ดึกดื่นชื่นฟ้าดาราแพร้ว
ไร้แววทางรุ่งรุ้งละหาน
ยามนี้หนึ่งธุลีในจักรวาล
ทนทุกข์ทรมานเจียนขาดใจ
หนาวเหงาร้าวพร่างพราวเงาสำนึก
รำลึกพร้อมตราตรึกความสงสัย
อนธกาลพาลมืดจืดจางหฤหัย
ประดับไว้วัจนีที่รจนา
หวานหวั่นวานวันวิปโยค
ร้างทางโศกตระหนกตรองแสวงหา
อีกมินานปราณร่วงปวงน้ำตา
มาแทนสื่อวิสัชนารอยอาลัย
เศษป่นก่นผลาญพอหรือ
ยึกถือภาษานี้พอไหม
คคนานต์พาลพรากจากอรุโณทัย
เยื่อใยดับสิ้นพรางอำลา
นาฬิกานาทีมิอาจร้าง
ฤๅห่างกลางหนบนปรารถนา
ที่หวงทั้งปวงดวงกุสุมา
ชั่วครั้งดาริกาผ่องอำไพ
เหตุใดความนัยใคร่วิตก
เพราะสะทกสั่นสะท้านวิเวกไหว
นิราศลางพรางย้ำวิโยคใจ
เพียงทรวงในหนึ่งสรวงดวงนฤมล
แสงนภาว่าสางกลางเรืองรุ่ง
ปลอบปรุงครุ้งคาวทุกขุมขน
ยามเช้าร้าวร้อนข้อนกมล
บนแห่งหนกนกว้านพรั่นหฤทัย
จักเลิกร้างลาจางที่ทางโพ้น
ตรงโน้นแม้มากขวากหนามไหน
จักดื่มด่ำล้ำลึกมิห่างไกล
ดุจแก้วรุจีในดวงมณี
หมุนวนปนปะระคนว่าย
คล้ายคล้ายร้ายนักชักหมองศรี
จึงรำพึงถึงทิวามาลตี
ณ.กาลนี้นาทีลบจบสิ้นลา
ขอแล้วคลาดแคล้วความรัก
พร้อมพรักความเศร้าซมเซากว่า
วันนี้กลางฤดีไร้แก้วตา
จงอย่าเคืองค้อนขุ่นทรวงใน
ถึงครั้นกาลดึกที่ลึกร้าว
เศร้าปล่าวปวดแปลบแสบหม่นไหม้
รักแท้แน่ชัดกระหวัดใจ
เพียงชั่วหนึ่งในใฝ่ปอง
ดับมืดหมอกมิดแล้วดวงเนตร
สุดเขตข้นพร้างทางหมางหมอง
ทั้งดารายังกระจ่างพร่างมอง
ยังตรองตรึงตราประทับใจ
พบแพรวแลแววรุ่งรุ้งละหาน
แต่ดวงมาลย์ต้องนิราศคลาดไถง
หมื่นล้านกาลจักรวาลเพียงเสี้ยวใจ
หาสิ้นไร้อาลัยในภัคคิณี
สิตางศุ์
๒๔๐๙๒๕๕๔