๐ สายลมพัดพร่างพลิ้วหวีดหวิวแว่ว-
คีตาแผ่วผ่านโสตคล้ายโอดเอื้อน
สะอื้นอึงอลขวัญล่วงวันเดือน
น้ำตาเปื้อนปวดปร่าโศกอาดูร
๐ รุ้งทอลำทาบสรวงเมื่อช่วงสาง
แต่ในกลางทรวงอับราวดับสูร*
มืดบอดบนทางกรรมสิ้นจำรูญ
ทุกข์พอกพูนพลัดพรากบนซากกาล
๐ เพลงพาทย์โหยหวนแผ่วไม่แล้วล่วง
ยังคลอห้วงทรวงเคล้าคอยเผาผลาญ
ร้อนดั่งเพลิงโหมไหม้ประลัยลาญ
ทรมานเจียนกายจักวายวาง
๐ กรรณิการ์เชิดช่อเพียงรอหล่น
ยามผ่านพ้นสู่เช้าใดเล่าขวาง
แม้เพียงลมพรมเคล้ากลีบเบาบาง
ก็ร่อนร่วงหล่นคว้างระหว่างเช้า
๐ เช่นคำนึงรอยฝันที่ผันร้าง
ทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงา
ในเศษซากเลือนรางอันบางเบา
จึงทรวงเคล้าทุกข์เทวษท้นเจตจินต์
๐ สูญสิ้นแล้วแคล้วคลาดวาสนา
เกินด้นฝ่าคว้าหวังดั่งถวิล
จบทางฝันผันลาน้ำตาริน
ป่นลงสิ้นวิญญาณแม้ปราณยัง
๐ กรรณิการ์กลีบบางร่อนคว้างร่วง
พรากช่อพวงซบดินหมดสิ้นหวัง
คล้ายอกหนึ่งขื่นขมจมภวังค์
อันปรักพังย่อยยับมานับนาน
๐ ฤาบาปบรรพ์ตามติดลิขิตให้
สองดวงใจตรึงรั้งสบสังสาร
ให้รู้รสรักแทรกด้วยแหลกลาญ
เป็นซากหวานเจือขมทับถมทรวง
๐ ยอมชดใช้หนี้บาปที่สาปสั่ง
บัดพลีทั้งปราณเช่นเครื่องเซ่นสรวง
กี่รอบวัฏฏ์วงกรรมฝากคำบวง
ขอรานบ่วงโซ่ร้อยให้คอยรอ
๐ สายลมพัดพร่างพรมผสมพาทย์
ราวจะบาดทรวงเทียว..เทียบเรียวขอ
จิกกระชากอุรา..น้ำตาคลอ
มิอาจพ้อเทพแถน ณ. แดนใด
๐ แสงรุ่งสางพร่างสีคลี่ม่านภพ
ค่อยเลือนลบมืดหม่นพ้นฟ้าใส
หยาดน้ำค้างเลือนหยดสิ้นหมดไป
หยาดน้ำใจไหลริน..ก็สิ้นลง
๐ สืบชีพชนม์วนชาตินิราศลับ
ตราบปราณดับยับยุ่ยเป็นผุยผง
เป็นกงเกวียนกำเกวียนที่เวียนวง
สั่งสาปส่งโทษทัณฑ์ผ่านวันคืน
๐ สบกันแล้วแคล้วคลาดสิ้นวาสน์คล้อง
มิอาจครองเคียงขวัญจนผันอื่น
รอนสิ้นแล้วหวานล้ำ..ให้กล้ำกลืน
แต่ขมขื่นล่ามคารอยอาลัย
๐ พลิ้วพลิ้วแผ่วแว่วเพลงบรรเลงบท
ย้อนกำสรดคลอครวญแต่หวนไห้
วิปโยคโศกย้ำหนอกรรมใด
ผูกพันใจ พบพาน แล้วรานทรวง
วลีลักษณา
สูร* แปลว่า ดวงอาทิตย์
แต่ในกลางทรวงอับราวดับสูร แปลว่า ใจมืดเหมือนท้องฟ้าที่ไม่มีดวงอาทิตย์
ที่มา
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=waleelaksana&month=03-2011&date=27&group=26&gblog=129