาน
ยากสมาน สานแผล เกิดแก่ใจ

๐ หวังเพียงฟื้น ตื่นมา ครารุ่งสาง
แผลใจจาง ล้างข่ม อารมณ์ไหว
ทีปักลึก ผนึกแน่น ถึงแก่นใน
เพื่อรอฝัน วันใหม่ ไว้เชยชม....
(อักษรารำพัน)

๐ หากรู้เท่ารู้ทันยามฝันชื่น
เพียงปลุกใจเต็นตื่นคลายขื่นขม
ยอมรับรสพจน์หวานผ่านอารมณ์
แล้วเก็บบ่มความฝันนั้นแนบใจ

๐ ที่ห้วงลึกแดดาลอันหวานซึ้ง
ย่อมตราตรึงรอยรูปอยู่วูบไหว
และย่อมรู้รูปนั้นเพียงฝันไป
หาดังใช่สิ่งหวังที่ยั่งยืน....
(วลีลักษณา)

๐ แต่เมื่อหวัง ยังไม่ ไร้จนสิ้น
ยังถวิล รักหมาย คลายขมขื่น
แม้เคยพลั้ง พังยับ กับวันคืน
ยังหมายชื่น ฝันใหม่ ใครสักคน

๐ แม้ระโหย โรยแรง แทบแห้งเหือด
ถึงโดนเชือด เลือดหลั่ง กี่ครั้งหน
อดีตเจ็บ เหน็บหนาว ร้าวกมล
มิจำนน ค้นหา รักมาเคียง....
(อักษรารำพัน)

๐ คือดิ้นรนแห่งใจจะไขว่คว้า
ปรารถนายามหลากก็ยากเลี่ยง
ยังวาดหวังมีใครไว้ร่วมเรียง
แม้เป็นเพียงภาพฝันไม่หวั่นคอย

๐ จะกี่ครั้งกี่คราวที่หนาวเหน็บ
จะกี่เจ็บฤๅจะจำแม้ช้ำ, บ่อย
หรือกี่คราลาร้างจืดจางรอย
แม้เพียงน้อยรอยหวานให้ผ่านเยือน....
(วลีลักษณา)

๐ แม้ผ่านร้อน ย้อนหนาว กี่คราวครั้ง
ภาพความหลัง ครั้งอคีต ตามกรีดเฉือน
ถึงจะเจ็บ เหน็บนัก ยามรักเลือน
ยังแชเชือน หารัก พิงพักใจ

๐ ต้องตรอมตรม ซมซาน มานานนับ
ใจประทับ กับรอย แผลน้อยใหญ่
ยังไม่ล้า ราโรย หาโหยใคร
มารักษา แผลใน หัวใจตัว....
(อักษรารำพัน)

๐ เพราะหลายครั้งหลายคราวที่ร้าวรัก
คงเจ็บหนักจักผสานก็รานทั่ว-
ทั้งอกใจโดนเค้นจนเต้นรัว
คงน่ากลัวแท้เทียวจะเยียวยา

๐ ปล่อยลาลับกับกาลให้ผ่านพ้น
ความหมองหม่นใช่จักต้องรักษา
ไม่ช้านานผ่านล่วงที่ลวงตา
จะพบว่าแสงสว่างยังพร่างพราย....
(วลีลักษณา)

๐ เวลากลบ ลบเลือน ได้เหมือนว่า
คล้ายกับยา มาล้าง ให้จางหาย
แผลในใจ ใหญ่น้อย อาจพลอยคลาย
ดีกว่าหมาย ตะกายฝัน อันวังเวง

๐ ฝันใดเล่า เท่าฝัน วันสิ้นโศก
อยู่ในโลก ที่ไร้ ใครข่มเหง
แม้นมิอาจ ฝืนห้าม ความวังเวง
กอดตัวเอง ดีกว่า หาใครควง....
(อักษรารำพัน)

๐ ฝันใดเล่าเท่าฝันในวันเหงา
เพียงมีเงาเป็นเพื่อนเหมือนคอยหวง
มีพจน์หวานดังตาลผ่านสู่ทรวง
อื่นใดปวงฤๅล่วงห้วงคะนึง

๐ เสียงขลุ่ยคลอยามค่ำแสนฉ่ำหวาน
แทนคำขานเคยถามยามคิดถึง
เนิ่นนานแล้วแว่วเสียงเพียงรำพึง
เก็บความซึ้งซ่อนอยู่ไม่รู้เลือน....
(วลีลักษณา)

๐ เสียงขลุยแผ่ว แว่วครา ยามฟ้าหลัว
ช่างหมองมัว หัวใจ หาใดเหมือน
เสียงขลุ่ยครวญ หวนช้ำ มาย้ำเตือน
รอยอดีต กรีดเฉือน ย้อนเยือนตน....
(อักษรารำพัน)

๐ จันทร์เจ้าแฝงดวงรางคล้ายพรางงาม
จนผ่านยามราตรีทีมัวหม่น
ใจหนอยิ่งเย็นชืดมืดเสียจน
ห้วงเวหนห่างหายพรายดาวเดือน

๐ เพียงขลุ่ยครวญคล้ายปลอบและตอบรับ
จะคว้าจับรูปรอยก็คล้อยเคลื่อน
อยู่ท่ามกลางซ่อนเร้นเห็นรางเลือน
ยังแชเชือนเหมือนหลอกยั่วหยอกจินต์....
(วลีลักษณา)

๐ เมื่อจันทร์แจ่ม แย้มพราย หลังกรายหลบ
กลับไม่พบ หน้านวล ครวญถวิล
อยู่กับความ เหว่ว้า จนชาชิน
จนไร้สิ้น น้ำตา เคยบ่านอง

๐ เก็บความช้ำ คร่ำครวญ ในส่วนลึก
ปิดผนึก เอาไว้ ใต้ความหมอง
ลืมความสุข ทุกเสี้ยว เคยเกี่ยวดอง
แล้วไปมอง ท้องฟ้า สบตาจันทร์....
(อักษรารำพัน)

๐ เป็นจันทร์เพ็ญเด่นนวลให้หวนถึง
จะคว้าดึงย่อมได้เพียงในฝัน
มิไยที่เพ้อคำร่ำรำพัน
คงไร้วันที่หวังจะรั้งรอ

๐ คงหลุดลอยคล้อยเคลื่อนคล้ายเดือนลับ
โศกเศร้ากับอาวรณ์หากวอนขอ-
ให้เพ็ญจันทร์ผ่องพรายฉายแสง, ทอ
ประกาย ยอนวลพร่างลงกลางทรวง....
(วลีลักษณา)

๐ ล่วงอีกคืน ฝืนร่าง อย่างเหน็บหนาว
แสงเดือนพราว วาววับ ทาบทับสรวง
มีดาวแจ่ม แซมเห็น เป็นรุ้งรวง
งามโชติช่วง ห้วงฟ้า ดาราราย

๐ รักเคยสร้าง ทางฝัน อันเจิดจ้า
เหมือนนภา ราตรี มีจันทร์ฉาย
เมื่อโรยรา พาคว้าง อย่างเดียวดาย
เหมือนจันทร์กราย ย้ายเคลื่อน สู่เดือนแรม....
(อักษรารำพัน)

๐ ยามเดือนแรมรูปเรียวซีดเซียวหม่น
แต่เกลื่อนหนด้วยดาวยังพราวแต้ม
คืนผ่านพ้นวนวันจวบจันทร์แย้ม
เพ็ญกลับแจ่มกลางหาวอีกคราวครั้ง

๐ ต่างจากแสงข้างในที่ใจนั่น
กลับนับวันมัวหม่นจนสิ้นหวัง
ไร้วี่แววเรื่อรองส่องนวล,ดัง
ชีพไร้ฝั่งกลางมืดดับชั่วกัปกาล....
(วลีลักษณา)

๐ คืนเดือนแรม แก้มช้ำ น้ำตาไหล
สู้หมายใจ ได้ปอง ละอองหวาน
หวังครองคู่ ชูชื่น ยั่งยืนนาน
กลับร้าวราน รักลา ช่างน่าชัง

๐ จะกี่ปี กี่เดือน ดูเหมือนว่า
ใจที่ล้า รารอ หมายก่อหวัง
ถ้อยสัญญา ครานั้น ใจฉันยัง
เตือนให้ยั้ง รอคอย บนรอยเดิม....
(อักษรารำพัน)

๐ ได้ประจักษ์ในจิตซึ้งพิษรัก
ไม่หมายภักดิ์ผู้ได้มาไว้เสริม
เมื่อสิ้นแล้วไม่ขอรอต่อเติม
ไม่มีเริ่มไม่มีจบลบอาลัย

๐ มิเหลือใจแสนเจ็บไว้เก็บกัก-
ด้วยตรึงปักเงาหม่น..ยากพ้นได้
ยังมืดดำคล้ำเศร้าและเหงาใจ
จนไม่เหลือเยื่อใยมอบใครครอง

๐ สายเสียแล้วสายฝันเมื่อผันช่วง
ไม่อาจพ่วงพันให้หัวใจสอง
ได้สานเกลียวเหนี่ยวนำเข้าจำจอง
แม้หมายปองคล้องไว้ด้วยนัยเดียว

๐ แต่ว้าเหว่หวั่นไหวก็ไม่หยุด
เหมือนตามยุดฉุดเร้าด้วยเปล่าเปลี่ยว
แม้ว่ามานขาวซีดนั้นรีดเรียว
เกิดกว่าเกี่ยวสายฝันสู่วันไกล....
(วลีลักษณา)

๐ ดึกคืนนี้ มีดาว พร่างพราวแสง
แต่ฤาแข่ง แสงจันทร์ อำพันใส
ฟ้าสกาว พราวสวย โปรดอวยชัย
ช่วยเปลี่ยนใจ ใครหนึ่ง ซึ่งหมายปอง

๐ เธอถูกรัก หักอก จนหมกไหม้
เมื่อรักจาก พรากไป จนใจหมอง
แม้มีชาย หมายเมียง คู่เคียงครอง
ไม่แยแส แลมอง แม้ต้องตา

๐ ยังอาลัย ใจภักดิ์ ในรักเก่า
อยู่ใต้เงา เศร้าสร้อย ละห้อยหา
ทนอาวรณ์ นอนเดี่ยว เปลี่ยวเอกา
แม้เวลา จะผ่าน เนิ่นนานแล้ว

๐ วอนฟ้าสวย ช่วยให้ เผยใจนาง
ให้กระจ่าง พร่างพราย ประกายแก้ว
อาจบางที ที่.รัก จักฉายแวว
ให้เพริศแพร้ว อีกครา ใต้ฟ้างาม

๐ ทุกทำนอง สองเรา เคยก้าวผ่าน
ยังร้าวราน หวนไห้ เกินไหวหวาม
เมื่อนัยน์ตา มีน้ำ ผุดฉ่ำวาม
มิเหลือความ เข้มแข็ง แห่งดวงใจ.....(อักษรารำพัน)


๐ จะเริ่มรัก ถักฝัน นั้นแสนยาก
เพราะรอยบาก ถากลึก ผนึกให้-
ใจหมางเมิน เกินจัก คิดรักใคร
จมหมองไหม้ เหมือนดั่ง กำลังล้า

๐ เส้นขอบโค้ง ตรงนั้น ตะวันตก
ยังพลิกผก ตะวัน ผันเจิดจ้า
แต่ความรัก ที่ร้าง และห่างตา
มิกลับมา อีกแน่ รู้แก่ใจ

๐ ความทรงจำ ทำร้าย เวียนร่ายภาพ
และเจ็บปลาบ ทุกครั้ง เกินยั้งได้
คนหนึ่งพราก จากกัน พลันมีใคร
พร้อมก้าวไป สู่ฝัน ลืมกันแล้ว....
(หนูบัว)

๐ หากอีกใจยังคงดำรงมั่น
ไม่แปรผันวาดหวานแม้ผ่านแผ่ว-
เรียวรีดรอยพิศสวาทฤๅคลาดแคล้ว
กลับตรึงแนวบอบบางลงกลางทรวง

๐ ด้วยไม่อาจลบรอยที่คอยหลอก
ยังยั่วหยอกรุมเร้าให้เฝ้าหวง
รู้รักเช่นเสน่หา..แค่ค่าลวง
ยังติดบ่วงพ่วงพันสุดบั่นทอน

๐ เสียงเพรียกจากหัวใจไม่เคยหยุด
และยากฉุดเหนี่ยวรั้ง..สิ้นหวัง,ถอน
สลักนั้นตรึงมั่นนิรันดร
และคอยย้อนรอยย้ำทุกค่ำคืน

๐ จันทร์เจ้าเอยนวลใยที่ในฟ้า
เคยเจิดจ้าอาบผ่านบนมาน, ผืน
กลับกลายหมองหม่นคล้ำให้กล้ำกลืน
สิ้นแสงโสมโลมรื่น..เหลือขื่นทรวง….
(วลีลักษณา)

๐ ยินเสียงใจ บอกจันทร์ วันฟ้ากว้าง
ดูเหมือนนาง วางใจ มิใคร่หวง
ราวจะบอก ความใน ใจทั้งปวง
ว่าแดดวง หนึ่งนี้...มีผู้ใด

๐ หรือจะอำ ความนัย มิใคร่เผย
ก็เกินเลย อันมนุษย์ สุดวิสัย
ถนอมนวล ชวนชื่น รื่นฤทัย
หรือเกรงใจ ใครอื่น ที่ชื่นครอง

๐ แม้ใจนาง ร้างใคร ที่ใฝ่ฝัน
ขอผูกพัน มั่นอยู่ เป็นคู่สอง
กับโฉมงาม ทรามวัย ที่ใฝ่ปอง
ขอจับจอง ห้องใจ มิไคลคลา....
(อักษรารำพัน)

๐ สรวงฟ้าเอยเผยให้เพียงได้ฝัน
เพื่อใครนั้นเฝ้าคอยละห้อยหา
เพียงร่ำพากย์ฝากให้ผู้ไกลตา
ด้วยหมายตราตรึงขวัญเกี่ยวพันไว้

๐ โปรดรับรู้อาวรณ์อันอ่อนหวาน
ที่จดจารจากขวัญผู้ฝันใฝ่
โปรดรับรู้ห่วงหาและอาลัย
มอบจากใจคนเหงาคอยเคล้าคลอ....
(วลีลักษณา)

๐ ค่ำคืนนี้ มีดาว สกาวใส
มีหนึ่งใจ ใครหมอง ร่ำร้องขอ
ให้หนึ่งใจ ใครนั้น ที่ฝันรอ
กลับมาก่อ ทอฝัน เหมือนวันวาน

๐ คิดเอย คิดถึง คนึงนัก
มอบใจภักดิ์ รักเอย เคยหอมหวาน
หมายสลัก รักไว้ ให้แสนนาน
หากร้าวราน ซานซม ฤาสมควร....
(อักษรารำพัน)

๐ รวยรินรา- ตรีหอมรอบล้อมถิ่น
ให้โชยกลิ่นรื่นหวานผ่านลมหวน
ออในอกผู้ร่ำคำคร่ำครวญ
ว่ารักรวนแรมร้างจืดจางแล้ว

๐ เพื่อปลอบขวัญคนไกลผู้ไฝ่ฝัน
คลายไหวหวั่นอาวรณ์ให้ผ่อนแผ่ว
แม้หนึ่งหวังเลือนรางเคยพร่างแพร้ว
อย่าคลาดแคล้วอีกหวังจนพังครืน....
(วลีลักษณา)

๐ ถึงเพียงแม้ แค่ฝัน อันลางเลือน
มิแชเชือน ชะตา หากฟ้ายื่น
ขอหัวใจ..ได้ซึ้ง แค่หนึ่งคืน
แม้เมื่อตื่น ลืมตา รักราโรย

๐ เพียงปลายก้อย น้อยหนึ่ง ก็ซึ้งค่า
กับอุรา ครวญคร่ำ ร่ำหาโหย
เหมือนดินแห้ง แล้งหมาย พระพายโชย
พาฝนโปรย พรายพร่าง หลังร้างไกล....
(อักษรารำพัน)

๐ สายฝนหล่นจากฟ้าสู่หล้าโลก
ให้ชุ่มโชคใจฝันผู้หวั่นไหว
รื่นเย็นอยู่เช่นนั้นทุกวันไป
จวบพบใจอีกใจฝากให้กัน

๐ ที่แสนไกลสุดเหลียวจะเกี่ยวก้อย
เพียงเฝ้าคอยพบได้แค่ในฝัน
ยังสบตาฝากไว้ในเพ็ญจันทร์
เพื่อพ่วงพันสายใยเป็นนัยเดียว....
(วลีลักษณา)

๐ ระยะทาง หว่างฟ้า ใช่สาเหตุ
ถึงห่างเนตร เจตจินต์ มิสิ้นเหนี่ยว
หากผูกพัน มั่นหมาย มิคลายเกลียว
ให้สุดหล้า ฟ้าเขียว ยังเกี่ยวพัน

๐ แต่หากใจ ไม่มั่น ยังหวั่นไหว
ถึงอยู่ใกล้ ไม่ต่าง กับร้างฝัน
หากมั่นใน ใจสอง ที่คล้องกัน
ห่างเพียงไหน ไม่หวั่น สัมพันธ์เลือน

๐ ขอเพียงใจ แน่นหนัก ในรักนี้
ห่มฤดี ที่รัก ฤๅจักเลื่อน
จะลาร้าง ห่างหาย หลายปีเดือน
ก็อุ่นเหมือน อยู่ใกล้ แนบใจกัน

๐ แต่หากชัง หวังใกล้ กับไกลห่าง
เพราะจินต์สร้าง กำแพง แอบแฝงกั้น
เบื่อและหน่าย คลายรัก หักสัมพันธ์
นั่งมองกัน แต่ใจ ไงกลับชัง....
(อักษรารำพัน)

๐ ยากยิ่งนักแยกได้คำใครนั้น
หากสานต่อทอฝันก็หวั่นหวัง
จะจบสิ้นถวิลหาถึงคราพัง
จึงควรรั้งใจตน..อาจกลลวง

๐ ปล่อยเวลาเผยเร้นที่เป็นอยู่
ว่าควรคู่หรือไม่ ที่ใจหวง
อาจสิ้นลบจบไปไม่ถามทวง
จึงกันทรวงพ้นช้ำเข้ากล้ำกราย

๐ เกรงเจ็บช้ำซ้ำหนจนยากหัก
ยามสิ้นรักดังวันขวัญสลาย
หากหลงลมเพลี่ยงพล้ำกับคำชาย
อาจต้องตายทั้งเป็นโดนเข่นทรวง

๐ ฉันใดหนอเชื่อได้นะใจนั้น
หลอกให้ฝัน..ปั้นคำร่ำว่าหวง
พิสูจน์ได้อย่างไรว่าไม่ลวง
หวั่นช้ำทรวงยิ่งนักหากรักใคร....
(วลีลักษณา)

๐ หวังเอยหวัง ตั้งไว้ อย่าให้สิ้น
มิสมจินต์ เลยหรือ ฤา.ไฉน
เย็นน้ำค้าง ร่างสั่น หวั่นฤทัย
เฝ้าคอยใคร ให้กลับ ประทับทรวง

๐ เห็นน้ำค้าง พร่างพราย กลางสายหมอก
ราวเย้าหยอก หมอกพราย ก่อนหายล่วง
เมื่อตะวัน สาดแสง เต็มแดงดวง
ก็เกินหน่วง ห้วงฝัน อันพราวแพรว....
(อักษรารำพัน)
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s