~*~ พรากกันนิรันดร ~*~
ซากอดีตล่ามทรวงเป็นบ่วงบาศ
อีกกี่ชาติที่จิตยังติดอยู่-
กับตรวนบาปสาปทัณฑ์เข้าพันตู
ให้ต้องสู้ฝ่าฝืนผ่านคลื่นกรรม
กลางระลอกลมเห่ทะเลคลั่ง
คล้ายจะพังนาวาถลาถลำ
สุดฟากเวิ้งเวหนก็หม่นดำ
ทั้งทรวงช้ำหมองเศร้าเพราะเงามัว
ครอบคลุมชีพทั้งช่วงกลางห้วงทุกข์
ที่ยังรุกลามใจเจ็บไปทั่ว
ระลอกความอาลัยก็ไหวรัว
คอยย้อนยั่วเกินยั้งประดังทรวง
อยู่กับความเงียบเหงาอย่างเศร้าสร้อย
รอคืนคล้อยวันเคลื่อนเพื่อเลือนบ่วง
รักที่คอยเกี่ยวรัดกระหวัดดวง-
หทัยล่วงล้ำลงในวงตรวน
ยิ่งเนิ่นนานยิ่งหนาวปวดร้าวอก
เหมือนนรกแทรกจิตให้คิดหวน
ถึงแต่รอยอดีตช้ำเฝ้าคร่ำครวญ
จนทุกส่วนเนื้อใจนั้นใกล้ราน
เก็บเศษรักซากร้างไว้กลางจิต
คงลิขิตเคลื่อนวงรอบสงสาร
สบรอยกรรมซ้ำซากวิบากราน
เกินแรงบุญหนุนต้านให้ผ่านเลย
สายลมเช้าโชยริ้วพัดพลิ้วผ่าน
ปทุมาเบ่งบานละลาน,เผย
ทั้งสีกลิ่นหอมหวนให้ชวนเชย
ราวจะเย้ยผึ้งภู่ให้อยู่ดอม-
หยาดน้ำหวานถ่ายเทจากเกสร
ให้ซอกซอนลิ้มรสอันสดหอม
มิรู้นานเพียงใดที่ไต่ตอม-
แนบดอกดวงพวงพยอมอย่างยอมตัว
ภุมรินบินร่อนภมรเคล้า
จวบล่วงเข้าพลบค่ำฟ้าก่ำหลัว
บัวหลุบเรียวกลีบบางกลางม่านมัว
งามเพียงชั่วช่วงวันก็พลันวาย
เฉกความรักสิ้นรสก็หมดค่า
จักเอื้อมคว้ากลับคว้างค่อยจางหาย
หวังยื้อยุดให้อยู่เคียงคู่กาย
ก็มลายลงสิ้นหมดยินดี
ฤๅนาวาชีวิตลิขิตแล้ว
ว่าให้แคล้วคลาดกันสิ้นวันที่-
จะได้สบรอบบุญหนุนชีวี
จึงได้มีเหตุให้ต้องไกลกัน
บัวหลุบกลีบก้านล้มลงจมน้ำ
ผ่านคาบค่ำคืนเวียนก็เปลี่ยนผัน
หมดไม่เหลือซากงามสิ้นตามวัน
เฉกนิรันดร์ฝันร้าง..บนทางเลือน
วลีลักษณา
๕ กันยายน ๒๕๕๔