การเวก
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
22 พฤศจิกายน 2024, 04:21:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การเวก  (อ่าน 4841 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
18 มีนาคม 2010, 10:50:AM
deja
Special Class LV1
นักกลอนผู้เร่ร่อน

*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 27
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 79


http://book.truelife.com/publisher/เดชา-เวชชพิพัฒน


เดชา เวชชพิพัฒน์
« เมื่อ: 18 มีนาคม 2010, 10:50:AM »
ชุมชนชุมชน

“การเวก”
โดย เดชา เวชชพิพัฒน์
บทที่ ๑

ชีวิตพนักงานบริษัทคนหนึ่งเปลี่ยนไป
เมื่อวิญญาณพระเข้าสิง

เรื่องประหลาดนี้เกิดจากเรื่องน่าสลดใจ
เช้าตรู่วันหนึ่ง หลังออกบิณฑบาตเพื่อโปรดญาติโยม
ขณะกำลังข้ามถนนตรงสี่แยกเพื่อกลับวัด
พระสัจจาโดนรถกระบะขับเร็วชนเต็มแรง
เสียงดังจนทุกคนในบริเวณนั้นหันมอง
พ่อค้าแม่ขายหาบเร่แผงลอย
นักเรียนนักศึกษา
ข้าราชการ พนักงานบริษัท
หลายคนเห็นร่างของท่านกระเด็นไปอยู่ใต้ต้นการเวก
ไม่นานนักเลือดชุ่มจีวร
สีส้มกับสีแดงบาดตาบาดใจจนหลายคนเบือนหน้าหนี
กะโหลกของท่านเปิดออก สมองบางส่วนกระเด็นไปติดอยู่โคนต้น

ผ่านไปไม่กี่วัน
ครองสติ พนักงานบริษัทวัยยี่สิบห้าข้ามถนนตรงสี่แยกนี้
เขากำลังรีบไปทำงาน เห็นรถประจำทางกำลังออกจากป้าย
จึงก้าวเท้าอย่างเร่งรีบ
รถเครื่องสองล้อวิ่งสวนทางมา ตรงที่ว่างระหว่างทางเท้ากับรถคันนั้น
ไม่ว่าใครล้วนมองไม่เห็น
ไม่ว่าใครล้วนถูกเฉี่ยวชน
ครองสติกระเด็นไปนอนสลบตรงโคนต้นการเวก
ไม่นานนักมีคนนำเขาส่งโรงพยาบาล
วันนั้นเป็นวันแรกในรอบสามปีที่ครองสติขาดงาน
ทุกคนในที่ทำงานจึงกังวล ... อาจมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น
ครองสติเองรู้ดี มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา

“ตื่นได้แล้วโยม”
“ใคร” ครองสติถามในใจ กึ่งฝันกึ่งรู้ตัว
“อาตมาเป็นพระ พระสัจจา”
“พระสัจจา” ครองสติกล่าวทั้งๆที่หลับตา ขณะนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย
ทันใดนั้น เขาสะดุ้งตื่น
“ฟื้นแล้วๆ” มารดาครองสติร้องลั่น บิดายิ้มกว้าง
ทั้งคู่ต่างดีใจ เลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวรู้ตัว
“ลูกครอง ลูกครองของแม่” น้ำตาแม่ไหลหยดลงบนหลังมือ ครองสติลืมตา
“แม่ พ่อ” เขากล่าวทันทีที่เห็นหน้าบุปผการี

ครองสติพักรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ไม่นาน
แพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน
กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านไม่นานเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม
ตื่นเช้าไปทำงานบริษัท เลิกงานตอนค่ำ กลับบ้านนอน

นอกจากงานประจำ
ครองสติเป็นอาสาสมัครของสมาคมเพื่อนเพื่อชีวิต
สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตาย … ทางโทรศัพท์
ด้วยการให้ความเป็นเพื่อน เป็นผู้รับฟังปัญหา
ฟังโดยไม่ตำหนิ ไม่ตัดสิน ไม่วิจารณ์
ไม่แนะนำ ชี้นำ หรือสอนผู้โทรให้ทำเช่นโน้นเช่นนี้
เพราะการทำเช่นนั้นคือการลดศักยภาพของแต่ละบุคคล
หน้าที่ของอาสาสมัคร
กระตุ้นผู้โทรให้ระบายความคับข้องใจออกมามากที่สุด
ยิ่งมากเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น
เพราะเมื่อผู้โทรได้ระบายความคับข้องใจจนหมดสิ้น
ศักยภาพของเขาที่ลดลงไปถึงขึ้นฆ่าตัวตาย ... กลับเป็นปกติ
เขารักชีวิตเหมือนที่เคยรัก
ล้มเลิกความคิดฆ่าตัวตาย
ตามวัตถุประสงค์ของสมาคม
ฟื้นฟูศักยภาพในยามผู้โทรอ่อนแอ
แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว

“ผมอยากตายครับ ผมเพิ่งรู้ผลตรวจเลือด ผมติดเชื้อเอชไอวี”
วันนั้น ผู้โทรรายแรกของครองสติกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบเครือ
ครองสติทำหน้าที่ทันที ... ชวนคุยโดยไม่ตอกย้ำ “คุณแน่ใจหรือ”
ผู้โทรตอบเสียงเศร้า “แน่ใจสิครับ ผมตระเวณตรวจเลือดถึงสามที่
ทุกแห่งยืนยัน”
“อืม เจ้าหน้าที่แนะนำอะไรบ้าง”
“เหมือนๆกันครับ บอกว่าผมสามารถมีชีวิตเหมือนคนปกติ
บอกว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคที่เป็นแล้วตายอีกต่อไป เป็นเพียงโรคเรื้อรัง
รักษาสุขภาพให้ดี และเริ่มกินยาต้านไวรัสเมื่อถึงเวลา
แต่ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
ครองสตินิ่งเงียบ ขณะลังเลว่าจะพูดอะไรต่อ
บางสิ่งบางอย่างในตัวเขา บางสิ่งบางอย่างที่เขาควบคุมไม่ได้
ทำให้เขาพูดออกไป “ช่วยบอกหน่อยว่าทำไมอยากตาย”
ผู้โทรนิ่งเงียบ ครองสติหยิกแขนตัวเอง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ใคร ใครบังคับให้เขาพูดอะไรออกไป หรือว่าเขาเป็นบ้า
“ตอบมาสิว่าทำไมอยากตาย”
พระสัจจาใช้ร่างของครองสติถามย้ำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผมกลัว”
“กลัวอะไร”
“ผมกลัวตาย”
พระสัจจายิ้มอ่อนโยนก่อนกล่าวผ่านร่างครองสติ
“ทำไมจึงกลัวความตาย ในเมื่อมันเหมือนการเดินทางท่องเที่ยว”
ผู้โทรถามทันที “ผมไม่เข้าใจ ความตายคือการเดินทางได้อย่างไร”
พระสัจจาตอบ “ความตายคือการเดินทาง
เดินทางไปดินแดนที่เราไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น
เดินทางไปดินแดนที่ผู้คนจินตนาการไปสารพัด
เดินทางไปดินแดนที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเป็นเช่นไร
และที่ว่ากลัวนั้น จริงๆแล้วไม่ได้กลัวความตายหรอก
แต่เป็นความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก”
ครองสตินั่งตัวแข็ง เหงื่อซึมทั่วร่าง
ถึงตอนนี้ เขารู้ดีแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาอยากวางหูโทรศัพท์ลง รู้ตัวดีว่ากำลังทำผิดกฎสมาคม
แต่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายได้แม้แต่นิดเดียว
ผู้โทรกล่าวดังขึ้น “ถึงอย่างไรผมก็อยากตาย ผมอาย
ผมกลัวโดนรังเกียจ คนรัก เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง พ่อแม่
ทุกคนคงรังเกียจผม”
พระสัจจาตอบทันที
“ความอายและความกลัวโดนรังเกียจคือการเหยียดหยามชีวิต
อย่าลืมว่าเราเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่อใช้ชีวิต
ทุกคนต่างใช้ชีวิตไปตามแบบของตน
ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต
ไม่ว่าจากโลกนี้ไปด้วยสาเหตุใด
และไม่ว่าผลจากการใช้ชีวิตเป็นอย่างไร
จงภูมิใจที่ได้ใช้ชีวิต
อย่าปล่อยให้เงื่อนไขที่ตั้งโดยผู้ใช้ชีวิตแบบอื่น
มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตแบบเรา
ทุกชีวิตมีเงื่อนไขของมันเอง ทุกชีวิตมีศักดิ์ศรีของมันเอง
การเหยียดหยามผลจากการใช้ชีวิต
คือการเหยียดหยามทุกลมหายใจเข้าออก
ที่มีมาตั้งแต่เกิดจนตาย”
ผู้โทรตอบด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น
“หมายความว่า ผมควรยอมรับผลจากการใช้ชีวิตของผม”
“ต้องยอมรับ” พระสัจจาแก้แล้วกล่าวต่อ
“ต้องยอมรับและมีความสุขกับมัน”
“เป็นเพราะผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้วใช่ไหมครับ”
“เป็นเพราะมันเป็นทางเลือกเดียวของมนุษย์
ยอมรับผลจากการใช้ชีวิต โดยไม่ยึดติดกับกติกาหรือเงื่อนไขสังคม”
“แล้วคนอื่นล่ะ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีคนอื่นๆต้องคิดอย่างนี้หรือเปล่า”
“มนุษย์ทุกคนต้องยอมรับผลจากการใช้ชีวิต ทั้งดีและร้าย
มนุษย์ผู้อ่อนแอเท่านั้นที่กลัวผลจากการใช้ชีวิต
ในขณะที่ผู้กล้าหาญไม่กลัวผลจากการใช้ชีวิต
นักปีนเขาย่อมไม่กลัวตกเขา ขุนศึกย่อมไม่กลัวคมดาบ
กระทั่งนักโทษก็ไม่กลัวการประหารชีวิต ฉันใดฉันนั้น”
ผู้โทรกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างคนปลงตก
“ผมเข้าใจที่คุณพูดแล้ว ผมต้องอยู่กับมันให้ได้ ... ผลจากการใช้ชีวิต”
พระสัจจาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น
“ถูกต้อง ยอมรับมัน อยู่กับมัน โดยไม่ตีค่า ไม่ประเมิน”
ครองสติได้ยินเสียงผู้โทรถอนใจเบาๆ 
“ขอบคุณมาก แม้ว่าคุณช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น
แต่ผมยังไม่เข้าใจที่คุณพูดเท่าไรนัก ผมจะนำไปทบทวน”
“ด้วยความยินดี”
ทันใดนั้น ครองสติรู้สึกได้ว่าความเป็นตัวของตัวเองกลับคืนมา
อำนาจประหลาดที่ยึดร่างเขาหายไปแล้ว
ครองสติรีบกล่าวกับผู้โทรอย่างเป็นงานเป็นการ
“เรื่องต่อไปที่คุณต้องให้ความสนใจมากๆ
คือการดูแลตัวเองและการศึกษาเรื่องยาต้านไวรัส
คุณสามารถขอรายละเอียดได้จากสถานบริการต่างๆ”
“ขอบคุณมากครับ ผมศึกษาเรื่องเหล่านี้มาเป็นอย่างดีแล้ว”
กล่าวแล้วผู้โทรวางหูโทรศัพท์

วันนั้น ครองสติขอลากลับบ้านหลังปฏิบัติหน้าที่เพียงครั้งเดียว
ขณะอยู่ในห้องนอนเพียงลำพัง เขามีโอกาสได้พูดคุยกับพระสัจจา
“ท่านเป็นใคร เข้ามาสิงผมทำไม”
พระสัจจาตอบน้ำเสียงราบเรียบ
“อาตมาเป็นพระ พระสัจจา”
ครองสติอึ้งไปนานอึดใจ เขาคุ้นชื่อนี้
“ท่านเป็นพระ ท่านมาสิงผมทำไม”
“อาตมาไม่ได้ตั้งใจ โยมจำได้ไหม โยมโดนรถเฉี่ยวชน
โยมล้มลงตรงโคนต้นการเวกที่อาตมาสิงสถิตย์อยู่
ทันทีที่ศีรษะโยมกระแทกโคนต้นไม้ อาตมาโดนดูดเข้ามาอยู่ในตัวโยม”
“ไม่จริง ผมไม่เชื่อ”
“อาตมาเป็นพระ ไม่ผิดศีล”
ครองสติเม้มปาก “แล้วเมื่อไรท่านจะออกไปจากร่างผม”
“อาตมาไม่รู้”
“แต่ท่านเป็นพระ”
“อาตมาเป็นแค่พระรูปหนึ่ง”
“ท่านเป็นพระ ท่านต้องรู้อะไรมากกว่าผม”
“อาตมาอาจรู้เรื่องทางโลกและทางธรรมมากกว่าโยม
แต่อาตมาไม่รู้เรื่องปาฏิหาริย์”
ครองสติพยักหน้าช้าๆ “แต่ท่านไม่ควรยุ่งเรื่องทางโลก”
“โยมหมายถึงอะไร”
“ท่านยุ่งเรื่องการทำงานอาสาสมัครของผม”
“อาตมาเพียงปฏิบัติหน้าที่ของอาตมา ช่วยเหลือสัตว์โลก”
ครองสติกำหมัดแน่น
“แต่ท่านเป็นพระ สถานที่เดียวที่ท่านจะเทศนาสั่งสอนได้คือในวัด”
“ไม่จำเป็นหรอกโยม”
ครองสติถอนใจเฮือกใหญ่ พระสัจจากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“วันนี้โยมเหนื่อยมากพอแล้ว พักผ่อนเถิด”
ครองสติส่ายหน้า “แต่ผมยังไม่เข้าใจกระจ่างกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“โยม เรื่องบางเรื่องต้องใช้เวลามากกว่าการสนทนาเพียงคืนเดียว
วันนี้โยมเหนื่อยมากพอแล้ว พักผ่อนเถิด”
ครองสติไม่ทันกล่าวต่อ
พระสัจจากล่าวซ้ำประโยคสุดท้าย ... หลายครั้ง
ไม่นานนักเขาหลับไปอย่างง่ายดาย
ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
24 มีนาคม 2010, 12:59:PM
deja
Special Class LV1
นักกลอนผู้เร่ร่อน

*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 27
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 79


http://book.truelife.com/publisher/เดชา-เวชชพิพัฒน


เดชา เวชชพิพัฒน์
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 มีนาคม 2010, 12:59:PM »
ชุมชนชุมชน

บทที่ ๒

วันรุ่งขึ้น หลังมั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ขณะนั่งรถประจำทางไปทำงาน
ในความคำนึง ครองสติเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
ผู้ทรงศีล ... น่าเลื่อมใสศรัทธาต่อเมื่ออยู่ในวัด
ไม่ใช่อยู่ในตัวเขา
“คิดผิดแล้วโยม” พระสัจจาแย้ง
ครองสติเม้มปาก ตอบโต้อยู่ในใจ
“ท่านเป็นพระ ไม่ใช่ผี ท่านไม่น่ามาสิงผม”
พระสัจจาส่ายหน้าไปมาช้าๆอย่างเอือมระอา
“อาตมาเป็นพระหรือเป็นผีไม่สำคัญ
อาตมาอยู่ในวัดหรืออยู่ในตัวโยมไม่สำคัญ
เพราะวัดหรือตัวโยมเป็นแค่สื่อ
เหมือนรถประจำทางคันนี้ที่กำลังพาโยมไปสู่จุดหมาย
นั่นคือที่ทำงานของโยม
และที่สำคัญคืออาตมาอยู่บนโลกใบนี้
หน้าที่ของอาตมาคือช่วยคนบนโลกใบให้พ้นทุกข์
หน้าที่ของโยมคือทำงานหาเลี้ยงตน
ต่างคนต่างมีหน้าที่”
“แต่ท่านละสังขารแล้ว”
พระสัจจาถอนใจเบาๆ
“อาตมาเองอยากให้เป็นเช่นนั้น อาตมาอยากละจากโลกนี้
แต่อาตมาจนปัญญา หาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อาตมาไม่ได้ตั้งใจสิงโยม และอาตมาออกจากร่างโยมไม่ได้
แต่เมื่อมีโอกาสอยู่ในร่างโยมแล้ว อาตมาต้องทำหน้าที่ต่อ
ถ้าโยมเป็นอาตมา
ถ้าโยมตายไป โยมจะไปที่สมาคมหรือไม่
โยมจะทำงานอาสาสมัครที่โยมรักต่อหรือไม่
โยมจะล่องลอยไปปลอบประโลมจิตใจคนที่เคยโทรหาโยมหรือไม่
โยมจะล่องลอยไปปลอบประโลมจิตใจคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายหรือไม่
โยมช่วยตอบคำถามอาตมาด้วย”
ครองสตินิ่งเงียบ หลับตาลงช้าๆ พยายามตัดการสนทนา
กำหนดจิตอยู่ปลายจมูก
หายใจเข้า ... พุทธ หายใจออก ... โธ
พระสัจจาเงียบไป ไม่นานนักเขาถึงที่ทำงาน
ทุกค่ำวันศุกร์ แทนการสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
ครองสติเลือกทำงานอาสาสมัคร ... ด้วยความสบายใจ
จนกระทั่งพระสัจจาเข้ามาในชีวิตเขา
ครองสติปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกังวล
พระสัจจาจะวุ่นวายการเป็นผู้รับฟังที่ดีของเขามากน้อยเพียงใด

การปฏิบัติหน้าที่อาสาสมัครป้องกันการฆ่าตัวตายกำลังจะเริ่มขึ้น
ครั้งที่สองหลังพระสัจจาเข้าสิง
ครองสติมองโทรศัพท์ด้วยความกังวล
มองหน้าตนเองที่สะท้อนอยู่บนหูโทรศัพท์สีดำเป็นมันวาว
เพียงอึดใจเดียว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ครองสติรอให้สัญญาณดังสองครั้งจึงยกหูขึ้นรับ
“สมาคมเพื่อนเพื่อชีวิตสวัสดีครับ”
ปลายสาย ... เงียบ
“สมาคมเพื่อนเพื่อชีวิตสวัสดีครับ”
ครองสติกล่าวย้ำ น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น
ปลายสาย ... สะอึกสะอื้น
จากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงแหบเครือ
“คุณคะ ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
ครองสติทำหน้าที่อย่างฉับไว
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือครับ”
“สามีดิฉันค่ะ เอ่อ เขากำลังนอกใจดิฉันค่ะ”
“คุณแน่ใจหรือ”
“แน่ใจค่ะ”
“อะไรทำให้คิดเช่นนั้น”
“เขาเปลี่ยนไปค่ะ กลับบ้านดึกทุกวัน”
“มีอะไรอีกไหม”
“เรื่องเงินทองด้วยค่ะ เขาใช้เงินเก่งขึ้นมาก นอกจากนี้
เขามีท่าทางแปลกๆค่ะ ดูอารมณ์ดีและสดใสกว่าที่เคย”
“คุณคิดไปเองหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันรู้จักเขาดี คุณคะ ดิฉันจะทำอย่างไรดี
เราสองคนสร้างชีวิตสร้างฐานะมาด้วยกัน ถ้าเขาหักหลังดิฉัน
เอาเงินทองไปปรนเปรอคนอื่น ดิฉันคงไม่สามารถอยู่ต่อไปได้”
ปลายสาย ... สะอึกสะอื้น
“คุณกับสามีทำธุรกิจอะไร”
ครองสติทำตามหลักการของสมาคมฯ ... ชวนคุย
“ส่งกล้วยไม้ไปต่างประเทศค่ะ”
“ธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีนะคะ มีปัญหานิดหน่อย แก้ปัญหาได้
แต่ดิฉันไม่มีใจให้กับเรื่องนี้แล้วค่ะ”
“มีลูกด้วยกันไหม”
“มีค่ะ โตๆกันหมดแล้ว ทำงานบริษัททั้งสองคนค่ะ”
“พวกเขาช่วยคุณทำธุรกิจบ้างไหม”
“พวกเขาทำแต่งานที่อยากทำค่ะ ไม่เคยมาช่วยเหลืออะไรเลย
นี่เป็นอีกเหตุผลที่ฉันอยากตายค่ะ ทุกวันนี้เหมือนอยู่คนเดียวในโลก”
ครองสติถอนใจแบบไร้เสียง ยังไม่ทันทำหน้าที่ต่อ
พระสัจจาใช้ร่างเขาเป็นสื่อ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คิดว่าตัวเองกำลังหวงสามีหรือห่วงสมบัติ”
ครองสติใจเต้นแรงด้วยความโกรธ พระสัจจากำลังทำผิดหลักการ
ด้วยการใช้คำถามชี้นำ
แต่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายได้ นอกจากนั่งฟัง
“อะไรนะคะ”
“หวงสามี หรือ ห่วงสมบัติ”
“เอ่อ” แม้น้ำเสียงแสดงความงุนงง แต่ผู้โทรตอบคำถาม
“คิดว่า ทั้งสองประการค่ะ”
“ถ้าหวงสามีก็ไม่ต้องไปหวง ของทุกอย่างมีวันหมดอายุ
เวลาคุณซื้ออาหารสด ดูวันหมดอายุได้
แต่เวลาเลือกคนรัก แม้ไม่รู้วันหมดอายุ แต่รู้ว่ามันมีวันหมด”
“คุณ เอ่อ คุณหมายความว่าสามีเขาไม่รักดิฉันแล้ว”
ครองสติอยากตะโกนออกมาดังๆ
หยุดเสียที หลวงพี่หยุดเสียที ท่านกำลังทำผิดหลักการ
“ไม่ใช่แค่สามีไม่รัก ความรักที่คุณมีให้สามีก็หมดอายุไปนานแล้ว”
ปลายสาย ... หยุดสะอึกสะอื้น กล่าวเสียงเข้ม
“เอ๊ะ ทำไมคุณพูดแบบนี้”
“หมดรักแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นเพียงเถ้าธุลีแห่งอารมณ์
และความอาลัยอาวรณ์ทำให้ติดไฟถ่านก้อนใหม่
ด้วยไฟแห่งความห่วงกังวลในทรัพย์สมบัติ”
ครองสติ ... โกรธจนแทบทุบโต๊ะ
ปลายสาย ... กล่าวเสียงเข้มขึ้น
“คุณพูดอะไร คุณหาว่าฉันเห็นแก่เงินมากกว่าความรักงั้นหรือ”
“ความเห็นแก่ตัว ทำให้เห็นแก่สิ่งอื่น แทนสิ่งที่เสียไป
ความเห็นแก่ตัว ทำให้เห็นแต่เรื่องที่เคยทำให้มีความสุข
แทนเรื่องที่คิดว่ากำลังจะทำให้เป็นทุกข์”
ผู้โทรเงียบไปนานอึดใจก่อนกล่าว
“แล้วคุณจะทำอย่างไร ถ้าสามีฉันขนเงินไปให้ผู้หญิงอื่น”
“แล้วจะทำอย่างไร ถ้าสามีไม่ขนเงินไปให้ผู้หญิงอื่น”
“ถามบ้าๆ ฉันก็คงไม่กลุ้มใจจนฆ่าตัวตาย ไม่โทรมาที่นี่”
“สามีขนเงินไปให้ผู้หญิงอื่นหรือยัง”
“ยัง”
“ทำไม”
“เพราะฉันเป็นผู้คุมบัญชีทั้งหมด”
“แต่คนที่กำลังทุกข์ได้ขนเงินไปให้ผู้หญิงอื่นจนหมดสิ้นแล้ว”
“คุณว่าอะไรนะ”
“รู้ตัวไหมว่าได้ขนเงินไปให้ผู้หญิงอื่นจนหมดสิ้นแล้ว”
ปลายสาย ... เงียบไปนานอึดใจ ก่อนกล่าวเสียงอ่อนลง
“ฉันพอเข้าใจแล้วละว่าคุณหมายถึงอะไร ฉันตีตนไปก่อนไข้”
พระสัจจาถอนใจเบาๆ ครองสติรู้สึก ทั้งคู่ใช้ลมหายใจเดียวกัน
พระสัจจากล่าวเนิบนาบ
“ความวิตกกังวลเหมือนเชื้อโรคร้าย
เมื่อรับมันเข้ามาในจิตใจ
มันจะแพร่กระจายไปทำลายสติและความคิด
มันจะทำให้จิตใจอ่อนแอลงทีละน้อย
จนไม่สามารถป้องกันโรคทางใจต่างๆได้
จึงป่วยด้วยความหวาดระแวง” 
ปลายสาย ... เงียบไปนานอึดใจ ก่อนกล่าวปนสะอื้น
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมาก และขอโทษที่ขึ้นเสียงกับคุณ”
“ไม่เป็นไร”
“ว่าแต่ว่า ดิฉันจะทำอย่างไรจึงกำจัดเชื้อโรคร้ายออกไปจากใจได้”
“คุณต้องทำลายเงินที่มีอยู่”
“อะไรนะคะ”
“คุณต้องทำลายเงินที่มีอยู่”
“ดิฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร”
พระสัจจาตอบทันที
“เงินเป็นเงินเมื่อใช้เพื่อปัจจัยสี่
เงินเป็นความหลงเมื่อใช้อย่างฟุ่มเฟือย
เงินเป็นภาระเมื่อคุณสะสม
เงินเป็นความละโมบเมื่อกอบโกย
เงินเป็นความทุกข์เมื่อคุณห่วงหวง
เงินเป็นยาพิษเมื่อบริโภคผิดวิธี
ด้วยเหตุนี้ เงินจึงเปรียบเป็นหินแต่ละก้อนที่ใช้ปูทาง
แต่ทางนั้นไปนรกหรือสวรรค์
ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าของเงิน”
ปลายสาย ... กล่าวต่อทันที
“และดิฉันกำลังเดินไปนรก”
พระสัจจาไม่กล่าวตอบ
ปลายสาย ... สะอื้น
“ดิฉันจะทำลายเงินได้อย่างไร”
“จงเก็บเงินไว้ในที่ปลอดภัย แต่อย่าเก็บเงินไว้ในใจ”
ผู้โทรเงียบไปนานหลายอึดใจ
พระสัจจารู้ดีว่าผู้โทรสบายใจขึ้นแล้ว จึงคืนการควบคุมร่างกายให้ครองสติ
เขารีบคุยกับผู้โทร “คุณครับ คุณ ยังอยู่หรือเปล่า”
ผู้โทรกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้น
“ขอบคุณมากนะคะที่เตือนสติ ดิฉันสบายใจขึ้นมาก”
ครองสติลอบถอนใจ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจขอให้โทรมาอีก
ผมและเพื่อนๆในสมาคมยินดีเป็นเพื่อนรับฟัง”
“ค่ะ ขอตัวก่อนแค่นี้ก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
31 มีนาคม 2010, 12:44:PM
deja
Special Class LV1
นักกลอนผู้เร่ร่อน

*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 27
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 79


http://book.truelife.com/publisher/เดชา-เวชชพิพัฒน


เดชา เวชชพิพัฒน์
« ตอบ #2 เมื่อ: 31 มีนาคม 2010, 12:44:PM »
ชุมชนชุมชน

บทที่ ๓

วางหูโทรศัพท์ลงแล้ว
ครองสติจึงเริ่มสนทนากับพระสัจจา
ด้วยความนับถือ
ด้วยความสับสน
ความรู้สึกสองประการปนเป ... คลุมเครือ
แต่ความรู้สึกชัดเจนที่สุด ... ไม่พอใจ
“ท่านทำผิดหลักการของสมาคม”
พระสัจจาเงียบอยู่นานจึงกล่าว
“ผิดหลักการอย่างไร”
“การแนะนำสั่งสอนผู้โทร เป็นการลดศักยภาพของเขา
เหมือนให้เงินผู้ขาดแคลน ทำให้เขาเคยชินกับการขอ
ในที่สุดเขากลายเป็นขอทาน ไม่สามารถหาเลี้ยงตนเองได้
ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้
แต่หลักการของสมาคมคือทำให้เขารู้จักหาเงิน
ด้วยความรู้ความสามารถที่เขามี
ฟื้นฟูศักยภาพของพวกเขา ทำให้จิตใจเข้มแข็งมากขึ้น
ในที่สุด เขาสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง รู้ทันอารมณ์เศร้าของตนเอง”
พระสัจจาฟังแล้วตอบด้วยความใจเย็น
“คนที่เรากำลังช่วยเป็นคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย
อย่านำไปเปรียบกับผู้ขาดแคลนเงินทอง
พวกเขาไม่ใช่ผู้ขาดแคลนเงินทอง
พวกเขาคือรถยนต์ที่กำลังจะพุ่งลงเหว
เร่งเครื่องด้วยความรู้สึกไร้ค่า สับสน จนปัญญา
อาตมาพยายามห้ามล้อ
เพราะอาตมาเห็นปากเหวอยู่ตรงหน้า
แต่โยมพยายามลดความเร็ว
เพราะโยมเห็นปากเหวอยู่ไกลออกไป
ความจริงคืออะไร
คนกำลังจะฆ่าตัวตายนะโยม
ปากเหวอยู่ใกล้นิดเดียว โยมไม่เห็นหรือ
การห้ามล้อของอาตมา อาจทำให้รถเสียหลัก
อาจทำให้รถหมุนคว้าง อาจทำให้รถพลิกคว่ำ
แต่รถคันนั้นยังไม่ตกเหว
แต่การลดความเร็วของโยม อาจไม่ทันการณ์”
ครองสติเม้มปาก
บอกตัวเองว่ากำลังเจอคู่ปรับที่เหนือชั้นกว่ามาก
ขณะคิดถึงหลักการต่างๆที่อบรมมา
ขณะจะตอบโต้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ครองสติจึงทำหน้าที่ต่อ
เขารอสัญญาณดังสองครั้งเช่นเคย
“สมาคมเพื่อนเพื่อชีวิตสวัสดีครับ”
“สวัสดี ที่นั่นเป็นสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายใช่ไหม”
ครองสติรีบศึกษาผู้โทรจากน้ำเสียง ... ชายวัยสูงอายุ
“ใช่ครับ เราคือเพื่อนผู้รับฟังเรื่องไม่สบายใจ
ไม่ทราบว่าตอนนี้มีเรื่องอึดอัดใจอะไรครับ”
ผู้โทรหายเงียบไปครู่เดียวก่อนกล่าว
“ลูกชายคนเดียวของผม มันบอกว่าจะมาเยี่ยม
มันพูดแบบนี้หลายครั้งหลายครา แล้วมันก็ไม่มา
ผมไม่เจอหน้ามันเกือบสามปีแล้ว”
“เขาโทรมาบอกเหตุผลหรือเปล่าครับ”
ผู้โทรปล่อยโฮ ครองสติจึงรู้ตัวว่าพูดผิด ... อย่างมหันต์
ครองสติรีบเปลี่ยนประเด็น
“เขาทำงานอะไรครับ งานคงยุ่งมาก”
ได้ผล น้ำเสียงเปลี่ยนไป มีความกระตือรือร้นขึ้น
แม้เพียงนิดเดียว แต่เป็นสัญญาณของการยอมรับ
“มันทำงานบริษัท บริษัทโฆษณา
มันบ่นทุกครั้งที่ผมโทรไปว่างานยุ่ง ยุ่งจนลืมพ่อ
ตั้งแต่เมียตาย ผมคิดถึงมัน คิดถึงหลาน ผมเหงามาก
ผมโทรไปหามัน มันบอกว่าเสาร์อาทิตย์จะพาลูกเมียมาเยี่ยม
แล้วมันก็หายเงียบไป หลายครั้งแล้วนะคุณ
ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ผมอยากไปอยู่กับเมีย”
ครองสติรีบยกประเด็นอื่นขึ้นพูดคุย
“คุณอยู่แถวไหนครับ แล้วตอนนี้ทำงานอะไร”
“ผมเป็นอาจารย์ เกษียณแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
วันๆอ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ และเข้านอน”
ครองสติวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกของผู้โทร
เหงา รู้สึกตนเองไร้ค่า น้อยเนื้อต่ำใจ
จากหลักการของสมาคม ครองสติบอกตัวเอง
บอกตัวเองให้ชวนคุยเรื่องกิจกรรมคลายเหงา
บอกตัวเองให้ชวนคุยเรื่องการนำใช้ความรู้ความสามารถ
บอกตัวเองให้ชวนคุยเรื่องความทรงจำดีๆที่มีกับภรรยาและบุตร
แต่ยังไม่ทันทำตามที่บอกตัวเอง
พระสัจจากล่าวผ่านตัวเขา เหมือนเคย
“เป็นอาจารย์โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย”
ผู้โทรตอบทันที
“ผมเป็นอาจารย์โรงเรียน สอนชั้นมัธยมหก”
“ลูกศิษย์ที่จบไปแล้วมาเยี่ยนเยียนมากไหม”
“ร้อยละหนึ่งยังไม่ถึงเลยคุณ รุ่นหนึ่งมีสี่ห้าร้อยคน
พอถึงวันครู พวกมันโผล่กันมารุ่นละคนสองคน”
“ทำไม”
“ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมมันอาชีพเรือจ้าง
ส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่งแล้วเขาเดินจากไป”
พระสัจจากล่าวต่อทันที “เหมือนลูกชายใช่ไหม”
ผู้โทรเงียบไปนานอึดใจ ก่อนตอบเสียงแข็ง
“จะไปเหมือนได้อย่างไร ลูกศิษย์กับลูกในไส้มันจะเหมือนกันได้อย่างไร”
“ต่างกันตรงไหน”
“ลูกศิษย์มันเลือดเนื้อเชื้อไขคนอื่น ลูกในไส้มันเลื้อดเนื้อเชื้อไขผม”
“มีอีกไหม”
“สำคัญที่สุดคือเรื่องนี้”
“ถ้าเช่นนั้น ต่างกันตรงจุดนี้ แล้วเหมือนกันตรงไหนบ้าง”
“ความเหมือนหรือ ผมรักลูกศิษย์เหมือนลูกเหมือนหลาน”
“มีอีกไหม”
“สำคัญที่สุดคือเรื่องนี้แหละ”
“ถ้าเช่นนั้น คาดหวังอะไรจากลูกศิษย์บ้าง”
“ขอให้พวกเขาเป็นคนดี”
“ถ้าเช่นนั้น คาดหวังอะไรจากลูกในไส้บ้าง”
“ขอให้เขาเป็นคนดี”
“ถ้าเช่นนั้น คาดหวังให้ลูกศิษย์มาเยี่ยนเยียนบ่อยแค่ไหน”
“อย่างที่บอก ผมมันเรือจ้าง ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
อีกอย่าง พวกเขาก็มีชิวิตของพวกเขา”
“ถ้าเช่นนั้น คาดหวังให้ลูกในไส้มาเยี่ยนเยียนบ่อยแค่ไหน”
ผู้โทรเงียบ ... นานหลายอึดใจ ก่อนกล่าวห้วนๆ
“คุณพยายามหว่านล้อมผมเรื่องอะไร”
พระสัจจาตอบทันที
“ไม่ว่าเป็นครู เป็นพ่อแม่ หรือเป็นอะไร
ทุกคนต่างเป็นเรือจ้างด้วยกันทั้งนั้น
ระหว่างทาง
เราอาจมีความรู้สึกที่ดีกับผู้โดยสารแต่ละคน
เราอาจมีความประทับใจผู้โดยสารแต่ละคน
แต่เมื่อส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่งแล้ว เราไม่สามารถเดินตามเขาไปได้
หน้าที่ของเราคือพายเรือกลับไปรับผู้โดยสารคนใหม่
เราไม่อาจทิ้งเรือแล้วเดินตามผู้โดยสารคนไหนขึ้นไปบนฝั่งได้
และผู้โดยสารคนนั้นไม่อาจกลับมาขึ้นเรือเราอีก
จงภูมิใจที่ได้ส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่ง คนแล้วคนเล่า
จงภูมิใจที่ผู้โดยสารก้าวไปข้างหน้า
และจงตระหนักว่าการเยี่ยมเยียนของพวกเขา
เป็นเพียงตั๋วโดยสารที่เก็บไว้เพื่อการระลึกถึง
ท่านต้องการดีใจต่อการระลึกถึงผู้โดยสารผู้เดินไปข้างหน้า
หรือต้องการเสียใจต่อการเห็นผู้โดยสารกลับมาขึ้นเรือ”
ผู้โทรสูงวัยเงียบไปนานก่อนกล่าว
“คุณคิดว่าลูกผมมันจะกลับมาเยี่ยมผมไหม”
พระสัจจากล่าวซ้ำ
“การเยี่ยมเยียนของพวกเขา
เป็นเพียงตั๋วโดยสารที่เก็บไว้เพื่อการระลึกถึง”
ด้วยเหตุนี้
ไม่ว่าเยี่ยมเยียนหรือไม่
ทั้งผู้โดยสารและเจ้าของเรือต่างมีความระลึกถึงกันอยู่เสมอ
อย่าลืมว่าทั้งคู่ต่างมีตั๋วโดยสารและต้นขั้วเก็บไว้คนละใบ”
ผู้โทรถอนใจ
“ผมต้องการสิ่งที่เป็นรูปธรรมไม่ใช่นามธรรม”
พระสัจจาตอบทันที “บางครั้ง บางเรื่อง รูปธรรมไม่ต่างจากนามธรรม
การกระทำบางอย่างไม่อาจวัดความรู้สึกบางอย่างได้
ความรู้สึกบางอย่างไม่สามารถแสดงออกเป็นการกระทำได้”
ชายสูงวัยวิเคราะห์คำกล่าวของพระสัจจาก่อนกล่าวเนิบๆ
“คุณต้องการบอกผมว่าลูกชายผมมันยังรักผมอยู่
เพียงแต่การกระทำของมัน อาจดูเหมือนว่ามันไม่รักผม”
พระสัจจากล่าวผ่านครองสติอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ขณะพายเรือเพื่อส่งเขาขึ้นฝั่ง
ท่านได้แสดงความรู้สึกใดๆหรือไม่
นั่นคือกระทำที่ไม่อาจวัดความรู้สึกล้ำลึกของพ่อต่อลูกได้
ขณะรอเวลาว่างเพื่อเยี่ยมเยียนบิดา
ลูกชายท่านได้แสดงความรู้สึกใดๆหรือไม่
นั่นคือความรู้สึกที่ไม่สามารถแสดงออกเป็นการกระทำได้
ท่านและลูกชายของท่านเชื่อมโยงกันด้วยความรู้สึก
แม้ไม่อาจมองเห็นได้ แต่ไม่อาจตีค่าได้ด้วยการกระทำ”
ผู้สูงวัยผ่อนลมหายใจเบาๆ
“เอาละ ปกติผมไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ แต่ครั้งนี้ผมเชื่อคุณ
แต่ก็ไม่ทั้งหมดนะ ผมจะยังคงรอให้มันมาเยี่ยม
หากมันไม่มา ผมจะไม่โทรมาที่นี่อีก
ครั้งต่อไปผมจะไม่ลังเล ผมจะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
พระสัจจากล่าวผ่านครองสติด้วยความกังวล
“บาปที่หนักที่สุดคืออัตวินิบาตกรรม”
ผู้โทรตอบทันที
“คุณไม่ต้องบอกผมหรอก ผมเป็นครู เรื่องนี้ผมรู้ดี
คุณช่วยภาวนาให้ลูกชายมันมาหาผมเถิด แค่นี้ก่อน
ขอบคุณมาก สวัสดี”
ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
11 พฤษภาคม 2010, 12:15:PM
deja
Special Class LV1
นักกลอนผู้เร่ร่อน

*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 27
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 79


http://book.truelife.com/publisher/เดชา-เวชชพิพัฒน


เดชา เวชชพิพัฒน์
« ตอบ #3 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2010, 12:15:PM »
ชุมชนชุมชน

บทที่ ๔

“โยมไม่พอใจอาตมาเพราะทำไม่ถูกหลักจิตวิทยางั้นหรือ”
พระสัจจาตระหนักดีว่าครองสติไม่พอใจ
เขากำลังอยู่บนรถประจำทาง ... ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
เขากำลังเดินทางกลับบ้าน ... ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ครองสติมองไปนอกรถอย่างเหม่อลอย
ป้ายโฆษณา ร้านอาหาร สถานบันเทิง
แสงสีแห่งนครหลวงผ่านตาเขาไปอย่างไร้การรับรู้
ครองสติถามตัวเอง เขาจะทำอย่างไร
แขกไม่รับเชิญในตัวเขา
ปัจจุบัน ... กำลังมีบทบาทกับงานอาสาสมัคร
อนาคต ... อาจมีบทบาทต่อชีวิตเขา
ในที่สุดเขากล่าวตอบ
“ท่านเข้าใจผิด อาสาสมัครไม่ใช่นักจิตวิทยา
พวกเราไม่มีความรู้ความสามารถถึงขั้นนั้น
พวกเราเป็นแค่คนรับฟัง รับฟังความทุกข์ของผู้อื่น”
“แต่โยมไม่ได้ฟังอย่างเดียว” พระสัจจาแย้ง
“ใช่ หลักการบอกไม่ให้เรารับฟังอย่างเดียว
หลักการบอกให้เรากระตุ้นผู้โทรให้ระบายความทุกข์
ระบายออกมากให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แต่ต้องระมัดระวัง
ระมัดระวังที่ไม่ไปชี้แนะหรือสั่งสอนพวกเขา”
“ทำไม”
“เพราะมันเป็นการลดทอนศักยภาพของผู้โทร
พวกเราไม่มีสิทธิ์ทำกับเขาเช่นนั้น
พวกเขาเป็นแค่คนมีความทุกข์
พวกเขาต้องการแค่ระบายความทุกข์
พวกเขาต้องการแค่คนรับฟัง
พวกเขาไม่ต้องการให้ใครมาลดศักยภาพของเขา”
“อาตมาไปลดศักยภาพของเขาตอนไหน”
“ท่านชี้แนะและสั่งสอนพวกเขา”
พระสัจจาเงียบไปนานอึดใจ
“นี่เราจะกลับไปพูดเรื่องเดิมใช่ไหม”
ครองสติตอบทันที
“ผมยังไม่เห็นด้วยกับวิธีของท่าน”
พระสัจจาเงียบไปนานอึดใจ
“โยม ในชีวิตโยมไม่เคยมีใครชี้แนะหรือสั่งสอนโยมหรือ”
ครองสติตอบทันที
“นั่นมันเรื่องการเรียนการสอน ท่านอย่านำมาปนกับเรื่องนี้”
“มันเหมือนกัน”
“ไม่เหมือน
ผมได้รับการชี้แนะสั่งสอนในฐานะนักเรียน
ผมได้รับการชี้แนะสั่งสอนเรื่องข้อมูลความรู้
แต่ผู้โทร
พวกเขากำลังมีความทุกข์
พวกเขากำลังมีปัญหาทางจิต
พวกเขาต้องการคนฟังความทุกข์ของเขา
พวกเขาไม่ต้องการครู ไม่ต้องการคำชี้แนะสั่งสอน”
พระสัจจากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“โยม โยมคิดว่าโยมพ้นสภาพนักเรียนนักศึกษาแล้วหรือ
โยม ชีวิตคือการเรียนรู้ และไม่มีใครเรียนจบหลักสูตรนี้
ไม่มีใครใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ
บางครั้ง ชีวิตเป็นผู้แพ้
บางครั้ง ชีวิตเป็นผู้ชนะ
บางครั้ง ชีวิตเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
บางครั้ง ชีวิตเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้
บางครั้ง ชีวิตต้องการเป็นผู้พูด
บางครั้ง ชีวิตต้องการเป็นผู้ฟัง
บางครั้ง ชีวิตเข้มแข็ง
บางครั้ง ชีวิตอ่อนแอ
ทั้งหมดนี้ ทำให้เรารู้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องในชีวิต
หลายเรื่องที่ต้องศึกษา
หลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้
ชีวิตจึงต้องการครูอยู่ตลอดเวลา
ไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นเรียน”
ครองสติโกรธ
“ท่านกำลังบอกผมว่า
งานที่ผมทำอยู่มีค่าแค่เพื่อนร่วมชั้นเรียน”
พระสัจจาถอนใจ
“อาตมาไม่ได้ตีค่างานของโยม
โยมต่างหากที่ตีค่างานของโยม
การเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน
อาจทำให้เพื่อนอุ่นใจ
แต่ไม่ทำให้เพื่อนได้ความรู้
อาจช่วยเพื่อนทำการบ้าน
แต่ไม่ทำให้เพื่อนแตกฉาน
อาจตอบคำถามเพื่อนได้
แต่ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก
เพราะเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นเรียน
ไม่ใช่ครูแห่งชีวิต”
“ครูแห่งชีวิต” ครองสติทวนคำ
“ใช่ ครูแห่งชีวิต ทุกคนต้องการครูแห่งชีวิต
ไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นเรียน”

ครองสติเงียบไปนานอึดใจ
แม้จนด้วยเหตุและผล แต่เขาตัดสินใจ
เป็นการตัดสินใจที่พระสัจจารู้ จึงกล่าวกับเขา
“คิดดีแล้วหรือที่จะเลิกทำงานนี้”
“งานของผมกำลังโดนแทรกแซง ผมไม่อาจทำต่อไปได้”
“มันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้”
“ท่านหมายความว่ามีคนจงใจให้ท่านเข้าสิงผม
จงใจให้ท่านแทรกแซงการทำงานของผม”
“อาจเป็นได้ เพราะตลอดชีวิตของอาตมา
อาตมาไม่เคยคิดสิงสู่ใคร ไม่เคยคิดให้คำปรึกษาคนจะฆ่าตัวตาย
คิดเพียงว่าทำหน้าที่สงฆ์อยู่ในวัดให้ดีที่สุด”
ครองสติขมวดคิ้ว
“ถ้าเช่นนั้น ใคร อะไร ทำให้ท่านเข้าสิงผม”
“ถ้าให้เดา อาตมาคิดว่าเป็นแรงกดดันจากสังคม”
ครองสติส่ายหน้า “ผมไม่เข้าใจ”
“สุขภาพจิตของคนในสังคมแย่ลงทุกวัน
สังคมเรามีคนฆ่าตัวตายมากเกินไปแล้ว
สาเหตุหนึ่งคือห่างพระห่างเจ้า
อาจถึงเวลาที่พระต้องเทศนานอกวัด
อาจถึงเวลาที่ต้องปรับรูปแบบแสดงธรรม
โยมน่าดีใจที่ได้เป็นผู้ทดลองเป็นผู้ประเดิม”
“ท่านคิดเช่นนี้จริงหรือ ท่านเป็นพระ ทำไมเชื่อเรื่องงมงาย”
พระสัจจาส่ายหน้า
“ไมใช่เรื่องงมงายนะโยม แต่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์
มันเป็นเรื่องของกระแสจิต พลังจิต
กระแสจิต พลังจิตที่เกิดจากมวลชน
มีพลังมากพอผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ตามการเรียกร้องของสังคม”
“สังคมเรียกร้องอะไร”
“การเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงรูปแบบการโปรดสัตว์
พระไม่อาจอยู่แต่ในวัดได้อีกต่อไป
พระไม่อาจช่วยเหลือคนได้ด้วยรูปแบบเดิมๆ
พระไม่อาจออกมารับโทรศัพท์ป้องกันการฆ่าตัวตายได้
อุบัติการณ์ระหว่างโยมกับอาตมาจึงเกิดขึ้น
เราสองคนอาจอยู่ในขั้นทดลอง”
ครองสติเม้มปาก บอกตนเองว่าความคิดแบบนี้ ...
คนปกติคิดไม่ได้แน่
พระปกติคิดไม่ได้แน่
พระสัจจาอาจเป็นพระเสียสติ
เขาโดนพระเสียสติเข้าสิง
พระสัจจาเม้มปากก่อนกล่าวเสียงเครียด
“บาปนะโยม ว่าพระว่าเจ้า”
ครองสติหักนิ้วหนึ่งทีก่อนกล่าว
“ผมขอโทษครับ
แต่ความคิดของท่าน
คนปกติเขาไม่คิดกัน”
“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติหรือ”
ครองสติกล่าวเสียงเข้ม “ท่านกล้าสาบานหรือไม่
สาบานว่าท่านไม่ได้ตั้งใจเข้าสิงผม
สาบานว่าท่านไม่ได้ตั้งใจทดลองความคิดของท่าน
เรื่องเทศนานอกวัดอะไรนั่น”
“อาตมาเป็นพระ อาตมาไม่สาบาน เพราะอาตมาไม่กล่าวเท็จ”
ครองสติถอนใจเฮือกใหญ่ พระสัจจาจึงกล่าวต่อ
“โลกนี้กว้างใหญ่เกินกว่าจินตนาการของเราสองคน
มีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้
ทำไมโยมไม่มองว่าเป็นโอกาสอันดี
โอกาสอันดีที่ได้เห็นมุมมองใหม่ๆบนโลก
โอกาสอันดีที่ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยรูปแบบใหม่”
ครองสติถามทันที
“ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาละครับ”
“โยมหมายความว่าอะไร
หมายความว่ามีผู้โทรตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะการกระทำอาตมางั้นหรือ”
ครองสติพยักหน้า
พระสัจจาหลับตาก่อนตอบ
“ผู้โทรคือผู้ตั้งใจฆ่าตัวตาย
เขาตายตั้งแต่คิดค่าตัวตายแล้ว
เราสองคนเพียงทำให้เขาเกิดใหม่
ในร่างเดิม ความคิดใหม่
โยมคือผู้รับฟังปัญหาให้เขา
อาตมาคือผู้แก้ปัญหาให้เขา
ทั้งสามคนล้วนมีส่วนในบาปอันหนักหนาที่สุดนี้
ทั้งสามคนล้วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกใบนี้
ทั้งสามคนต้องรับผิดชอบทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
อย่าได้พยายามโยนบาปให้แก่ใครเลย”

คืนนั้น ด้วยความเหนื่อยและความเครียด
ครองสติขอตัวเข้านอน
วันรุ่งขึ้น
เขาตัดสินใจลองเชื่อผู้ครองจีวรดูสักครั้ง
บันทึกการเข้า
01 มิถุนายน 2010, 05:41:PM
deja
Special Class LV1
นักกลอนผู้เร่ร่อน

*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 27
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 79


http://book.truelife.com/publisher/เดชา-เวชชพิพัฒน


เดชา เวชชพิพัฒน์
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2010, 05:41:PM »
ชุมชนชุมชน

บทที่ ๕

วันแรกของการปฏิบัติหน้าที่
อาสาสมัครป้องกันการฆ่าตัวตายทางโทรศัพท์
โดยเต็มใจยอมรับความช่วยเหลือจากวิญญาณพระสัจจา
ครองสติได้รับโทรศัพท์จากนักศึกษาหนุ่ม

“พี่ครับ ผมอยากตาย”
ทันทีที่ฟังประโยคแรกจากผู้โทร ครองสติรีบวิเคราะห์
วัยรุ่น แม้น้ำเสียงเบากระซิบ เจือความหวั่นไหว
แต่แฝงความจริงจัง ... บอกให้รู้ว่าผู้โทร “ทำ” แน่
ครองสติทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว ... ชวนคุย
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรครับ”
ผู้โทรไม่กล่าวตอบ ครองสติถามต่อ
“ใช่เรื่องคนรักหรือเปล่า”
ได้ผล ผู้โทรตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น ฟังชัดขึ้น เล็กน้อย
“เอ่อ ไม่ใช่ครับ”
“แล้วเรื่องอะไร หรือว่าเรื่องเรียน”
“เอ่อ พี่ครับ ผม ... ผมเขียนจดหมาย จดหมายลาตายไว้ด้วย”
เข้าทางครองสติ เขาถามทันที
“เขียนถึงใคร อ่านให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม”
“ผม เอ่อ ผมเขียนถึงพ่อแม่”
“อ่านให้พี่ฟังหน่อย”
“ทำไมพี่อยากฟัง”
“พี่อยากรู้ว่าน้องไม่สบายใจเรื่องอะไร เผื่อพี่พอจะช่วยได้”
“ถ้างั้น ผม เอ่อ ผมอ่านนะครับ”
ครองสติผ่อนลมหายใจ
ไม่นานนัก ครองสติได้ยินเสียงกระดาษดังกรอบแกรบ
ก่อนตามด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เบาราวจะขาดใจ
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมเสียใจที่ตัดสินใจทำเช่นนี้ โปรดให้อภัยผม
ผมทำเรื่องบริจาคอวัยวะไว้ ช่วยติดต่อไปที่สภากาชาดด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น ครองสติบอกตัวเองให้คุมสติ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ตระหนักดีว่ากรณีนี้ หากเขาพูดผิดเพียงคำเดียว
อาจหมายถึงชีวิตวัยรุ่นคนหนึ่ง
“น้องทำเรื่องบริจาคอวัยวะไว้ด้วยหรือ แสดงว่าเป็นคนจิตใจดี”
ผู้โทรไม่กล่าวตอบ
“ทำไว้นานหรือยัง”
“ผม ผมทำไว้ปีกว่าแล้ว”
“อืม ใครแนะนำให้ทำ”
“ผมอ่านเจอในนิตยสาร จึงส่งใบสมัครไป”
“อ๋อ พี่เคยเห็นเหมือนกัน ชอบอ่านนิตยสารเล่มนี้หรือ”
“ก็ เอ่อ ก็ชอบครับ”
“พี่ว่านิตยสารเล่มนี้มีเนื้อหาสาระเข้มข้นและทันสมัยดีนะ”
“ใช่ครับ”
ยิ่งสนทนา ครองสติยิ่งเครียด
น้ำเสียงผู้โทรบอกให้รู้ว่าเขาตอบคำถามอย่างขอไปที
ยิ่งพูด ใจเขายิ่งห่างออกไป
ครองสติบอกตัวเอง ต้องรีบดึงผู้โทรกลับมา
“อะไรทำให้น้องคิดบริจาคอวัยวะ”
ผู้โทรไม่กล่าวตอบ
ครองสติได้ยินเสียง ... ขาเก้าอี้ครูดพื้น
ครองสติสร้างจินตภาพ ... ผู้โทรกำลังลุกยืน
ครองสติรู้ดี ... อะไรกำลังจะเกิดขึ้น
แน่นอนว่าผู้โทรกำลังจะฆ่าตัวตาย ... วิธีใด
ครองสติตัดสินใจใช้ไม้เด็ด
“น้องครับ น้องจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีใด”
ทันใดนั้น ครองสติได้ยินเสียงการจราจร
“ผม ผมจะโดดตึกครับ ลาก่อนนะพี่”
ครองสติหลับตา วินาทีที่ไม่อาจตัดสินใจได้
พระสัจจาเข้าทำหน้าที่แทน
“อวัยวะที่บริจาคไว้จะทำอย่างไร คงแหลกเหลวหมด”
ผู้โทรไม่กล่าวตอบ ครองสติได้ยินเพียงเสียงรถวิ่ง
ครองสติแทบลืมหายใจ หรือผู้โทรโดดลงไปแล้ว
พระสัจจากล่าวต่อ
“น่าเสียดาย อุตส่าห์มีใจอันเป็นกุศล
ยิ่งกว่านั้น ลองนึกถึงพ่อแม่
เมื่อเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ในสภาพที่แหลกเหลว
พวกเขาจะเป็นอย่างไร จิตใจจะแหลกยิ่งกว่าร้อยเท่าพันเท่า
บาปกรรมมาก เป็นบาปมหันต์ที่มอบให้พ่อแม่”
ในความเงียบและความกังวล
ไม่นานนัก ครองสติได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นแทรกขึ้นมา
“ฮือๆ”
สำหรับครองสติ มันคือเสียงสวรรค์
“แล้วผมจะทำอย่างไร ผมจะฆ่าตัวตายอย่างไร”
ครองสติถอนใจเบาๆ ผู้โทรเริ่มระบายความอัดอั้นตันใจแล้ว
นิมิตอันดีของการยับยั้งชั่งใจ ... ผู้กำลังจะฆ่าตัวตาย
พระสัจจากล่าวต่อ
“เป็นบาปมาก ทั้งการฆ่าตัวเอง
และการทำลายเจตนาดีของตัวเอง”
“ฮือๆ” ผู้โทรร้องดังขึ้น
ครองสติบอกพระสัจจาให้รีบฉวยโอกาส
รู้ดีว่าพ้นเสี้ยววินาทีวิกฤตมาแล้ว
“ช่วยเดินกลับเข้าไปในห้องหน่อย เสียงรถดังหนวกหู”
ไม่น่าเชื่อว่าได้ผล เสียงการจราจรค่อยๆเบาลงจนเงียบสนิท
“ฮือๆ พี่มาห้ามผมทำไม ผมอยากตาย ผมอยากโดดตึกตาย”
พระสัจจากล่าวต่อ
“ขอถามอีกครั้ง ไม่สบายใจเรื่องอะไร”
“ฮือๆ ผมเขียนไว้แล้ว”
“เขียนไว้ที่ไหนครับ”
“ในสมุด”
“อ่านให้ฟังหน่อย”
“ฮือๆ”
“อ่านให้ฟังหน่อย”
เพียงครู่เดียว ทั้งครองสติและพระสัจจาได้ยินเสียงพลิกกระดาษ
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ได้โปรดให้อภัยลูกชายโง่ๆคนนี้ด้วย
ผมสอบตกตั้งสามวิชา ถ้าผมแก้ไม่ได้ ผมคงต้องออกจากมหาวิทยาลัย
ผมไม่ตั้งใจทำให้คุณพ่อคุณแม่อับอาย”
“ทำไมต้องอับอาย” พระสัจจาทำเสียงเข้ม
“เอ่อ พ่อแม่ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
ท่านคาดหวัง ผมจะต้องเก่งเหมือนท่าน”
“พ่อแม่คาดหวัง หรือคิดว่าพ่อแม่คาดหวัง”
ผู้โทรไม่ตอบคำถาม
“ว่าไง” พระสัจจาทำเสียงดุ
“พ่อแม่ชอบบอกใครต่อใครว่าผมเก่งเหมือนท่าน”
“เป็นธรรมดา ทุกคนอยากมีลูกเก่งกว่าตนเอง ในด้านใดด้านหนึ่ง
เป็นธรรมดา ที่ลูกอาจเก่งกว่าพ่อแม่ ในด้านใดด้านหนึ่ง
และเป็นธรรมดาอย่างยิ่ง ที่ลูกอาจไม่เก่งเท่าพ่อแม่ ในด้านใดด้านหนึ่ง”
ปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนถามตะกุกตะกัก
“เอ่อ หมายความว่า ผม ... ผมอาจจะเก่งกว่าพ่อแม่
ในเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การเรียน ไม่ใช่การทำเกียรตินิยม”
“ถูกต้อง และหมายความด้วยว่า อาจไม่เก่งกว่าพ่อแม่ในเรื่องใดๆเลย
ความสำคัญจึงไม่ใช่เรื่องเก่งหรือไม่เก่งกว่าพ่อแม่”
“แล้วอยู่ที่อะไร”
“ความเป็นตัวของตัวเอง นั่นคือที่สุดของความเก่ง”
“ผมไม่เข้าใจ”
พระสัจจาเงียบไปครู่เดียวก่อนอธิบาย
“ทุกคนเกิดมาพร้อมลมหายใจ พร้อมจุดยืน
บางที เราอาจมีจุดยืนก่อนมีลมหายใจเสียด้วยซ้ำ
และทุกคนต้องเผชิญอุปสรรคขัดขวางการอยู่บนจุดยืน
มีมือมากมายในโลกที่พยามผลักเราออกจากจุดยืน
คนเก่งคือคนที่ยืนอยู่บนจุดนั้นได้
ไม่สะทกสะท้านต่อแรงผลักของมือเหล่านั้น
จนกระทั่งลมหายใจเขาหมดไปพร้อมจุดยืน”
“ผมไม่เข้าใจ จุดยืนคืออะไร เกี่ยวอะไรกับการฆ่าตัวตายของผม”
“จุดยืนของคนที่อยู่ในวัยนี้คือต้องรู้ว่าอยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร
เมื่อได้รู้ได้เรียนในที่สิ่งที่อยากเป็น ย่อมต้องมีความมานะบากบั่น
แม้สอบตกก็เห็นเป็นเพียงอุปสรรคที่ฝ่าฟันไปให้ได้
ต่างกับการปราศจากจุดยืน ทำตามความต้องการของผู้อื่น
จึงทำไปอย่างอึดอัด ท้อแท้ ถดถอย จนกลายเป็นความกดดัน
ถึงขั้นฆ่าตัวตาย”
ผู้โทรเงียบ พระสัจจาส่งสัญญาณให้ครองสติ
คืนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่เขา
ครองสติรีบชวนผู้โทรคุยต่อ
“ว่าแต่ว่า น้องเรียนคณะอะไร ท่าทางเป็นคณะที่เรียนยาก
พี่ขอถามตรงๆ เป็นคณะที่น้องอยากเรียนจริงๆหรือ”
ผู้โทรกล่าวตอบทันที “ผมไม่ชอบคณะนี้ครับ”
ครองสติรีบเปลี่ยนคำถาม “เพื่อนๆที่คณะมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือเปล่า”
ได้ผล ผู้โทรสูดลมหายใจค่อนข้างดัง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น
“ก็ ก็มีครับ บางคนสอบตกหลายวิชาเท่าผม”
เมื่อน้ำเสียงผู้โทรดีขึ้น ครองสติจึงตระหนักว่ามาถูกทาง รีบเดินหน้า
“แล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ใครครับ”
“คนที่สอบตกหลายวิชาน่ะ”
“อ๋อ ไม่เห็นมันกลุ้มใจอะไร ยังมีหน้าไปเที่ยวอีก”
“ไปเที่ยว ไปเที่ยวที่ไหน”
“ก็ ไปทะเลกับเพื่อนๆในคณะนั่นแหละครับ
เห็นบอกว่าจะอยู่กันนานเป็นสัปดาห์”
“แล้วทำไมเราไม่ไปด้วย”
“ผมติดธุระครับ แต่บอกพวกมันว่าจะตามไป”
“แล้วทำธุระเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้วครับ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องรออะไรแล้ว จัดกระเป๋าหรือยัง”
“แต่ผม ผมไม่สบายใจ”
“ไปเที่ยวก่อน มีเวลาก็ปรึกษากับเพื่อนคนนั้นด้วย
มีเรื่องไม่สบายใจแบบเดียวกัน จะได้ช่วยกันหาทางแก้
อาจหมายถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ เรียนคณะที่อยากเรียน”
ครองสติไม่รู้ตัว เขากำลังทำผิดกฎสมาคม นั่นคือแนะนำผู้โทร
“มันจะช่วยอะไรผมได้”
“เพื่อนคนนี้ช่วยไม่ได้ เพื่อนคนอื่นก็ยังมี
หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”
“แล้วถ้าหาทางออกไม่ได้ละครับ”
“โทรหาพี่”
“พี่จะช่วยอะไรผมได้”
“ช่วยได้สิ เพราะพี่เองก็เคยสอบตก
แต่พี่ก็เรียนจบ รับปริญญา”

ดาว์นโหลด “การเวก” ทั้ง 20 บท (จบบริบูรณ์) ได้ที่
http://www.truebookstore.com/product/view/287
ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s