กระผมอยากแต่งseriesเรื่องพุทธประวัติพระศรีอาริยเมตไตรย์(ขอตั้งในห้องนี้ครับ)
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
21 พฤศจิกายน 2024, 06:16:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กระผมอยากแต่งseriesเรื่องพุทธประวัติพระศรีอาริยเมตไตรย์(ขอตั้งในห้องนี้ครับ)  (อ่าน 15089 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
17 ตุลาคม 2013, 08:46:PM
ไร้นวล^^
ผู้ดูแลบอร์ด
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 825
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,430

โปรดแนะนำเพื่อค้ำชูภาษาไทย


« เมื่อ: 17 ตุลาคม 2013, 08:46:PM »
ชุมชนชุมชน


     

๐ประณตหัตถ์ทศนัขน้อม       อัญชลี
ก้มกราบบาทพระชินสีห์         แนบเกล้า
พร้อมเพียรประพฤติดี           ดังบท- พระธรรมเฮย
แลรับพระรัตน์เข้า               คุปต์ค้ำชีวาฯ


       ขอสาธยายพุทธประวัติยุคพระศรีอารย์โดยนัยสังเขป ดังความที่กระผมได้รู้ได้อ่านมา ตามแต่ความสะดวกของกระผมเองทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง (หากมีข้อผิดพลาดใดๆมิตรทุกท่านติชมแนะนำได้โดยสะดวกเช่นเดิมครับผม)

      กระผมขอเขียนสไตล์สบายๆดังที่จะกล่าวเป็นseriesเป็นตอนๆ ดังนี้

    (๑)ระยะเวลา



๐เคยได้ยินโบราณมักขานไข                     กล่าวเยี่ยงไรก็ลงศัพท์ว่า"กัป"เอ๋ย
ตราบชั่ว"กัลป์"อนันต์กาลเนิ่นนานเลย       แล้วใครเคยเข้าใจความหมายจริง?


   พระไตรปิฎกยกมาว่า ทวีป คือโลกที่มีคนอยู่นั้น มีถึง๔ทวีป
-อุตรกุรุทวีป
-อมรโคยานทวีป
-ปุพพวิเทหะทวีป

และชมพูทวีป คือโลกของเราที่มีไทยแลนด์ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อเมริกา ที่เราๆอยู่กันทุกวันนี้แล

๐เมื่อแรกเริ่มมนุษย์นั้น          ผลิชนม์
จากอภัสราพรหมบน             ทิพย์แคว้น
อายุเนิ่นนานจน                   เกินนับ  คณาเนอ
เกินจักบ่งชีพแม้น                 กี่ร้อยวรรษาฯ


แรกเริ่มท่านว่าเรานั้นอายุยืนถึง ๑ "อสงไขยปี" คือ เลข ๑แล้วต่อท้ายด้วยเลข๐ ถึง ๑๔๐ตัว
เรียกว่า ๑ อสงไขยปี

๐ทุกร้อยปีชีวาว่ายาวนั้น             ค่อยหดสั้นหนึ่งศกยกชนม์หาย
แลลดน้อยถอยร่นสกนธ์วาย        จนสุดท้ายสิบปีที่เป็นคน


ทุกร้อยปี มนุษย์ก็จะอายุเฉลี่ยลดลง๑ปี ลดลงไปเรื่อยๆ ทุก๑๐๐ ปี จนสุดท้าย อายุเฉลี่ยเหลือ๑๐ปี

๐เด็กหนุ่มสาวคราวแต่งกัน         สักห้าปีนั้น
แห่ขันหมากฝากคู่สอง


มันมีสาเหตุจากตำรา ที่ทำให้เกิดภัยอันร้ายกาจจนพรากคนไปจากโลกาถึง๙๙% เมื่อคนอายุ๑๐ปีนั้น

แลต่อมาก็ย่อมมีเหตุให้อายุมนุษย์ค่อยๆจำเริญขึ้น ทุกๆ๑๐๐ปี เพิ่ม๑ปี(จาก๑๐ ปีอีกร้อยปีข้างหน้าเป็น๑๑ ปี อีก๒๐๐ปี เป็น๑๒ ไปเรื่อยๆ)

จนอายุมนุษย์นั้นยืนยาวถึง ๑ อสงไขยปี(เลขศูนย์ต่อท้ายเลข๑ ถึง๑๔๐ ตัว)

หนึ่งรอบทั้งขาลงและขาขึ้นรวมกันเรียกว่า "๑ อันตรกัป"

๐จึงจักเห็นเช่นกาลช่างนานโข               กี่ล้านโหลหลั่งหน้าน้ำตาเศร้า
กี่ครั้งคราฝ่าทุกข์ที่คลุกเคล้า                 หลงมัวเมากิเลสเลศร้ายราญฯ


กระผมง่วงและเหนื่อยขอหยุดseriesไว้เท่านี้ก่อนครับ เคารพรัก

   

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : D, Prapacarn ❀, รพีกาญจน์, พิมพ์วาส, พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร, panthong.kh, ไพร พนาวัลย์, แป้งน้ำ, น.ปฎิพน, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 11 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

แดนดินใดให้เราเกิด  เราจะเทิดทูนไว้เหนือเศียร
17 ตุลาคม 2013, 11:14:PM
ไร้นวล^^
ผู้ดูแลบอร์ด
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 825
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,430

โปรดแนะนำเพื่อค้ำชูภาษาไทย


« ตอบ #1 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2013, 11:14:PM »
ชุมชนชุมชน

   ผมจะฝืนแต่งต่อสักหน่อย(ผมเดาว่าท่านลุงรพีรออ่านอยู่มั้งครับ)

๑.ระยะเวลา(ต่อ)

๐ขอโอกาสแก่เกล้า            กวัดกานท์
ปารมีคณาจารย์                แจ่มเกื้อ
บุญบ่มอักษรสาส์น            เถลิงพุทธ- ศาสน์นอ
พอส่งเหตุแลเอื้อ               สู่เบื้องนฤพานฯ


         

เมื่อ ๑ อันตรกัปนั้นแล รวมกันถึง ๖๔ ครั้ง คือ ๖๔ อันตรกัป ย่อมมีระยะเวลาตามบุราณจารย์จารึกไว้นั้นว่าคือ ๑ "อสงไขยกัป"

หาก "อสงไขยกัป" นั้นเนิ่นนานเพียงใด มนุษย์ปุถุชนเช่นเราท่านนั้นไซร้ยากจะนับได้

อสงไขยกัป มีถึง ๔ ช่วง และทั้ง ๔ อสงไขยกัป นั่นแลถึงรวมกันแล้วมีค่าเท่ากับ ๑ "มหากัป"

ทั่วทั้งชมพูทวีปแม้จะมีมนุษย์อยู่ แต่ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดที่โลกตั้งอยู่

๐บางช่วงนั้นโลกนี้มีไฟเผา           จึงร้อนเร่าเกินกว่าจะมาอยู่
แล้วตอนนั้นเราอยู่ไหนเราไม่รู้       นอกจากผู้รู้แจ้งแห่งพุทโธ


อสงไขยกัป ลำดับที่๑ เรียกว่า "สังวัฏฏะ" โลกเราและจักรวาลทั้งมวลยังคงโดนแผดเผา ย่อมไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจักอยู่ได้

อสงไขยกัป ลำดับที่๒ เรียกว่า "สังวัฏฏะฐายี" เป็นช่วงต่อจากช่วงต้น คือโลกแลจักรวาลโดนแผดเผาทำลายจนไม่เหลืออะไรเลย เรียกว่าโดนเผาเป็นจุณ มันช่างเวิ้งว้างยิ่ง แลย่อมไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้

อสงไขยกัป ลำดับที่๓ เรียกว่า "วิวัฏฏะ" โอ้! โลกเรากำลังก่อตัว แต่หาสิ่งใดอยู่ได้ไม่

อสงไขยกัป ลำดับที่๔ เรียกว่า "วิวัฏฏะฐายี" นี่ย่อมเป็นช่วงที่เหมาะให้เราๆท่านๆกลับมาใช้เวรใช้กรรมยิ่งนัก

รวมแล้วอสงไขยกัป ๔ ช่วง รวมกันเท่ากับ ๖๔x๔= ๒๕๖ อันตรกัป จึงรวมแล้วเรียกว่า มหากัป

             

๐"ภัทระมหากัป"นับว่าโชค           เพราะพิโมกข์ธรรมวิภาสศาสน์ไสว
เอกองค์อันอรหัตสวัสดิ์ไกร          นับเนื่องได้ห้าพระองค์วงศ์พุทธา

๐ทรงลงมาตรัสรู้เป็นครูสอน         ธรรมบวรวิรุฬห์แล้แก้ตัณหา
ทรงประเสริฐพร้อมพระกรุณา        มอบมรรคาเครื่องมือสื่อนิพพานฯ


           

และช่วง"วิวัฏฏฐายี" นี้แล เป็นช่วงที่ดอกบัวจะผุดขึ้นตรงใจกลางแผ่นดินที่ตั้งขึ้นใหม่นั้นกี่ดอก

ซึ่งตำแหน่งนั้นก็คือ ตรงโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์อันเป็นที่พระบรมศาสดาของเราทั้งหลายได้ตรัสรู้อมฤตธรรมแล้วนั้นเทียว

ซึ่งกาลสมัย ภัทระมหากัปเช่นนี้ มีพระพุทธเจ้าจักลงมาโปรดสรรพสัตว์ถึง๕ พระองค์ นับว่าเป็นสิ่งประเสริฐเลิศโลกเลิศอนันตจักรวาล จักหาใดเสมอเหมือนโชคเยี่ยงนี้

๐จักหาวโรกาส           ผิว์พิลาสพิไลศรี
ย่อมในสมัยนี้             ยุคภัทร์มหากัลป์


ปล.เหมือนอาจารย์ท่านcommentคล้ายว่ากล่าวยังไม่จบ ไยหายไปดื้อๆ จึงจักกล่าวต่อนิดหน่อยว่า

๐กาลจรัสภัทระเจริญนี้           ณ ตรงที่ศรีมหาโพธิ์ปรากฎ
เทพเทวาร่าเริงบรรเทิงรด        น้อมประณตปัทมาทั้งห้าพรรณฯ

-ส่วนคำร้อยกรอง กระผมไม่ได้ระบุนะครับ ว่าเป็นชนิดไหนบ้าง แต่ก็โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนนี่แหละครับ


ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร, อริญชย์, panthong.kh, ไพร พนาวัลย์, รพีกาญจน์, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

แดนดินใดให้เราเกิด  เราจะเทิดทูนไว้เหนือเศียร
18 ตุลาคม 2013, 08:11:PM
ไร้นวล^^
ผู้ดูแลบอร์ด
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 825
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,430

โปรดแนะนำเพื่อค้ำชูภาษาไทย


« ตอบ #2 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2013, 08:11:PM »
ชุมชนชุมชน

(๒)พระมหาโพธิสัตว์ ทั้ง๕ และระยะเวลาการบำเพ็ญบารมี

๐หนึ่งมหากัปนั้น            เนิ่นนาน
กำหนดมิจบจาร             จ่างแจ้ง
เพียงพระพิชิตมาร          เจนจบ
กิเลสร้ายเหือดแห้ง         จึ่งพร้อมโลกวิทูฯ


ใช่แล้วครับ เพียงหนึ่งมหากัปนับว่านานนักหนา การบำเพ็ญเพียรบารมีนั้นยิ่งยาวนานเกินจินตนา มิใช่นับร้อยนับพันมหากัป มิใช่นับหมื่น นับแสน นับล้าน หรือนับโกฏิมหากัป แต่คือมหากัปที่ยาวนานจนไม่สามารถกำหนดจำนวนว่าเท่านั้นเท่านี้ได้ นั่นแล เรียกว่า อสงไขย

๐มหาภัทรกัลป์                  เลิศคุณอนันต์
ด้วยดำรูผู้รู้โพธิ์

๐ถึงห้าองค์วงศ์ภิญโญ       วิเศษวิโส
ทรงชี้ทางสร้างสุขนิรันดร์ฯ


  

@พระกกุสันโธ

@พระโกนาคมโน

@พระกัสสะโป

@พระโคตโม(บรมครูของเราท่านทั้งหลาย)

@พระเมตไตรโย

ทั้งสามพระมหาโพธิสัตว์นั้น คือพระกกุสันโธ, พระโกนาคมโน แลพระกัสสโป ย่อมเป็นพระสัทธาธิกะโพธิสัตว์ ทรงสั่งสมบารมีนานนักหนา ถึง ๔๐ อสงไขยและรวมเศษอีก๑๐๐,๐๐๐ มหากัป

-ทรงตั้งพระทัยไว้ด้วยใจมิบอกใคร ดังว่า
"เราจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งให้ได้แน่เทียว" นี้นับได้ถึง ๑๔ อสงไขย

-ทรงกล่าววาจาเปล่งออกมา ดังว่า
"เราจะเป็นพระพุทธเจ้าให้จงได้" นับได้ถึง ๑๘ อสงไขย

-ทรงตั้งกายแลวาจาตั้งมั่น(และย่อมเป็นพุทธประเพณีที่พระมหาโพธิสัตว์จักได้รับคำทำนายจากสำนักพระพุทธเจ้าสมัยนั้นเป็นคราแรกว่า)
"ความปรารถนานี้ย่อมสัมฤทธิ์ผล โดยมิมีผันแปรเป็นอื่น"  ดังนี้นับได้ ๘ อสงไขย และอีก๑๐๐,๐๐๐ มหากัป

รวมแล้วจึ่งได้ถึง ๔๐ อสงไขยกับ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป

           

*พระโคตโมบรมครูเจ้าของเราทั้งหลาย ทรงเป็นพระปัญญาธิกะโพธิสัตว์อันยิ่งยวด

-ทรงตั้งพระทัยไว้ในใจ ถึง ๗ อสงไขย

-ทรงเปล่งวาจา ถึง ๙ อสงไขย

-ทรงตั้งกายแลวาจามั่นต่อหน้าพระพักตร์พระปทุมุตระพุทธเจ้า แลได้รับพุทธทำนายอันเที่ยงแท้แน่นอนว่า

"ท่านสุเมธดาบสผู้นี้จักเป็นพระโคตมพุทธเจ้ามิแปรเปลี่ยน" นับได้ถึง ๔ อสงไขยกับ๑๐๐,๐๐๐มหากัป

รวมแล้วถึง ๒๐ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป

**พระเมตไตรโยโพธิสัตว์ นับว่าเป็นพระวิริยาธิกะโพธิสัตว์ ทรงมีความวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งกว่าสรรพสัตว์ใดๆ

-ทรงบำเพ็ญบารมีมิได้เปล่งวาจาว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า ทรงกระทำดังนี้อยู่ถึง ๒๘ อสงไขย

-ทรงเปล่งพระโอษฐ์ ถึง ๓๖ อสงไขย

-ทรงตั้งกาย,วาจา,ใจ ให้มั่น แลได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นระยะเวลาอันแน่นอนถึง ๑๖ อสงไขยกับ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป

รวมเป็น ๘๐ อสงไขย กับอีก๑๐๐,๐๐๐ มหากัป


๐จึ่งยากยิ่งยากแล้               ตละวาร    นั่นแล
สรรพสัตว์พบพุทธองค์        โชคล้วน
บุญใหญ่แต่เมื่อนาน              หนุนส่ง
บุญกุศลถ้วนสร้าง               พบพระองค์ฯ


-ถามว่า-

"ก็มีไหมเล่าที่บุรุษอันเต็มเปี่ยมด้วยบุญบารมี แลสติปัญญา ทำบุญกุศลอย่างยิ่งยวดในแต่ละวัน จะสามารถตรัสรู้อนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างรวดเร็วกว่าเวลาถึง ๒๐ อสงไขย อันพระปัญญาธิกะโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ แลว่าเร็วแล้วนั้น แต่ยังยาวนานเกินจักรอแล้วเทียว?"

         

-ตอบว่า-

๐เมื่อรวงข้าวสีทองส่องระยับ                จะสุกนับสามเดือนเป็นเงื่อนไข
จะรดน้ำร้อยครั้งอย่างตั้งใจ                  หวังจะให้สุกก่อนจึงป้อนปรุง

๐รวงข้าวนั้นย่อมค่อยชดช้อยผ่อง         เป็นรวงทองสุกใสไปตามรุ่ง
มิอาจเร่งพรวนดินประทินปรุง               รวงมิพุ่งพวยสลวยด้วยเร่งดิน

๐พุทธญาณยวดยิ่งสิ่งประเสริฐ             รึก่อเกิดก่อนกาลปานถวิล
ปารมีมิเต็มตั้งสะพรั่งจินต์                    ก็มิสิ้นสั่งสมบ่มบุญญาฯ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ไพร พนาวัลย์, รพีกาญจน์, ชลนา ทิชากร, ลิตเติลเกิร์ล, พี.พูนสุข, ดาว อาชาไนย, สุวรรณ, panthong.kh

ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

แดนดินใดให้เราเกิด  เราจะเทิดทูนไว้เหนือเศียร
19 ตุลาคม 2013, 02:58:PM
ไร้นวล^^
ผู้ดูแลบอร์ด
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 825
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,430

โปรดแนะนำเพื่อค้ำชูภาษาไทย


« ตอบ #3 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2013, 02:58:PM »
ชุมชนชุมชน



(๓)ตละพระองค์ทรงมาโปรดโลกาเมื่อใด?

-อสงไขยกัปดังที่ได้สาธยายมานั้น ย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่า

๐วิวัฏฏะฐายีที่เริ่มต้น                    บันดาลดลสรรพสิ่งพักพิงหล้า
สรรพสัตว์ค่อยระบัดวิวัฒน์มา        เป็นเพลาช่วงท้ายได้ดำเนิน


สังวัฏฏะ,สังวัฏฏะฐายี,และแม้แต่วิวัฏฏะ รวมกันแล้วถึง ๓ช่วง คือ ๑๙๒ อันตรกัป อันโลกใบนี้ที่มนุษย์มิสามารถอยู่ได้ โดยเหตุสุดวิสัย

หากแต่ ๖๔ อันตรกัปเบื้องท้าย(คือวิวัฏฏะฐายี อสงไขยกัป นั่นแล) จึงจักมีสรรพสัตว์เกิดขึ้นในโลกานี้ได้



แลภัทรมหากัปนี้ พระมหาบุรุษถึง๕ พระองค์จะทรงลงมาโปรดโลกให้สิ้นวัฏสงสาร ดังนี้

-พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า จักลงมาโปรดช่วง อันตรกัปที่๙ ของ วิวัฏฏะฐายี อสงไขยกัป แห่งภัทระมหากัป ในช่วงที่มนุษย์อายุเฉลี่ย ๔๐,๐๐๐ ปี

-พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า จักลงมาตรัสรู้ ช่วง อันตรกัปที่๑๐ โดยมนุษย์มีอายุถึง๓๐,๐๐๐ปี

-พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า จักมาโปรดสรรพสัตว์ ช่วงอันตรกัปที่๑๑ โดยมนุษย์มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี

-พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมลงมาช่วง อันตรกัปที่๑๒ ในช่วงที่มนุษย์ อายุ๑๐๐ปี เป็นกำหนด

-พระเมตไตรโยสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จมาโปรดช่วง อันตรกัปที่๑๓ มนุษย์ยุคนั้น๘๐,๐๐๐ ปี

๐จึงจักเห็นชัดแจ้ง        ปัจจุบัน   นี้นา
อันตรกัปว่ากัน            ยุคนี้
ดำเนินอยู่ทุกวัน           คือสิบ- สองนา
เจ็ดสิบสี่บ่งชี้               ชีพสิ้นสูญสลายฯ


   ก็ทุกวันนี้ในยุคไฮเท็ค ย่อมต้องเป็นอันตรกัปที่๑๒ ในช่วงขาลง จากอายุเฉลี่ยยุคพุทธกาลคือ๑๐๐ปี ผ่านมาประมาณ ๒๖๐๐ ปี(นับแต่พระบรมครูของเราประสูติ) เอา๑๐๐ หาร จึ่งได้ ๒๖ แลหักออกจาก ๑๐๐ จึ่งหมายถึงยุคไอโฟนของพวกเรานั้น มนุษย์จะมีอายุขัยเฉลี่ย๗๔ปีเท่านั้น อาจจะเกินนี้แต่เพียงส่วนน้อย(แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง)

  แลอายุจักลดลงๆ จนอายุ๑๐ขวบ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นๆ จนอายุยืนถึง๑ อสงไขยปี(๑ มี ๐ต่อท้าย๑๔๐ตัว) แล้วค่อยๆลดลงใหม่ ๑๐๐ปีทีละ๑ จนคนอายุ๘๐,๐๐๐ ปี จึงจะได้พบพระศรีอาริย์เพียงผู้มีบุญใหญ่



๐โอ้องค์พระศรีอริยเมต-         ตรฺยะเดชมหาศาล
จักทรงเสด็จภพประทาน          อมฤตวิจิตรธรรม

๐มวลหมู่มนุษยะถวัลย์            คุณอันวิโรจน์ล้ำ
เป็นปารมีวิมลกรรม                เฉพาะองค์พระศรีอาริย์ฯ


-ถึงยุคพระศรีอาริย์นั้น จักปรากฎต้นกัลปพฤกษ์อันเป็นต้นไม้ที่สามารถอธิษฐานขออะไรก็สำเร็จดังปรารถนา ปรากฎอยู่ถึง๔ ต้นอยู่๔ มุมเมือง

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ลิตเติลเกิร์ล, พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, ชลนา ทิชากร, ดาว อาชาไนย, สุวรรณ, panthong.kh

ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

แดนดินใดให้เราเกิด  เราจะเทิดทูนไว้เหนือเศียร
17 มกราคม 2014, 09:44:PM
ไร้นวล^^
ผู้ดูแลบอร์ด
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 825
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,430

โปรดแนะนำเพื่อค้ำชูภาษาไทย


« ตอบ #4 เมื่อ: 17 มกราคม 2014, 09:44:PM »
ชุมชนชุมชน

         



(๔)การอันตรธานสูญสิ้นแห่งพุทธศาสนาของพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูของเราท่านทั้งหลาย

โอ้หนอ!ฤๅหล้าแลพิภพจะจบสิ้นแห่งแสงฉะนี้หรือ?

๐ทวยเทวาพากันโศกศัลย์สิ้น             จอมกวินทร์วรวาทมาขาดหาย
องค์ธาตุปรินิพพานแทบวางวาย        โลกกลับกลายมืดมลอนธกาลฯ

เมื่อลุถึงพุทธศักราช๕๐๐๐ เมื่อนฤผู้เพียรธรรม์อาสัญเพียงเฉลี่ย ๕๐ ปี เมื่อครบดังนั้นแล้ว โลก.......ย่อมกำลังจะประสบกับความสูญสิ้นอันน่าโศกตรม ด้วยเหตุแห่งความดับซึ่งสิ่งเจริญแก่โลกถึง ๕ ประการ......

๑.อธิคมอันตรธาน

๐นับเนื่องภิกษุต้น...............ศาสนา
แต่ละพันวรรษา...................ต่างแจ้ง
กาลล่วงเสื่อมธรรมา............ตามศก
ครั้นครบห้าพันแล้ง..............หลักรื้อตัณหาฯ

ล่วงลุพศ.๑๐๐๐ ย่อมไร้พระอรหันต์ ขีณาสพ อันทรงคุณ"ปฏิสัมภิทาญาณ"
ล่วงลุพศ.๒๐๐๐ ย่อมไร้พระอรหันต์ ขีณาสพ อังทรงคุณ"อภิญญาญาณ"
ล่วงลุพศ.๓๐๐๐ ย่อมไร้พระอรหันต์ ขีณาสพ อันทรงคุณ"วิชชาญาณ"
ล่วงลุพศ.๔๐๐๐ ย่อมไร้พระอรหันต์ ขีณาสพ อันทรงคุณ "สุกขวิปัสสกญาณ"
ล่วงลุพศ.๕๐๐๐ ย่อมไร้พระอนาคามี, พระสกทาคามี, แลพระโสดาบัน แลเมื่อไร้นฤผู้มีปารมีถึงกาลแห่งธรรมขั้นโสดาปัตติผลแล้วไซร้ ยุคนั้นแล พระธรรมย่อมเสื่อมสูญสลาย


๐ช่างน่าโศกาจินต์       มลายสิ้นธรรมกถา
โพธิ์พจน์รจนา           มิยินยลมลมาหมอง

๐จิตใจมนุษย์ไย         เพียงพิไลตามครรลอง
ไร้ปราชญ์ปิฎกพร้อง  บุญแลบาปฤๅซาบทรวงฯ

๒.ปฏิปัตติอันตรธาน

๐เมื่อปราศซึ่งภิกษุครุเคร่ง       ย่อมพร่องเพ่งเพียรพฤฒิฝึกกสิน
ไร้วิถีถ่องถ้องสอดส่องจินต์     ดุจดั่งดินดอนด้านด้วยมานดำฯ

๓.ปริยัตติอันตรธาน

๐ถ้อยไสวไตรปิฎกดิลกศาส์น    อันแก้วกาญจน์เกษมจิตพิจิตรผล
กลับมลายสลายรสบทวิมล       แล้วผู้คนชีวจ่อนรกาฯ

๔.ลิงคอันตรธาน

เมื่อปริยัตติก็สาบสูญ ปฏิบัติก็มิอาจบรรลุธรรมใดๆได้ แล้วเป็นประโยชน์อันใดจะคงอยู่ซึ่งภิกษุได้เล่า

๐ไร้ตำราแหล่งเอื้อ        อภิธรรม์
ไฉนภิกษุเพศอัน            อร่ามตั้ง
ไร้ผลเพริศอภินันท์        ดังเหตุ   ประพฤตินา
ย่อมยิ่งไร้ถ้วนทั้ง         ทิพย์ถ้อยเทศนาฯ

๕.ธาตุอันตรธาน

           เมื่อกาลนั้นมาบรรจบ พระบรมสารีริกธาตุแห่งพระบรมครูเจ้าของเราท่านทั้งหลายที่ปรากฎ ณ ที่แห่งใด จักสวรรค์ก็ดี ตามยอดเจดีย์ต่างๆก็ดี ตามผอบของเหล่าผู้มีบุญก็ได้ ย่อมเสด็จมารวมกัน ณ โพธิบัลลังก์ และเปล่งพุทธรัศมีอันประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการแลรัศมีเรืองรองรอบพระวรกายแห่งพระบรมสารีริกธาตุนั้นข้างละ ๑ วา ส่องสว่างกระจ่างทั่วพันหมื่นโลกธาตุ เป็นที่สาธุการของเหล่าเทพพรหมทั้งหลาย แลจักเกิดเตโชธาตุเผาผลาญจนหมดสิ้นพร้อมๆกับความดับสิ้นแห่งหน่อเนื้อพุทธธรรมของพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครู

๐อนิจจานฤแล้วแก้วมาหาย            ทิศทั้งหลายรึรุ่งโรจน์ประโยชน์ขวัญ
พุทธพจน์พระจอมไตรอยู่ไหนกัน      ล้อมรอบนั้นกลับกิเลสกลั่นเลศลวงฯ   



ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ไพร พนาวัลย์, สุวรรณ, panthong.kh, พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

แดนดินใดให้เราเกิด  เราจะเทิดทูนไว้เหนือเศียร
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s