ขอเทอดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาส เฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
ด้วยวิถีพอเพียง ในรูปแบบเรื่องสั้น ชุด เนาทุ่ง ตอน เนาทุ่ง
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะข้าพระพุทธเจ้า
นามปากกา ปภัสร์ ผู้ประพันธ์
เนาทุ่ง
ทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม้ยืนต้นห่างๆแซมข้าวเขียวขจีในผืนนา แต่พอทอดตาออกไป ต้นไม้ที่เห็นยืนต้นห่างกันไกลๆก็กลายเป็นทิวไม้หนาทึบเมื่อยามมอง ข้าวกำลังตั้งท้อง รออีกเดือนกว่าๆก็จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว ความของชาวนาไทย ตะวันคล้อยดวงใกล้จะลับทิวไม้ในอีกไม่นาน ฝูงนกกระยางบินลัดไปด้านเหนือทุ่ง ก้อนแหงนคอมองตามมันไปจนลับสายตา พ่อเคยบอกว่ามันกลับไปนอนป่าที่มันเคยนอนซึ่งอยู่ไกลออกไป พ่อเองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าไกลแค่ไหน เพราะก้อนเคยถามแต่พ่อจะตอบแค่ว่า ไกลมาก แค่นั้น
“รีบมาสิก้อน เดี๋ยวค่ำก่อนจะปักเบ็ดไม่ทันนะลูก”เสียงพ่อดังมาจากคันนา
“ไปเดี๋ยวนี้จ้ะพ่อ”
ก้อนตอบพ่อ ก่อนจะคว้ากระป๋องใส่ไส้เดือนที่ขุดจากข้างลอมฟางเก่ามาทำเป็นเหยื่อสำหรับเกี่ยวเบ็ด กับตะข้องขึ้นสะพายบ่า ก้อนหันไปมองแม่ที่นั่งนึ่งข้าวอยู่ใต้ถุนเถียงนา แม่ยิ้มแล้วบอกว่า
“รีบไปเถอะ มัวชักช้าเดี๋ยวพ่อเขาจะเอ็ดให้ เดินนาก็ให้ระวังบ้างนะลูก”
“จ้ะแม่”ก้อนรับคำแม่ ก่อนออกวิ่งตามพ่อไป
ตั้งแต่ก้อนจำความได้ ช่วงข้าวตั้งท้อง ฝนชุก พ่อกับแม่จะพาก้อนกับไอ้แดงหมาน้อยที่เลี้ยงไว้ นางแหวนควายตัวเดียวของพ่อแล้วก็ไก่อีกไม่กี่ตัว มานอนที่นาทุกปี พ่อบอกว่างานนาเยอะบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านก็ไม่ได้มีสมบัติอะไรให้ห่วง สู้ออกมาอยู่เสียที่นาเลยดีกว่า ไม่ต้องเทียวเข้าเทียวออกให้เมื่อย เมื่อก่อน ก้อนก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ตอนนี้ก้อนพอจะเข้าใจแล้วว่า ที่พ่อหาเหตุผลให้แม่ยอมออกมาอยู่ที่นา เป็นเพราะห่วงแม่ที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงนักมากกว่ากลัวจะเหนื่อย อยู่ใกล้กันเผื่อมีอะไรขึ้นมาจะได้ดูแลกันได้ทัน
พ่อเดินปักเบ็ดไว้บนคันนาแล้วสางหญ้าที่เลื้อยคลุมน้ำออกเป็นวงกลมๆไว้สำหรับหย่อนเบ็ดลง ก้อนมีหน้าที่เดินเกี่ยวเหยื่อแล้วหย่อนเบ็ดตามพ่อไป เสียงไอ้ช่อนฮุบตั้กแตนข้างคันนาดังโผง ก้อนยิ้มแล้วตะโกนถามพ่อ
“ไอ้ตัวนี้ท่าจะตัวใหญ่นะพ่อ”
“รีบเกี่ยวเหยื่อไวไวเข้าสิ จะได้รู้ว่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ หึหึ!”พ่อตอบพร้อมกับหัวเราะอารมณ์ดี
ก้อนได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่า ปีนี้ข้าวงาม ต้นอวบใหญ่กว่าทุกปี ท่าจะได้ข้าวหลายเกวียนอยู่ แถมปลาในนาก็ชุม พ่อกับก้อนปักเบ็ดได้แบ่งขาย มีเงินให้ก้อนไปโรงเรียนทุกวัน
ตั้งแต่ออกมาอยู่ที่นาพ่อไม่เคยให้แม่ทำงานนาเลย แม่มีหน้าที่นึ่งข้าวทำกับข้าว แรกๆเสื้อผ้าแม่ต้องแอบซัก เพราะพ่อห้าม พ่อบอกแม่ว่า จะซักเองทั้งหมด พอรู้ว่าแม่แอบซักผ้าพ่อก็บ่น แต่บ่อยเข้าก็คงคร้านจะพูด เดี๋ยวนี้ก้อนเลยไม่ได้ยินเสียงพ่อบ่นเรื่องแม่แอบซักเสื้อผ้าอีกเลย สุขภาพของแม่เริ่มดีขึ้น พักนี้แม่ไม่ค่อยไอเหมือนตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน พ่อก็เลยหัวเราะบ่อยขึ้น เบ็ดหลังสุดท้ายถูกหย่อนลงน้ำไปแล้ว ก้อนเดินตามพ่อไปจนถึงสระน้ำเล็กๆที่พ่อขุดเองตรงปลายนาติดลำห้วยยาง พ่อถอดผ้าขาวม้าพันเอวออกวางไว้ขอบสระก่อนจะลงไปเก็บผักกระเฉดกับผักบุ้งยอดอวบสำหรับจิ้มน้ำพริกค่ำนี้ ก้อนถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วกระโดดตูมลงไปดำผุดดำว่ายเล่น
“รีบอาบรีบขัดถูขี้ไคลซะให้เรียบร้อย จะได้รีบกลับ แม่เค้าคอยกินข้าวอยู่นะก้อน”เสียงพ่อบอก
“จ้ะพ่อ”ก้อนรับคำพ่อ
เกือบทุกวันหลังจากปักเบ็ดเสร็จ ถ้าไม่ค่ำจนเกินไปนัก พ่อจะพาก้อนมาเก็บผักและอาบน้ำที่สระนี่ ก่อนจะกลับเถียงนาเป็นประจำ พ่อบอกว่าช่วยผ่อนภาระ เรื่องตักน้ำใส่ตุ่มของแม่ให้เบาลงด้วย
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งแสงไว้ให้มองเห็นได้อีกพักใหญ่ๆ ก้อนเดินตามหลังพ่อมาติดๆ ขากลับพ่อจะยกเบ็ดดูทุกหลัง ถ้าปลาติดเบ็ดก็ปลดเอาปลา ถ้าเหยื่อหมดพ่อก็จะเกี่ยวเหยื่อหย่อนเบ็ดลงไปใหม่ ก้อนกับพ่อถึงเถียงนาฟ้าก็มืดพอดี แม่มองดูตะข้องที่สะพายบ่าของก้อน แม่ยิ้มแล้วถาม
“ได้มากี่ตัวหละ”พ่ออมยิ้มส่งกำผักให้แม่แล้วมองก้อน
“ได้มาสามตัว มีแต่ตัวเกือบๆโลทั้งนั้นเลยจ้ะแม่”ก้อนตอบก่อนจะเอาปลาไปขังไว้ในตุ่ม ไว้ทำกับข้าวมื้อต่อไป หรือถ้ามีใครมาขอซื้อ แม่ก็จะเป็นคนจัดการ
“ไปล้างไม้ล้างมือ แล้วมากินข้าวกัน วันนี้แม่ทำน้ำพริกปลาย่างของโปรดของก้อนเลยนะ”
“กินเลยไม่ได้หรือจ้ะแม่”ก้อนถามแม่ แต่ที่ก้อนได้ยินแล้วทำให้หดคอห่อไหล่นั่นคือเสียงคราง”ฮือ”ยาวๆในคอของพ่อ แม่มองแล้วก็อมยิ้ม ก้อนรีบเลี่ยงไปล้างมือแล้วมานั่งลงข้างแม่
“พ่อคืนนี้ให้หนูไปยกเบ็ดด้วยคนนะ”ก้อนถาม
“ไม่ต้องไปหรอก พรุ่งนี้ตื่นไปเรียนสายอีก”พ่อบอก ระยะทางจากนาไปโรงเรียนร่วมร่วมสองกิโลฯ แต่ไม่ได้ไกลเลยในความรู้สึกของก้อน
“นะพ่อนะ ให้หนูไปด้วยนะหนูสัญญาว่าจะไม่ตื่นสาย จริงๆจ้ะพ่อ”
“รีบกินข้าวเถอะน่า”พ่อตัดบท ก้อนเลยก้มหน้าก้มตากินข้าว กินได้นิดเดียวก็อิ่ม ลุกขึ้นไปกินน้ำที่นอกชานเถียงนา
“ทำไมอิ่มเร็วนักหละลูก”แม่ถาม แต่ก้อนไม่ตอบ พ่อเพียงแต่มองตามหลังก้อนไม่พูดอะไร
“ให้ลูกไปด้วยสักวัน คงไม่เป็นไรมั้งพ่อ”แม่ถามน้ำเสียงคะยั้นคะยอด้วยสงสารก้อนอยู่ในที
“กินข้าว”พ่อพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบ แม่ก็เลยต้องเงียบตามพ่อ
ข้าวมื้อเย็นผ่านไปแล้ว พ่อลงไปใต้ถุนเถียงนา สุมฟืนเพิ่มเข้ากองไฟที่หรี่ใกล้มอดเต็มที นอกจากให้แสงสว่าง สร้างความอบอุ่น แล้วยังเป็นการไล่ยุงด้วยควันไปในตัว ก้อนนอนหนุนตักแม่ ฟังแม่เล่านิทานเรื่องดาวลูกไก่ ก้อนจำไม่ได้ว่าแม่เล่านิทานเรื่องดาวลูกไก่ให้ฟังกี่ครั้งแล้ว แต่ก้อนจำได้เกือบทุกคำที่แม่เล่า โดยเฉพาะตอนที่ตาบอกกับยายว่าต้องเชือดแม่ไก่ทำกับข้าวไปถวายพระธุดงค์ แม่ไก่ได้ยินสองตา ยาย ปรึกษากันก็ยอมตายเพื่อตอบแทนบุญคุณของตา ยาย แต่ก็เป็นห่วงลูกๆที่ยังเล็กทั้งเจ็ดตัว ว่าจะไม่มีใครคอยปกป้องดูแลลำพังตากับยายก็ต้องออกไปไร่ไปนา ไหนจะมีเวลามาดูแลสักเท่าไหร่ จึงสั่งเสียกับลูกๆทั้งเจ็ด และกำชับกับลูกไก่พี่ตัวแรกว่า ต้องดูแลน้องๆให้ดี ให้คอยระวังพวกนกเหยี่ยว นกแร้งให้ดี เพราะนับแต่วันพรุ่งนี้ แม่ไก่จะไม่ได้อยู่ดูแลลูกไก่อีก บรรดาลูกไก่ได้ฟังแม่สั่งเสีย ต่างก็ร้องให้ จนรุ่งเช้ายายก่อไฟต้มน้ำ ข้างฝ่ายตาก็ไปจับแม่ไก่มาเชือดเสร็จตาโยนแม่ไก่ที่ยังเกร็งกระตุกอยู่ ไปกลางลานลูกไก่ทั้งเจ็ดตัวต่างก็พากันวิ่งวน รอบตัวแม่ไก่ พลางส่งเสียงร้องเจี้ยบ เจี้ยบ เหมือนจะปลุกให้แม่ฟื้นขึ้นมา เป็นที่น่าเวทนาแก่ตายายยิ่งนัก กระทั่งน้ำร้อนได้ที่ ยายก็มาคว้าร่างแม่ไก่ไปจุ่มลงหม้อ ลูกไก่มองเห็นก็พากันกระโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ไป ด้วยอานิสงค์แห่งความกตัญญู ทำให้ลูกไก่ทั้งเจ็ดได้ไปเกิดเป็นดาวบนฟ้าทั้งเจ็ดดวง.......................................................................................
มีต่อ...