ครวญครั่นครื้นพื้นโพยมพยับเมฆ
รุจิเรขพาดสายปลายหนหาว
เกล็ดน้ำหล่นกราดเกรี้ยวอยู่เกรียวกราว
ฝั่งฟ้าราวคลุ้มคลั่งแกล้งฝั่งดิน
ชั่วขณะก่อนจะฉายพรายเรื่อรุ้ง
เจิดจรุงดังแต้มแซมสีศิลป์
งดงามเบิกระบาย..สายลมริน
ชุ่มชื่นถิ่นฉ่ำเย็นเช่นที่เคย
มาณวกฉันท์ ๘
คราประทะพื้น กลืนปฐพี
แทรกธรณี คลายระอุร้อน
ร้าวขณะคิด จิตก็สะท้อน
โอ้อุระอ่อน จวนมนราน
ไร้พิรุณพรมพร่ำให้ฉ่ำชื้น
เหลือแต่ขื่นขมปร่าเกินกว่าเอ่ย
นานเพียงไหน? มืดดับจะลับเลย
ดังฟ้าเผยแสงทองผ่องอำไพ
กาพย์ยานี ๑๑
หนาวเหน็บที่เจ็บเนื้อ ยามสิ้นเชื้อมิเหลือใด
ชอกช้ำระกำใจ จะมีใครเข้าใจเรา
เดียวดายแทบวายชนม์ ย่ำอยู่บนความหม่นเศร้า
ร่างนี้มีเพียงเงา ที่คลอเคล้าคอยเข้าใจ
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
ถาโถมระทมทุกข์ สุขะรอนมิย้อนหวน
เหน็บหนาวก็ร้าวนวล ดุจะเงียบและเยียบเย็น
ดังคล้ายโพยมครา สุริยาละพรากเร้น
สิ้นดาวสกาวเพ็ญ มะนะมัวและมืดมน
กาพย์ยานี๑๑
ฝากสั่งฟ้าฝั่งสรวง ร่ายบำบวงรำบายถึง
หนหาวดาวดึงส์ บอกคำนึงจากหนึ่งใจ
ทุกข์ถมทับทวี จนสุดที่จะทนได้
ก่อนปราณจะรานไป ขอบาปใดสลายตาม