กุสติณราช ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
23 ธันวาคม 2024, 01:54:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กุสติณราช ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย  (อ่าน 1906 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
22 ตุลาคม 2024, 03:55:PM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« เมื่อ: 22 ตุลาคม 2024, 03:55:PM »
ชุมชนชุมชน

กุสติณราช

(เทวโลก)                       
ณ เมืองแมน  แดนสรวง  ล่วงเวหน
สุริยน  หม่นแสง  ไม่แดงใส
ดาราเจิด  จรัส  งามจับใจ
รุ่งไสว  ไร้เมฆ  เฉกพระจันทร์

เหนือสุเมรุ  เกินเกณฑ์นับ  จักวัดได้
มีเมืองใหญ่  วิไลงาม  ปานเสกสรรค์
เหล่าทวยเทพ  เสพสุข  ทุกคืนวัน
นามลือลั่น  สรวงสวรรค์  ชั้นดาวดึงส์

กลางอัมพร  นครหาว  วาวปราสาท
งามพิลาส  ปราศคน  ด้นดั้นถึง
เวชยันต์  วังไท้  แดนไตรตรึงษ์
ช่างสวยซึ้ง  ตรึงตา  น่าเพลินมอง

สูงเสลา  พราวระยับ  นับร้อยโยชน์
รายธงโบก  โบยพลิ้ว  ริ้วสลอน
หลากพลอยแก้ว  แวววับ  จับตามอง
ไทวะผอง  ไม่รองไหน  ในดินแดน

ถัดวังไท้  ใกล้ติด  ทิศอีสาน
มีสวนงาม  ละลานตา  น่าสุขแสน
นามปุณฑริก  นิรชร  ค่อนเมืองแมน
เปรียบดุจแม้น  แดนสถาน  สำราญใจ

มวลพันธุ์ไม้  รายแยก  แตกกิ่งช่อ
ซุ้มพุ่มกอ  ลออบาน  งามสดใส
บ้างสูงกร่าง  ลามแผ่  แพร่ออกไป
บ้างไสว  พร่างดอก  รอบอุทยาน

กลางสวนงาม  มีอาราม  นามเกริกก้อง
เทพทั้งผอง  พร้อมพรัก  สมัครสมาน
มาคับคั่ง  นั่งฟัง  ธรรมตามกาล
ยังสถาน  สุธรรมา  ศิวาลัย

ใต้ไม้ใหญ่  เหลือคณา  ปาริฉัตร
หนึ่งสุร  อัครแถน  ผิวแดงใส
ยืนทอดตา  ผกามาลย์  เบิกบานใจ
เนื่องจวนใกล้  ครรไลหาว  ดาวดึงส์

ด้วยบุญญา  ธิการ  อภิบาลส่ง
ดั่งจำนงค์  สมจิต  สถิตถึง
ตุสิตา  สง่าเหลือ  เหนือไตรตรึงษ์
เป็นชั้นซึ่ง  โพธิสัตว์  พำนักกาย



(โลกมนุษย์)                     
ณ  แผ่นดิน  ถิ่นแดน  แคว้นมัลละ
มีกษัตริย์  ทรงศักดิ์เด่น  เช่นไศล
เลื่องระบือ  ลือนาม  แผ่กว้างไกล
นามจอมไท้  โอกกากราช  ราษฎร์ชื่นชม

พระทรงภพ  ทรงยกธรรม  นำประเทศ
ใต้เศวต  ฉัตรไท้  ไพร่สุขสม
กิจการ  ร้านค้า  แน่นหนาคน
ทุกแห่งหน  ชนสราญ  ชื่นบานใจ

ภูมิบดี  มีชายา  สง่าแสน
ทั่วเขตแดน  แคว้นสกล  ชนเลื่อมใส
สีลวดี นามเสนาะ  เพราะจับใจ
ตั้งเป็นใหญ่  กว่านางใด  ในดินแดน

องค์จอมไท้  ไว้พระทัย  ให้อำนาจ
ด้วยเปรื่องปราด  มากปัญญา  เก่งกล้าแสน
มอบนางใน  ให้ปกครอง  พอผ่อนแรง
เพื่อช่วยแบ่ง  เบาภาระ  พระจักรี



องค์ผ่านเผ้า  เฝ้าหวัง  บัลลังก์ราชย์
มีทายาท  สืบชาติพงศ์  ดำรงศรี
ราชสกุล  ครองกรุง  กุสาวดี
ผ่านหลายปี  ไร้ทีท่า  น่าแปลกใจ

เหล่าข้าราช  มากล้น  ชนทั่วหล้า
ต่างตั้งตา  ตั้งหน้ารอ  หน่อเชื้อไข
องค์ภูมินทร์  ปิ่นเกล้า  เจ้ากรุงไกร
เหตุไฉน  ไยเนิ่นนาน  พานกังวล

จึงชักชวน  รวมกัน  พลันมุ่งหน้า
สู่พารา  หาบพิตร  คิดประสงค์
แจ้งกษัตริย์  พิบัติใหญ่  ใกล้กรายองค์
หากไม่ทรง  มีทายาท  ชาติมลาย



นโรดม  ทรงสดับ  ถ้อยอรรถราษฎร์
ให้ลำบาก  ยากจิต  คิดมากหลาย
จึงเผยความ  ตามดำริ  อธิบาย
เหตุไฉน  ไร้ทายาท  ชาติล่มจม

เราใช้ธรรม  นำพา  รักษาประเทศ
ไยเป็นเหตุ  พิบัติภัย  ไพร่ขื่นขม
ทั่วแว่นแคว้น  แดนดิน  ถิ่นสกล
ราษฎร์สุขสม  คนไร้ทุกข์  สุขสำราญ

อาณาจักร  จรัสเรือง  เลื่องนามก้อง
ใต้ครรลอง ปรองดองรัก สมัครสมาน
ประเทศราช  มากพร้อม  น้อมบรรณาการ
ไยปวงท่าน  พรั่นวิตก  อกร้อนรน



เหล่าข้าไท้  ได้ฟัง  ราชันตรัส
จึงตอบกลับ  ดำรัสไท  ไม่ฉงน
เพลานี้  ทั่วธาษตรี  ที่มั่นคง
ด้วยพระองค์  ทรงสามารถ  ยากใครเทียม

แต่ความคิด  จิตมนุษย์  สุดหยั่งรู้
มีกายอยู่  ศัตรูหลบ  หดหายเศียร
สิ้นกายา  ศัตรูคล่อง  จ้องเบียดเบียน
ช่วงผลัดเปลี่ยน  เสี่ยงพินาศ  ชาติอัปรา

ขอพระองค์  ทรงดำริ  ตริตรองเถิด
ถึงประเสริฐ  เลิศใหญ่  เกินใดหา
ถึงเก่งกาจ  สามารถ  มากปรีชา
สุดท้ายหน้า  ดินกลบ  จบชีวัน

แต่ชาติคง  ดำรงอยู่  มิรู้ดับ
เปลี่ยนกษัตริย์  สัตราช  ชาติสุขสันต์
ได้กษัตริย์  ทรราช  ชาติจาบัลย์
ควรฤานั่น  ชั่งพระทัย  ทรงไตร่ตรอง



ธรณิศ  คิดทวน  ชวนอึดอัด
ฟังถ้อยอรรถ  ประจักษ์เห็น  เช่นทั้งผอง
แต่อับจน หนทางออก  กลอกตามอง
ข้าไท้จ้อง  มองทรงธรรม  พลันเข้าใจ

จึงทูลตอบ  บอกวิธี  ที่สามารถ
สืบทายาท  ชาติพงศ์  วงศ์อดิศัย
แต่ภูวนาถ  คงยาก  ลำบากใจ
หากจักใช้  แนวทาง  ตามประชา

จอมราชัน  ฟังคำ  ท่านอมาตย์
ให้เอิบอาบ  วาบใจ  เกินใดหา
ปัญหาหนัก  สลัดได้  คลายอุรา
แม้ต้องฝ่า  ทุกข์ใด  ไม่อินัง

จึงตรัสถึง  ซึ่งวิธี  มีไฉน
เป็นอย่างไร  ยากเพียงไหน  ไม่หนีหัน
ถึงข้ามเขา  ราวป่า  จักฝ่าฟัน
บ่คร้ามยั่น  พรั่นลาน  วานบอกมา



อมาตย์ฟัง  พลันแถลง  แจ้งธเรศ
ถึงมูลเหตุ  องค์เอกไท้  ไร้วงศา
เนื่องเป็นหมัน  ยากหวังให้  ได้บุตรา
จึงเนิ่นช้า  เหนื่อยล้าคอย  พลอยกังวล

หากผ่านเผ้า  เฝ้าหวัง  บัลลังก์ราชย์
มีทายาท  สืบชาติพันธุ์  ดังประสงค์
ต้องยอมหัก  ตัดพระทัย  หมองไหม้ทน
ปล่อยสนม  ทรงมากมี  ที่ในวัง

ให้ออกนอก  วังไป  ในหนึ่งอาทิตย์
เลือกคู่ชิด  สนิทกาย  ชายในฝัน
ร่วมสังวาส  เอิบอาบอิ่ม  ผินกลับวัง
หนึ่งเดือนผัน  ครรภ์สงัด  นางถัดไป

โสฬสพัน  อังคณา  บรรดาสนม
งามอ่าองค์  นงคราญ  นางทั้งหลาย
ต้องมีหนึ่ง  ซึ่งสามารถ  สืบชาติไท
ให้ทายาท  จอมไท้ได้  ในไววัน

นโรดม  ทรงฟัง  ทำตามบอก
ไม่กลับกลอก  ตอบแน่นหนัก  ตรัสขึงขัง
ให้ยุพา  บรรดามี  ที่ในวัง
ร่วมตุนาหงัน  ฉันท์ชู้สาว  คราวละคน

ปวงประชา  หน้าใส  ยินไท้ตรัส
สิ้นอึดอัด  ทุกข์คลาย  ใจสุขสม
ต่างเพรียงพร้อม  น้อมกราบ  บาทยุคล
หายหน้าพ้น  องค์ราชา  ลากลับไป



จำเนียรกาล  ผ่านพ้น  วนเวียนกลับ
ยังสงัด  ข่าวมงคล  ชนสงสัย
หลายปีเลื่อน  เคลื่อนจาก  ราษฎร์ทุกข์ใจ
ด้วยยังไร้  ข่าวทายาท  ยากเบิกบาน

จึงประชา  มาประชุม  ชุมนุมใหม่
หน้าวังไท้  ทนไม่ไหว  ใคร่ทวงถาม
ถึงทายาท  สืบชาติพงศ์  องค์ภูบาล
ไยยังว่าง  ให้ฉงน  พิกลใจ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 ตุลาคม 2024, 03:56:PM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #1 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2024, 03:56:PM »
ชุมชนชุมชน

จอมราชัน  ฟังประชา  พาอึดอัด
เอ่ยดำรัส  ตรัสแจ้ง  แถลงไข
บอกทดสอบ  ครอบคลุมถ้วน  มวลนางใน
แต่ไฉน  ไร้ทายาท  ยากกล่าวคำ

เหล่าพสก  ตระหนกฟัง  ทรงธรรมตรัส
ให้ข้องขัด  คับใจ ไยสิ้นหวัง
ยากจักเชื่อ  หน่อเชื้อพงศ์  วงศ์เทวัญ
จะมาสั้น  สะบั้นไป  กระไรฤา

จึงรวมพล  ระดมแจง  แสดงเหตุ
แห่งอาเพศ  ธเรศมี  ที่ใดหรือ
จึงไร้ซึ่ง  หนึ่งนาง  กระนั้นฤา
ให้ทายาท  สืบวงศ์ชื่อ  เลื่องลือไกล

หลังปรึกษา  หารือนาน  พานสรุป
เหล่านงนุช  ยุพยง  องค์ฤาสาย
ล้วนทุศีล  สิ้นถ้วน  มวลนางใน
เป็นเหตุให้  ไร้สามารถ  ยากตั้งครรภ์

เนื่องทายาท  มากบุญ  สกุลรุนชาติ
จุติจาก  ฟากฟ้า  เทวาสวรรค์
ห่อนฝังจิต  สนิทแนบ  แทรกในครรภ์
หญิงไม่มั่น  คงธรรม  ยากนำพา

จึงน้อมทูล  ภูมิบดี  วิธีใหม่
หากจอมไท้  ใคร่สมดัง  ปรารถนา
ได้ทายาท  สืบพงศ์  วงศ์ราชา
โปรดบัญชา  พระชายา  สีลวดี

ด้วยโฉมฉิน  ศีลลออ  บริสุทธิ์
งามประดุจ  อินทุเพ็ญ  เปล่งราศี
เกินหญิงใด  ในหล้า  บรรดามี
เป็นแม่ศรี  มิ่งแดน  แคว้นพวกเรา

หากองค์อร  ยอมทำ  ต้องสำเร็จ
ได้แก้วเพชร  เม็ดงาม  อร่ามเสลา
เป็นทายาท  ราชบัลลังก์  มัลละเรา
ขอผ่านเผ้า  เจ้ามหิ  ตริตรองดู

เมื่อนั้น…โอกกากราช  ฟังคำ  พลันอึดอัด
ผินหน้าผละ  ไม่ปะใคร  ใจอดสู
ให้ลำบาก  ยากบอก  ยอดพธู
มิ่งเมียชู้  คู่ขวัญ  ทำอย่างไร

แต่เพื่อชาติ ราษฎร์ประชา  ต้องมาก่อน
ความเดือดร้อน  ผองชาวเมือง  เรื่องยิ่งใหญ่
ต้องขจัด  ปัดเป่า  ทุกข์เศร้าไป
องค์จอมไท้  ฝืนใจตัด  หักใจทน

จึงบัญชา  เสนา  มหาอำมาตย์
สั่งข้าราช  ประกาศแจ้ง  ทั่วแห่งหน
ศาลากลาง  ร้านค้า  แน่นหนาคน
ตรอกถนน  หนทางแพร่ง แจ้งทั่วกัน

นับเวลา  เจ็ดวัน  จากวันนี้
พระเทวี  สีลวดี  นารีขวัญ
จะเสด็จ  ดำเนินออก  ยังนอกวัง
เพื่อฝากฝัง  สัมพันธ์ชู้  คู่ฤทัย

เลือกชายชาติ  อาชาไนย  ให้ทายาท
สืบต่อราชย์  ชาติพงศ์  วงศ์อดิศัย
ให้ยืนยง  คงอยู่  คู่ไผท
เป็นหน่อเนื้อ  เชื้อไข  ไชยราชา

ชายใดหวัง  สัมพันธ์รัก  สมัครสมาน
กับจอมนาง  ผู้งามสรรพ  ยากจักหา
หญิงใดเปรียบ  เทียบทัน  กัลยา
ให้จงมา  รอลาน  ทวารวัง

สิ้นประกาศ  ราชโองการ  ภูบาลแจ้ง
ทุกแยกแพร่ง  แหล่งชุมชน  คนมากฝัน
ทั้งหนุ่มอ่อน  ค่อนเฒ่า  เฝ้าโจษจัน
ต่างมุ่งหวัง  กัญญา  ต้องตาตน

จึงเมื่อถึง  ซึ่งกาล  ตามกำหนด
เหล่ามานพ  สมทบกัน  คับคั่งถนน
ยืนยัดเยียด เบียดเสียดออ  รออนงค์
จากทุกหน  ทุกแห่ง  แย่งกันมา



ณ เวลา  เดียวกัน  เบื้องชั้นหาว
มรุเจ้า ท้าวสุรินทร์  ตาวติงสา
อยู่อยู่เกิด  ร้อนใจ  ให้สงกา
จึงกำหนด  จดจิตหา  ปัญหาใด

ฉับพลันทราบ  พิลาสถี  ผู้มีศักดิ์
นารีรัตน์  พระจักรี  ศรีสมัย
โอกกากราช  ราษฎร์ทวยเทิด  เกริกเกียรติไกล
จักเลือกชู้  คู่ฤทัย  ให้บุตรา

เพื่อสืบชาติ  ราชบัลลังก์  จำสละ
ศีลข้อวัตร  ยอมตัดใจ  ไม่รักษา
หวังราษฎร์ไท้  ได้ดัง  จินตนา
องค์ชายา  อุราตรม  ทนจาบัลย์

มเหสักขเทวัญ  ครั้นทราบเหตุ
ให้นึกเวทนานาง  พลางผลุนผลัน
นั่งไม่ติด  ครุ่นคิดการ  ช่วยนางพลัน
ให้สมหวัง  ดังใจ  ไม่ทุกข์ตรม

จึงตริตรอง  มองหา  เทวาแถน
ในเมืองแมน  แดนสรวง ล่วงเวหน
ผู้ใดจึง  คู่ควร  นวลอนงค์
เป็นทายาท  ชาติพงศ์  วงศ์ไพบูลย์

บัดนั้น  ท้าววัชเรนทร์  เห็นนิมิต
ภาพอดิเทพ  ครรไล  ไปเบื้องสูง
ทิ้งดาวดึงส์  ขึ้นฟ้า  ตุสิตาภูมิ
เนื่องบุญหนุน  ผดุงส่ง  องค์เทวา

ท้าวสุเรนทร์  เกรงไม่ทัน  พลันเร่งรุด
พร้อมเทพบุตร  ผุดผ่อง  คล่องแกล้วกล้า
ยังสำนัก  โพธิสัตว์  เลื่องศักดา
เพื่อสกัด  ดักหน้า  อมราไคล

ถึงวิมาน  มัฆวาน  สั่งการตรัส
ไม่เอ่ยทัก  รับสั่งพลัน  กันสงสัย
ให้อมร  พร้อมจรัล  ยังกรุงไกร
จุติฟ้า  ลาไป  ในภูวดล

ณ แว่นแคว้น  แดนดิน  ถิ่นมนุษย์
เกิดเป็นบุตร  สุทธิกานต์  ตามประสงค์
โอกกากราช  ราชา  ผู้อ่าองค์
เทวีพ้น  มลทิน  ศีลสมบูรณ์

โพธิสัตว์  สดับคำ  มิทันแย้ง
ศักรพลันแจ้ง  แถนเคียงใกล้  ให้ตามหนุน
ลงไปเกิด  กำเนิดข้าง  พุทธางกูร
คอยเกื้อหนุน  จุนเจือ  เมื่อจำเป็น

จบความมี  วัชรี  ก็ตีจาก
ทิ้งเวหาส  เหาะจากฟ้า  หาไม่เห็น
สองเทวัญ  ยังงันงง  องค์วัชเรนทร์
มาหลีกเร้น  เผ่นลับ  คับข้องใจ



ฝ่ายองค์อินทร์  ทิ้งหาว  ลงด้าวดิ่ง
ถึงแผ่นดิน  ผินมา  พาสงสัย
กลายรูปลักษณ์  พักตร์แก่เฒ่า  เคราสั่นไกว
ผมเผ้าขาว  ราวเปลือกไข่  ให้พิกล

เดินยักแย่  ยักยัน  มาวังไท้
เยื้องย่างกราย  หายใจขัด  อึดอัดสับสน
ถึงหน้าลาน  ทวารวัง  พลันก้มลง
โก่งก้นโค้ง  ผายลมคั่ง  ลั่นทั่วลาน

เหล่าบุรุษ  กระจุกออ  พอยินเสียง
ปู้ดป้าดเปรี้ยง  เสียงท้องลั่น  พลันแตกซ่าน
บ้างสำลัก  กระอักไอ  รากไหลยาน
บ้างถูกหาม  ออกลานพ้น  เป็นลมไป

หลากฉกรรจ์  หันมอง  จ้องผู้เฒ่า
ดุว่ากล่าว  แก่คราวปู่  ดูไม่ไหว
ยังอุตส่าห์  พาสังขาร  มาทำไม
เหตุไฉน  ไม่อยู่เหย้า  คอยเฝ้าเรือน

บ้างดรุณ  หนุนตาม  ประจานซ้ำ
พูดหยามหยัน  ซ้ำเหลือบมอง  จ้องเชือดเฉือน
จวนกลายฟอน  นอนไฟ  ไยเลอะเลือน
แม้ย่างเยื้อง  กระย่องกระแย่ง  แรงไม่มี

องค์เทวะ  สหัสนัยน์  ในร่างเฒ่า
แสร้งตาวาว  เคราสั่นฟัง  คำเสียดสี
พูดติดขัด  ตะกุกตะกัก  กลับทันที
เจ้า..พวก..นี้  นี่..ยัง.เยาว์  เขลา..เหลือ..ทน

ขิง..จะ.เด็ด  เผ็ด..จริง  เพราะ..ยิ่งแก่
หมอ.จะ..แน่  เพราะ..แก่.วัย  ไม่..ฉงน
ไม้..จะ..แกร่ง  แก่น..แก่.นาน  จึง..ทาน.ทน
ชาย..เหมาะ..สม  หญิง.งาม..พักตร์  นับที่วัย

เหล่าบุรุษ  สุดกลั้น  ขันทั่วหน้า
ฟังวาจา  ชราอ้าง  ช่างเหลวไหล
เปรียบเทียบเขลา  เอาข้างสี  ดีกว่าใคร
บุรุษไหน  ไม่เหมาะเท่า  ขรัวเจ้าเอง

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 ตุลาคม 2024, 03:57:PM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #2 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2024, 03:57:PM »
ชุมชนชุมชน

เพลานั้น  วังทวาร  บานเปิดอ้า
เสียงพูดจา  พาเงียบพลัน  หันมองเห็น
องค์นงลักษณ์  พักตร์หม่นเมิน  เดินโคลงเคลง
แอบซ่อนเร้น  ทุกข์เข็ญทน  ระบมใน

ผ่านบุรุษ   มากมาย  ลายตาสบ
ยังมิพบ  สบใจ  ชายคนไหน
ทั้งสูงต่ำ  ดำด่าง  แตกต่างวัย
ทั้งหล่องาม  ทรามคละไป  เรียงรายปน

วาสพเฒ่า  เฝ้ามอง  ใจตรองตริ
ตนมาติด  ปิดหลัง  ช่างไม่สม
ต้องยืนหน้า  ฉุดพานาง  ห่างผู้คน
ถึงจักพ้น  คนรู้  นางอยู่ใด

จึงพินิจ  คิดการ  พานางหนี
เยี่ยงไรดี  ที่คน  ไม่สงสัย
นึกได้พลัน  ตะโกนดัง  ไปทันใด
เปิดทางให้  ขรัวเฒ่าไป  ในบัดดล

สิ้นตะโกน  เฒ่าทโมน  ก็โจนฝ่า
ดุจอาชา  แรงกล้านัก  ทัพพหล
เหล่าบุรุษ  กระจุกออ  พอถูกชน
กระเด็นพ้น  ล้มคลุก  ฟุบหมอบดิน

ส่งเสียงคราง  ลานตา  หน้าแผลเกลื่อน
เหล่าผองเพื่อน  เบือนหัน  กลับหลังสิ้น
ตกใจเสียง  สำเนียงร้อง  ก้องได้ยิน
เห็นเพื่อนกลิ้ง  นอนดินคราง  พลางงงงัน

ฝ่ายชรา  พริบตาผึง  ถึงแถวหน้า
ทันเวลา  อ่าอนงค์  องค์เฉิดฉัน
ย่างมาสบ  พบพันตา  ประหม่าพลัน
เฒ่าผลุนผลัน  คว้าหัตถ์  ผละจากจร

เหล่าฉกรรจ์  มัวหันดู  หมู่คนเจ็บ
ไม่ทันเอะ  ใจมอง  จ้องสมร
พอรู้ตัว  ขรัวเฒ่าพา  สุดาจร
จึงก้องร้อง  โกรธา  ดุด่าไป

โอ้กระไร  ชราวัย  ไยมากเล่ห์
ช่างเสเพล   เสแสร้ง  แกล้งเหลวไหล
ทำงกเงิ่น   เดินสั่น  นั่นปะไร
ฉุดนางได้  ลวดลายออก  ลอบจากจร

เพียงประเดี๋ยว  เดียวเผ่น  ไม่เห็นหลัง
องค์ร้อยชั่ง  ช่างกระไร  ไม่ทุบถอง
กลับตามชิด  ติดไป  ใจสมยอม
ทิ้งฉกรรจ์  ทั้งผอง  คับข้องใจ

กล่าวถึงเฒ่า  เครายาว  สาวเท้าย่าง
จูงนงคราญ  พรางหลีก  ปลีกลับหาย
ถึงสำนัก  พักพิง  สิ้นหวั่นใจ
เชิญอ่อนไท้  คลายอึดอัด  ขึ้นพักบน

องค์ชายา  หน้าตรอม  ใจหมองเฉา
ยินผู้เฒ่า  กล่าวคำ  ฟังฉงน
นึกแปลกใจ  เรือนผู้ใด  ใหญ่ชอบกล
ช่างสวยสม  ภิรมย์รื่น  ชื่นฤทัย

จึงเอ่ยถาม  ความไป  ใครเจ้าบ้าน
ช่างโอฬาร  งามเขื่อง  กว่าเรือนไหน
เฒ่าจำแลง  แถลงพลัน  ในทันใด
ขอกลอยใจ  คลายฟุ้งซ่าน  บ้านพี่เอง

พี่อยู่เดียว  เปลี่ยวกาย  มาหลายหนาว
ขาดคนเคล้า  เศร้าตรม  ทนทุกข์เข็ญ
ราตรีค่ำ  ระกำฝืน  ตื่นลำเค็ญ
หวังจักเป็น  เช่นเขาอื่น  ชื่นคู่คลอ

ฟ้าเบื้องบน  คงรู้  ให้คู่พี่
เป็นเทวี  ศรีบังอร  พร้อมห้องหอ
หวังให้ไท้  ได้พงศ์เผ่า  สืบเหล่ากอ
นวลลออ  อย่าแคลง  แหนงหน่ายเลย

หลังขึ้นบน  เชิญอนงค์  นั่งบนแท่น
พญาแถน  แสดงท่า  โอ่อ่าเผย
บอกบังอร  นอนพัก  หลับได้เลย
อย่าเอื้อนเอ่ย  ถ้อยใด  ให้ใจตรอม

จบวาจา  ชราพลาง  มือวางจับ
แผ่วสัมผัส  หัตถ์พธู  ทั้งคู่สอง
องค์นงนาฏ  คาดไม่ถึง  ตะลึงมอง
ไม่ทันร้อง  ล้มนอนพับ  หลับทันใด



บัดนั้น  เฒ่าจำแลง  แปลงร่างกลับ
กลายรูปลักษณ์  เรืองรอง  ผิวผ่องใส
เป็นราชา  สุรารักษ์  งามจับใจ
อุ้มนงโพธ  โอบอกไว้  เหาะไคลคลา

ผ่านสัตต  บริภัณฑ์  เจ็ดบรรพต
เขาวงกต  วกวน  ยากค้นหา
สีทันดร  ละอองพลิ้ว  ริ้วงามตา
ข้ามสิเนรุ  ทะลุฟ้า  ลับตาไป

ถึงอัมพร  นครหาว  วาวปราสาท
งามพิลาส  วาบเพชร  เม็ดวาวใส
ศักรพุ่งตรง  วางนางลง  ในทันใด
เหนือแท่นใหญ่  วิไลงาม  กลางไพชยนต์

หลังวางเสร็จ  เสด็จออก  นอกปราสาท
เทวราช  อิ่มอาบใจ  ให้สุขสม
ประทับตั่ง  นั่งสุข  บัณฑุกัมพล
เหล่านางฟ้า  ล้อมวง  องค์สุเรนทร์



เมื่อนั้น  สีลวดี  นรีรัตน์
หลังฟื้นหลับ  พักตื่น  ขึ้นมองเห็น
ห้องโกสีย์  ที่งามเหลือ  เหนือกฎเกณฑ์
วิจิตรเด่น  เปล่งประกาย  ลายแปลกตา

จึงตรองตรึก  นึกพินิจ  คิดเรื่องผ่าน
ถึงเรื่องบ้าน  กว้างใหญ่  ให้กังขา
มาห้องหอ  ห้องหับ  งามจับตา
ทั่วแผ่นหล้า  หาใดเทียบ  จักเปรียบดัง

หรือชรา  สวมผ้าเก่า  ผู้เฒ่านี้
เป็นโกสีย์  เทวราช  จากสวรรค์
มาช่วยเรา  พ้นชายเขลา  เหล่าฉกรรจ์
จึงงามขำ  ถลันทาง  ทวารา

พ้นทวาร  บานเปิด  องค์เฉิดโฉม
ให้งุนงง  พิกลเห็น  เป็นนักหนา
สิ่งรอบข้าง  ช่างประหลาด  งามแปลกตา
ทั้งแผ่นดิน  แผ่นฟ้า  พาแปลกใจ

มวลไม้ดอก  รอบตระการ  งามพิลาส
สวยผุดผาด  พาดคบ  งดงามไฉน
ยืนต้นซุ้ม  พุ่มกอ  ลออวิไล
บานสดใส  ไกวตาม  ยามต้องลม

ฟ้าสดใส  เลื่อมแปลก  แดดไม่จัด
เย็นลมพัด  เพลินนักสบาย  กายสุขสม
หอมบุปผา  ผกาชื่น  รื่นกมล
ทุกแห่งหน  ชมละลาน  ไม่วางตา

ถัดวิมาน  ใกล้ติด  ทิศอีสาน
มีหญิงงาม  ล้นหลามห้อม  ล้อมแน่นหนา
ใต้ไม้ใหญ่  ใบตระการ  อร่ามตา
นั่งสง่า  อ่าองค์เห็น  เช่นราชัน

โฉมบังอร  มองวงพักตร์  รัศมี
เทพบดี  สีเขียววาม  งามเฉิดฉัน
จึงมั่นใจ  ใช่องค์อินทร์  มิ่งเทวัญ
จึงงามขำ  พลันก้าว  เดินเข้าไป

ได้ระยะ  พอประมาณ  นงคราญหยุด
ย่อกายคุก  บังคม  องค์ฤาสาย
เจ้าชั้นหาว  ดาวดึงส์  หวังพึ่งภัย
วอนจอมไท้  ได้สงสาร ประทานพร



บัดนั้น...ศักรินทร์  ผินมา  สบตาถี
องค์เทวี  สีลวดี  ศรีสมร
พลางเอื้อนโอษฐ์  โปรดตรัส  ทักบังอร
อรชร  น้องยา  อย่าทุกข์ใจ

น้องคงรู้  ผู้ชรา  พามานี่
คือตัวพี่  มัฆวา  เทวาใหญ่
หวังโฉมฉิน  ศีลพิสุทธิ์  เป็นสุขใจ
น้องอยากได้  สิ่งใด  ให้บอกมา

พี่เต็มใจ  ให้พร  น้องหนึ่งข้อ
หวังเจ้าพอ  ฤทัย  ในปรารถนา
ได้สมมาด  ปราศทุกข์  สุขอุรา
ตัวพี่ยา  ก็พา  ผาสุกใจ

นงพะงา  รื้นน้ำตา  อุราสะอื้น
ให้ชื่นมื่น  ฟังคำ  พลันสดใส
บอกองค์อินทร์  ปิ่นสวรรค์  ไปทันใด
ขอโอรส หนึ่งองค์ให้  ไท้ราชา

เป็นทายาท  สืบชาติพงศ์  วงศ์กษัตริย์
ราษฏร์ประจักษ์  อึดอัดคลาย  หายกังขา
ประเทศแดน  แคว้นรัฐ  วัฒนา
ปวงประชา  หน้าใส  ใจเบิกบาน




ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 ตุลาคม 2024, 03:58:PM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #3 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2024, 03:58:PM »
ชุมชนชุมชน

เทพราชัน  ครั้นสดับ  พลันตรัสเอ่ย
โอ้ทรามเชย  กระไรเลย  ภิเปรยหมาง
ขอหนึ่งองค์  พี่ขัดสน  ฤาน้องนาง
ดูเหินห่าง  อย่างไร  ให้พิกล

เอาอย่างนี้  พี่ใจดี  มีสามารถ
แสนเก่งกาจ  มากเดชา  อย่าฉงน
จักประทาน  โอรสให้  เจ้าสององค์
น้องประสงค์  องค์ใดก่อน  วอนบอกมา

หนึ่งวงพักตร์  ดูขัดตา  ปัญญาเลิศ
ใจงามเพริศ  ประเสริฐนัก  ยากจักหา
อานุภาพ  มากล้ำ  เกินพรรณา
ทั่วผืนหล้า  หาใครเทียม  เทียบราชัน

สองงามสม  งามสรรพ  รูปลักษณ์เด่น
ใครได้เห็น  เปรียบเช่น  เทวาสวรรค์
ผิวผุดผาด  ปลาบตา  น่าอัศจรรย์
แต่เชาวน์นั้น  สั้นนัก  อับเหลือทน

ยุพยง  องค์เทวี  ศรีมหิ
ฟังอดิเทพบอก  ตอบประสงค์
บุตรประเสริฐ  เลิศปัญญา  กว่าน่าชม
ให้ราษฎณ์ไท้  ได้สม  ดั่งจินตนา

สุรบดี  ศรีสัค  สดับความ
ตอบนงราม  งามจิต  ขนิษฐา
เป็นตามนั้น  ดั่งคำ  กัลยา
แถมพิณผ้า  หญ้าทิพย์  ติดกายไป

แลสุดา  ล้ำค่า  ปาริฉัตร
โลกสดับ  บ่ปะเห็น  เป็นไฉน
อีกลูกจันทน์  พรรณอร่าม  งามจับใจ
กำนัลให้  อรไท  ไปด้วยกัน

จบดำรัส  มัฆวาน  บันดาลฤทธิ์
ให้กนิษฐ์  หลับสนิท  จิตเคลิ้มฝัน
แล้วอุ้มนาง  พลางเหาะฟ้า  ลงหล้าพลัน
วางงามขำ  ตั่งบรรทม  องค์ราชา

ก่อนคืนหาว  ท้าวสุรินทร์  ผินดวงพักตร์
มองนงลักษณ์  สงัดทุกข์  สุขนักหนา
ลูบนาภี  เทวี  ศรีสุดา
แล้วเหาะฟ้า  ลาลับ  กลับอัมพร



เพลานั้น  ณ สวรรค์  เบื้องชั้นหาว
มรุเจ้า  เผ่าพุทธะ พักตร์หม่นหมอง
พอโกสีย์  ลูบนาภี  ศรีบังอร
ให้รุ่มร้อน  ดวงจิต  จุติพลัน

พุ่งเวหาส  ปลาบแสง  แรงเจิดจ้า
สู่พารา  ธราดล  ลงเขตขัณฑ์
วังนริศ  สถิตย์แนบ  แทรกในครรภ์
องค์จอมขวัญ  กันยา  ชายาไท

บัดนั้นองค์  เทวี  นารีรัตน์
พลันตื่นหลับ  ประจักษ์องค์  ไม่สงสัย
ลุกขึ้นนั่ง  คลำนาภี  ปรีดิ์ปลื้มใจ
ได้ทายาท  สมใจ  ภูวดล

จึงเอนองค์  ลงนอน  พักตร์ผ่องแผ้ว
ทุกข์สิ้นแล้ว  แคล้วไกล  ใจสุขสม
แนบข้างไท้  ใกล้ชิด  นิทรารมณ์
นวลอนงค์  ทรงเหนื่อยหนัก  จึงหลับไป



จวบรุ่งเช้า  ท้าวบพิตร  ผลิกกายตื่น
พรวดทะลึ่ง  ทึ่งมอง  อรหลับใหล
ให้ประหลาด  วาบจิต  พิศทรามวัย
เหตุไฉน  ไยบังอร  นอนร่วมกัน

จึงตรัสเรียก  เพรียกขาน  ปลุกนางตื่น
ลืมตาฟื้น  เถิดน้องยา  แก้วตาฉัน
ตอบวจี  พี่สงสัย  อย่างไรกัน
ไฉนนั่น  กัลยา  มานอนเคียง

โฉมนารี  ศรีสุดา  ตาหลับใหล
สูดหายใจ  คลายอึดอัด  สดับเสียง
จอมกษัตริย์  ตรัสถาม  อยู่ข้างเตียง
ลืมตาเมียง  มองภูธร  ตื่นนอนพลัน

พอนเรนทร์  เห็นชายา  ลืมตาสบ
ให้สะทกสะท้อนใน  ใจผลิกผัน
เหมือนดีใจ  หมองไหม้ทุกข์  คลุกเคล้ากัน
พองามขำ  ลุกนั่งจ้อง  ต้องถอนใจ

ให้ลำบาก  ยากเอ่ย  ภิเปรยถาม
เรื่องติดตาม  พราหมณ์เฒ่า  เฝ้าสงสัย
ต้องตรอมตรม  ระทมยาก  มากเพียงใด
ภูวไนย  ใคร่ฟัง  คำกันยา

จึงเลียบเลียบ  เคียงเคียง  เลี่ยงเลี่ยงถาม
ต่อนงราม  งามจิต  ขนิษฐา
น้องมาถึง  เมื่อใด  นัยนา
ใครพามา  วานบอก  ตอบพี่ที

โฉมนงราม  ฟังความ  ภูบาลตรัส
จึงตอบกลับ  มัฆวา  พามานี่
เจ้าสวรรค์  ชั้นฟ้า  สุขาวดี
ทรงปราณี  อารีมาก  ยากพรรณนา

ท่านพาน้อง  ขึ้นอัมพร  นครหาว
พร่างแพรวพราว  วาววิมาน  งามหนักหนา
ดาวดึงส์  ช่างสวยซึ้ง  ตรึงอุรา
เกินจักหา  ใดเปรียบ  เทียบไกวัล

แล้วบันดาล  ประทานพร  น้องหนึ่งข้อ
ทรงให้ขอ  ต่อสุเรนทร์   เป็นดั่งหวัง
ซ้ำมอบดอก  ปาริฉัตร  บุษบัน
แถมกำนัล  ลูกจันทน์ผ้า  หญ้าแพรกพิณ



โอกากราช  ราชา  หน้าประหลาด
ฟังนงนาฏ  ยากเข้าใจ  ในโฉมฉิน
เห็นนางตาม  พราหมณ์ตกยาก  จากธานินทร์
ลับกายทิ้ง  สิ้นรอย  พลอยทุกข์ใจ

แต่พอกลับ  ตรัสวาจา   น่าเหลือเชื่อ
อัศจรรย์เหลือ  เมื่อฟัง  คำบอกไข
อ้างมหินทร์  ปิ่นเวหา  พาขึ้นไป
ยังสวรรค์  อำไพ  สุขใจจริง

จึงถามพลัน  กัญญา  อย่าอสัตย์
โปรดจงตรัส  ดำรัสเล่า  เจ้าโฉมฉิน
ถึงเรื่องผ่าน  พานพบ  ประสบจริง
ให้พี่สิ้น  สงสัย  คลายสงกา

องค์โฉมศรี  เทวี  นารีรัตน์
ฟังดำรัส  ตรัสย้ำ  อย่ากังขา
น้องเล่าแจ้ง  แถลงตาม  ความเป็นมา
ใช่มุสา  วาจาแสร้ง  แกล้งหลอกไท

ขอภูบาล  ทรงพิจารณ์  กาลก่อนล่วง
น้องเคยลวง  หลอกคำ  ทรงธรรมไหม
ที่เล่าขาน  ก็เล่าตาม  ความเป็นไป
ใช่หลอกไท้  เฉไฉกลบ  หมกมลทิน

นฤบาล  ฟังนาง  ยืนกรานแจ้ง
ยังระแวง  แคลงใจ  ในโฉมฉิน
ถึงดำรัส  ตรัสแน่นหนัก  ถ้อยอรรถจริง
แต่ยังกริ่ง  ยังสงสัย  ไม่วายวาง

จึงงามขำ  นำของขวัญ  กำนัลได้
สหัสนัยน์  ให้ก่อนกลับ  เป็นหลักฐาน
ขึ้นมาเผย  เฉลยแก้  แก่ภูบาล
ธ จึงผ่าน  ข้อสงสัย  ในอนงค์

พอหลุดพ้น  กังวลใจ  ให้สุขสันต์
จึงถามพลัน  ทันที  ที่ประสงค์
ถึงทายาท  สืบราชย์เล่า  เฝ้ากังวล
บรรลุสม  ดังใจ  ไหมงามงอน


เมื่อนั้น  สีลวดี  นารีรัตน์
พลันกระอัก  กระอ่วนใจ  ในอดิศร
ฟังดำรัส  ก้มพักตร์หลบ  ไม่สบมอง
หน้าแดงผ่อง  เรื่อยองใย  ให้ขวยอาย

แล้วค่อยเผย  เอ่ยคำ  งึมงำตรัส
พอจักจับ  ใจความ  นางขยาย
ว่าบรรลุ  จุดประสงค์  สมดั่งใจ
ขอฤาสาย  คลายทุกข์  เป็นสุขเทอญ

พระทรงชัย  ได้ฟัง  พลันลิงโลด
ลืมตัวโดด  โอบทรามวัย  ใจฮึกเหิม
หัวเราะร่า  ตาสุกใส  หาใดเกิน
รีบดำเนิน  เสด็จยัง  ทวารา

พ้นทวาร  ภูบาล  พานรับสั่ง
เหล่ากำนัล  เร่งพลัน  ช่วยกันหา
เครื่องบำรุง  พยุงครรภ์  ภรรยา
พร้อมหยูกยา  สารพัด  จัดมาไว

เผื่อน้องยา  ข้าเป็นลม  ได้ดมแก้
หรือยามแพ้  ท้องครรภ์  ทันแก้ไข
เพื่อชายา  ข้าเป็นสุข  ไม่ทุกข์ใด
คลอดชายชาติ  อาชาไนย  ให้ข้าชม

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 ตุลาคม 2024, 03:59:PM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #4 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2024, 03:59:PM »
ชุมชนชุมชน

เสร็จจากนาง  กำนัล  สั่งอำมาตย์
ให้ประกาศ  ราชโองการ  ตามถนน
ทุกแยกแพร่ง  ทุกหนแห่ง  แหล่งชุมชน
ขอปวงชน  จงคลายทุกข์  เป็นสุขกัน

บัดนี้องค์  เทวี  มีทายาท
ไว้สืบชาติ  เผ่าไท  มไหศวรรย์
สมมุ่งมาด  ราษฎร์บพิตร  ที่คิดกัน
จงสุขสันต์  บันเทิง  เริงสราญ

เร่งรีบจัด  ประดับแต่ง  แหล่งที่อยู่
ให้น่าดู   หดหู่คลาย  ในทุกสถาน
ร่วมเฉลิม  ฉลองสุข  สนุกสำราญ
ต่อเนื่องกาล  เจ็ดวันมี  จากนี้ไป

เหล่าทวยราษฎร์  ทราบความ  ตามประกาศ
สุขเอิบอาบ  ซาบซ่าน  ทุกข์จางหาย
เปล่งไชโย  โห่ร้อง  ดังก้องไกล
ต่างเบิกบาน  สำราญใจ  ในบัดดล

องค์จอมไท้  ฤทัยโปร่ง  โล่งเป็นสุข
ไม่ต้องผุด  ลุกนั่ง  ช่างสุขสม
หลับสนิท  จิตผ่องใส  ไร้กังวล
ยามบรรทม  กรนลั่น  สนั่นไป



คืนวันผ่าน  กาลเลื่อน  ไม่เคลื่อนกลับ
เกิดแล้วดับ  สลับวน  ไม่สงสัย
เมื่อมีสุข  ต้องมีทุกข์  คลุกเคล้าไป
หมุนอยู่ใน  ใจมนุษย์  ปุถุชน

จวบวันครบ  ทศมาส  ทายาทคลอด
เสียงลั่นลอด  ห้องดัง  ฟังฉงน
เปี่ยมกำลัง  พลังกล้า  น่าพิกล
เด็กมากล้น  พ้นจักเปรียบ  จักเทียบทัน

กุสราช  ราชกุมาร  นามเสนาะ
ฟังไพเราะ  เพราะชื่อ  สื่อสุขสันต์
แต่ขนง  วงพักตร์  ไม่รับกัน
ใบหน้านั้น  จึงไม่งาม  ดั่งนามองค์

หลังเชษฐา  พระพี่ยา  ท่ายืนได้
องค์อ่อนไท้  ได้คลอดบุตร  สุดงามสม
ดั่งเทวัญ  ชั้นฟ้า  มาอีกองค์
ตามประสงค์  องค์เทวะ  มัฆวา

กุมารรอง  น้องขวัญ  ชยัมบดี
เปี่ยมราศี  มีโอภาส  ยากจักหา
ชายใดเปรียบ  เทียบได้  ในพารา
แต่ปัญญา  นั้นกลับสั้น  ช่างกระไร

สองพี่น้อง  ปรองดองรัก  สมัครสมาน
ดูงดงาม  ยามยล  ไม่สงสัย
พี่รักน้อง  น้องรักพี่  มีตอบไป
องค์จอมไท้  ให้วางใจ  ไม่กังวล



จวบองค์ใหญ่  เจริญวัย  ได้สิบหก
ผ่านพิภพ  ตกลงใจ  ใคร่ประสงค์
ให้ปกครอง  ผองหล้า  ธราดล
หวังจักทรง  ปลงภาระ  พักสบาย

จึงรับสั่ง  ยังทหาร  ยืนยามเฝ้า
แจ้งแม่เจ้า  ท้าวอนงค์  องค์โฉมฉาย
ให้มาร่วม  ปรึกษา  หารือไว
เห็นอย่างไร  ในความคิด  ดำริองค์

พอเทวี  สีลวดี  นารีรัตน์
ถึงตำหนัก  ธ ตรัสแจ้ง  แจงประสงค์
บอกสละ  สมบัติให้  บุตรใหญ่ตน
พร้อมสนม  นงราม  ตามต้องการ

แถมนางฟ้อน  ยองใย วัยละอ่อน
ไว้ออดอ้อน  นอนหลับ  คอยขับขาน
แลรับใช้  ในทุกอย่าง  ตามต้องการ
เยี่ยงชายชาญ  สำราญรื่น  ชื่นฤทัย

ฤาลูกรัก  สมัครใคร  ในแผ่นหล้า
เหล่าธิดา  นารี  ธานีไหน
สูงขาวคล้ำ  ดำเหลือ  ชาติเชื้อใด
พี่จะไป  ขอมาให้  ได้เชยชม



องค์เทวี  ศรีสะอาง  นางกษัตริย์
เห็นพ้องสรรพ  ไม่ขัดใด  ให้เหมาะสม
ถึงตำหนัก  ตรัสนางใน  ไปบังคม
แจ้งประสงค์  องค์ขัตติยะ  กับบุตรชาย

มหาสัตว์  สดับความ  ตามดำรัส
ให้อึดอัด  หนักจิต  คิดมากหลาย
ทรงรู้องค์  ไม่ทรงงาม  อย่างน้องชาย
หญิงต่างหมาย  ชายคมสัน  กันทุกคน

เห็นทีเรา  ควรอยู่เหย้า  เฝ้าพ่อแม่
ยามท่านแก่  ยักแย่ยักยัน  ความจำหลง
คอยบำรุง  พยุงใจ  คลายทุกข์ทน
ให้ท่านพ้น  ลำบาก  จากสบาย

ส่งไทวะ  พระบิดา  มารดาแล้ว
หวังใจแผ้ว  ผ่องผุด  ทุกข์สลาย
ควรถือพรต  งดกรรม  นำอบาย
เข้าป่าใหญ่  ไปฝึกใจ  ให้ใฝ่ธรรม

หลังครวญคิด  พินิจจน  ปลงใจแน่
จึงตรัสแก่  ข้าแม่ไป   ในมุ่งหวัง
ขอพี่สาว  เข้าไปแจ้ง  แถลงคำ
สิ่งมุ่งมั่น  ภายใน  ฤทัยมี

บอกมารดา  บุตรหา  ปรารถนาสมบัติ
ขอพิงพัก  พำนักอยู่  ดูสองศรี
ตราบชีวัน  ท่านลับ  ดับชีวี
แล้วจักลี้  พงพีท่อง  ล่องพฤกษ์ไพร

บวชโยคี  เป็นฤาษี  หนีวัฏฏะ
เพียรสละ  ตัดทอน  ถอนหลงใหล
ปลงปลิโพธ  โกรธเคือง  เครื่องทุกข์ใจ
จวบสลาย  ตายพนา  ป่าลำเนา

นางรับใช้  ได้ฟัง  พลันก้มกราบ
แทบสองบาท  ถอยจากไป  ใจอับเฉา
ฟังโอรส  ระทดใจ  ให้ซึมเซา
แจ้งแม่เจ้า  เล่าไข  ในเนื้อความ



บัดนั้น  สีลวดี  นารีรัตน์
ครั้นสดับ  ดำรัสบุตร  สุดสงสาร
ฟังกำนัล  รำพันกล่าว  เศร้าดวงมาน
แต่ไม่พาน  ตามใจ  ในลูกตน

จึงสองวัน  ผันผ่าน  สั่งถามใหม่
หวังจักได้  ยินคำ  ดังประสงค์
นางกำนัล  ยืนยันบอก  ตอบมั่นคง
ไม่ประสงค์  ทรงรับ  สมบัติไท

ถามกลับไป  กลับมา  สามคราครั้ง
หวังจักฟัง  คำตอบรับ  กลับให้ได้
มหาสัตว์  คิดตัดความ  ไม่บานปลาย
จึงอุบาย  อ่อนไท้  ให้อับจน

ทรงรับสั่ง  ยังทหาร  ยืนยามเฝ้า
ไปบอกกล่าว  เล่าความ  ตามประสงค์
แจ้งช่างทอง  ขนทองมา  หาพระองค์
อย่าได้สง  สัยถาม  ความใดใด



หลังสั่งการ  ไม่นานครัน  พลันแลเห็น
สองรถเข็น  เอียงแปล้  แอ้เอี๊ยดไส
ค่อยค่อยคืบ  กระดืบมา  ช้าเหลือใจ
ทองแท่งใหญ่  ไสวเรือง  เหลืองเต็มคัน

ถึงเบื้องพักตร์  พระโอรส  คนรถหยุด
ทิ้งตัวทรุด  ฟุบแข้ง  ไม่แข็งขัน
พะงาบหอบ  หมอบกราบ  ยากกล่าวคำ
ทูลงึมงัม  นำคำก้อน  พร้อมบัญชา

มหาสัตว์  ก้มพักตร์มอง  ช่างทองกล่าว
เนตรยิ้มพราว  วาวละไม  ไม่ถือสา
สี่นายช่าง  นั่งหอบดิน  สิ้นกริยา
ตรัสวาจา  ลำบากแล้ว  พ่อแก้วเอย

แล้วจึงมี  ดำรัส  กับเหล่าช่าง
บอกพวกท่าน  ตั้งใจฟัง  คำเฉลย
เราอยากได้  รูปหล่องาม  นางทรามเชย
ใกล้เขนย  ตั้งห้องนอน  มองบรรทม

ขอพวกท่าน  จงนำทอง  ไปหลอมหล่อ
นวลลออ  นงราม  งามสวยสม
ราวอัปสร  มองไม่เบื่อ  เมื่อได้ยล
ให้ดังสม  ใจเรา  จักเฝ้ารอ

หนึ่งรถเข็น  เต็มทอง  ของพวกท่าน
จงเร่งนำ  ทำตาม  อย่างที่ขอ
ส่วนอีกคัน  ดันไปหลัง  ตำหนักพอ
เสร็จพวกพ่อ  กลับพำนัก  ที่พักไป

สี่ช่างทอง  น้อมรับ  ดำรัสสั่ง
หลังได้ฟัง  พลันแยก  แตกสองสาย
หนึ่งเข็ญกลับ  พำนัก  ที่พักไป
หนึ่งมุ่งใน  ทิศทาง  ตามบัญชา

                                       

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 ตุลาคม 2024, 04:00:PM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #5 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2024, 04:00:PM »
ชุมชนชุมชน

พอคล้อยหลัง  ช่างทอง  องค์จอมสัตว์
ทรงปลีกผละ  ตำหนักพลัน  เร่งสรรหา
เหล่าวัตถุ  เครื่องชุบหลอม  ทองคำมา
หล่ออัมพา  พะงางาม  อร่ามยล

คิ้วขนง  วงพักตร์  ประทับจิต
ดั่งเนรมิต  พิศตระการ  งามสวยสม
ราวอัปสร  จรฟ้า  ให้หล้ายล
ทั่วสกล  อนงค์ใด  ไม่แม้นเทียม

ร่างลออ  อรชร  กรอ้อนแอ้น
เฉิดแฉล้ม  ผุดผาด  บาทจดเศียร
ดั่งสตรี  มีวิญญาณ  ยามมองเมียง
หากเปล่งเสียง  สำเนียงได้  ไม่แปลกใจ

หลังสำเร็จ  เสร็จงาน  การหลอมหล่อ
นวลลออ  รูปนาง  งามสดใส
กุสราช  ราชโอรส  ให้สบใจ
นำผ้าผ่อน  ท่อนสไบ  ใส่อนงค์

แล้วยกรูปหล่อนาง  วางรถเข็น
ตั้งงามเด่น  เห็นสง่า  น่าใหลหลง
พานวลน้อง  ไปซ่อนยัง  ห้องบรรทม
รอดูผล  ช่างทอง  หลอมออกมา



หนึ่งเดือนผัน  ช่างทอง  จึงหลอมเสร็จ
หลังขัดเก็บ  เช็ดรอย  ค่อยมาหา
ยกรูปปั้น  ขึ้นตั้งเด่น  เข็นรถมา
ฉีกยิ้มร่า  หน้าบาน  ปานจานเชิง

ไส้รถไป  ไม่วายมอง  ลำพองจิต
ครุ่นดำริ  พิศนาง  พานฮึกเหิม
ฝีมือเรา  ใครเล่ากล้า  ท้าเผชิญ
คงเคอะเขิน  เมินหน้า  ไม่กล้ายล

ถึงตำหนัก  ไม่พักหอบ  บอกทหาร
รีบรายงาน  รูปหล่อนาง  ตามประสงค์
ได้แล้วเสร็จ  สำเร็จงาม  ตามจำนง
ขอเสด็จ  ในกรม  ทรงพิจารณา

นายทวาร  ฟังความ  รายงานเฝ้า
กราบทูลเกล้า  เล่าถวาย  ในเนื้อหา
บอกช่างทอง  หลอมนวลนาง  กาญจนา
ได้แล้วเสร็จ  ขอเสด็จมา  ทอดตาชม



เมื่อนั้น  มหาสัตว์  สดับความ
คำรายงาน  ตามยามไป  ใจสุขสม
พ้นทวาร  เห็นนางทอง  หลอมชอบกล
ไม่งามสม  อารมณ์ฝัน  พลันขัดใจ

คิ้วไม่สม  วงพักตร์  ดูลักลั่น
ซ้ำไรฟัน  ยังเขยิบ  ไม่เฉิดฉาย
กรไม่ช้อย  ถันย้อยยาน  หูกางไป
ดูอย่างไร  ไม่ฝังจิต  ติดตราตรึง

จึงหันพักตร์  ตรัสพลัน  ยังช่างโอ่
อวดคุยโต  โวสามารถ  ปราศใครถึง
เท่าออเจ้า  ตลอดด้าว  ดาวดึงส์
จงลุกขึ้น  อย่าตึงตัง  ฟังคำเรา

ขอท่านจง  ตรงใน  ที่ไสยาสน์
บรรทมอาสน์  ขนาบคู่  อยู่ข้างเสา
ประทับตั้ง  นั่งลออ  รูปหล่อเรา
เข็นแม่เจ้า  เยาวพา  มาบัดดล

ช่างทองฟัง  ถลันไว  เข้าในห้อง
เห็นนางทอง  ยองใย  ให้ฉงน
งามอะคร้าว  ราวกับเสก  ด้วยเวทมนต์
ให้สับสน  ลนลาน  คลานออกมา

หน้าตาซีด  รีบบังคม  ทรงงดผิด
โปรดอย่าติ  เกล้าพิศพักตร์  พระสุนิสา
เนื่องไม่ทราบ  พิลาสท้าว  เยาวพา
อยู่ห้องใน  ที่ไสยา  พากล้ำกราย

มหาสัตว์  สดับความ  พลางแย้มโอษฐ์
ไม่เคืองโกรธ  โทษช่าง  นั่งเหงื่อไหล
บอกสตรี  ที่ท่านพบ  พานตกใจ
คือรูปหล่อ  อรไท  หาใช่คน

เราทดลอง  หลอมหล่อ  ไม่พออวด
หรือประกวด  เทียบชั้น  ยังมิสม
ขอท่านนำ  นางมา  ทอดตาชม
ว่างามสม  อนงค์ท่าน  นั้นอย่างไร

ช่างโอ่ฟัง  ให้เก้กัง  ยืนนั่งลุก
เหงื่อซึมผุด  สุดลำบาก  ยากไฉน
เข้าห้องนาง  ตามลำพัง  พลาดพลั้งไป
คงเหลือไหล่  แต่ไร้หัว  ใจรัวพลัน

จึงไห้หวน  ครวญคร่ำ  ร่ำพิลาป
น้ำตาอาบ  ก้มกราบลง  ทรงผ่อนผัน
เกล้ากลัวพลั้ง  นั่งคุก  อุกฉกรรจ์
ด้วยต้องนาง  งามพลัน  ชีพบรรลัย

องค์ดนัย  ในภูบาล  รำคาญพร่ำ
จึงสั่งพลัน  เร่งรีบนำ  นางโฉมฉาย
สุวรรณน้อง  รูปหลอมถี  ที่ห้องใน
มาเร็วไว  ขืนร่ำไร  ได้ตายจริง

ช่างได้ยิน  สิ้นโศกา  ตาเหลือกแจ้น
พุ่งตัวแล่น  ยังแท่นทรง  องค์โฉมฉิน
ถึงนางทอง  มองพธู  ดูเหมือนจริง
ตัดเกรงกริ่ง  สิ้นพลัน  มือคลำนาง

พอสัมผัส  จับกุม  สะดุ้งโหยง
กรโผอน  นงนาฏ  ไม่วาบหวาม
ผิวเย็นแกร่ง  แข็งดั่งหิน  สิ้นวิญญาณ
หมดกลัวลาน  เบิกบานใจ  ไสรถมา

ถึงเบื้องพักตร์  จัดเรียง  เคียงรถเข็น
หนึ่งสวยเด่น  เห็นอร่าม  งามนักหนา
หนึ่งหมองศรี  ดูไม่มี  ชีวิตชีวา
สิ้นกังขา  มหาสัตว์  จึงตรัสไป



เมื่อนั้น  กุสติณราช  มากความคิด
ทรงตรองตริ  ดำริการ  นางโฉมฉาย
ใช้ต่อรอง  มารดร  ยอมถอดใจ
เลิกเร่งรัด  บังคับใจ  ให้แต่งงาน

จึงสั่งพลัน  ยังทหาร  นำคานแคร่
ยกนางแห่  ผ้าแพรกั้น  กันคนถาม
ส่งตำหนัก  พระชนนี  มีข้อความ
ฝากทหาร  ประทานแด่  พระแม่เมือง

หากธาษตรี  มีนาง  งดงามเท่า
รูปหล่อเจ้า  อรไท  หรือคล้ายเหมือน
เราจักยอม  อ่อนน้อม  พร้อมครองเรือน
ผิบ่เหมือน  เดือนปีลับ  ไม่กลับใจ



เมื่อนั้น…พระมาตุรงค์  ชนนี  เทวีเจ้า
ฟังความเล่า  เนตรวาวคม  ชมโฉมฉาย
จิตประหวั่น  พรั่นคร้าม  สะท้านใจ
โอ้กระไร  ไยรูปปั้น  ช่างเหมือนคน

พักตร์งามตรึง  ซึ้งอุรา  พาจับจิต
ดั่งนฤมิต  ฤทธิ์เทวัญ  บันดาลสม
ปทุมสอง  งอนสล้าง  ฐานกว้างกลม
บั้นพระองค์  พระชงฆ์เพรียว  เรียวบาดใจ

สะโอดสะอง  ระหงเห็น  เด่นสง่า
ใครพบพา  อุราสั่น  ต่างหวั่นไหว
สรรพางค์  สะอางหมด  งามจดใจ
นารีไหน  ใครจักเปรียบ  จักทียบทัน

หรือลูกรัก  ฟูมฟักเลี้ยง  เพียรปกป้อง
ไม่คิดข้อง  ติดกาม  ความสุขสันต์
ไม่คิดมี  ทายาท  สืบชาติพันธุ์
ไม่มุ่งหวัง  บัลลังก์ราชย์  ยากเข้าใจ

จึงสรรค์สร้าง  นางนิมิต  ประดิษฐ์ขึ้น
ช่างสวยซึ้ง  ตรึงตา  กว่าหญิงไหน
หวังให้แม่  แพ้จน  หนทางไป
คิดตัดใจ  ไม่ขุ่นหมอง  ยอมเลิกรา

ไม่มีวัน  นั้นดอก  บอกลูกได้
แม่ไม่พ่าย  หน่ายท้อ  พ่อดอกหนา
จักต้องมี  สตรีเลิศ  ลักขณา
งามสวยกว่า  นารีเจ้า  จงเฝ้ารอ



หลังสดับ  ดำรัสความ  พานแม่เจ้า
ย่างวนก้าว  เร่าร้อนใจ  ในห้องหอ
เดินพลางคิด  พิศรูปปั้น  ช่างลออ
หญิงใดหนอ  จักพอเปรียบ  งามเทียบทัน

เดินหมุนเปลี่ยน  เวียนกลับ  หนักจิตแท้
ล่วงบ่ายแก่  แก้ไม่ตก  ใคร่หมดหวัง
จนย่ำพลบ  อาทิตย์ตก  อกระกำ
จึงทรุดนั่ง  ตั่งบรรทม  พักข่มตา

คราบัดนั้น  ยังมิทัน  หลังทาบฟูก
เจ้านางผุด  ฉุกใจ  ไขปัญหา
ให้ดีใจ  อ่อนไท้ผึง  ถึงทวารา
ตรัสเรียกข้า  บริบาล  นางกำนัล

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 ตุลาคม 2024, 04:05:PM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #6 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2024, 04:05:PM »
ชุมชนชุมชน

ให้ไปตาม  ควานหา  เสนาใหญ่
รีบเร็วไว  ขืนช้าได้  หวายลงหลัง
บอกเทวี  มีเรื่องมอบ  ให้ลอบทำ
รับคำสั่ง  เร่งพลัน  จรัลมา

เหล่าบังอร  นอนงีบ  รีบผลุนผลัน
พัลวัล  ฟังดำรัส  ตรัสเรียกหา
ตื่นรีบลุก  ฉุกละหุก  ปลุกเพื่อนยา
เร่งกันหา  เสนาไป  ในทันที

จนประสบ  พบอำมาตย์  เอ่ยปากเล่า
บอกรีบเข้า  เฝ้าพักตร์  มเหสี
มีบัญชา  ตรัสเรียกหา  มหามนตรี
อย่ารอรี  จรลี  ในบัดดล

ถึงตำหนัก  อัครชายา  บัญชาตรัส
ให้รีบจัด  ขบวนพลัน  อันเหมาะสม
นำรูปหลอม  ล้อมม่านมิด  ปิดผู้คน
ท่องถนน  ชุมชนแหล่ง  ทุกแห่งไป

ถึงเมืองใด  ให้ยกนง  องค์รูปหล่อ
ขึ้นตั้งวอ  รอสิ้นวัน  กันสงสัย
พลบวางนาง  ทางลงท่า  ชลาลัย
แล้วหลบใน  ไม้พุ่ม  ซุ่มเฝ้าฟัง

หากใครเอ่ย  ภิเปรยเปรียบ  เทียบรูปหล่อ
ไม่ลออ  พอเทียมนาง  งามเฉิดฉัน
แห่งแว่นแคว้น  แดนใด  ให้ท่านพลัน
ออกซุ่มถาม  ความผู้นั้น  ในทันใด

ถึงหลักแหล่ง  แห่งหน  ตำบลอยู่
นางโฉมตรู  ผู้พักตร์เพริศ  งามเฉิดฉาย
เป็นลูกเต้า  เผ่าประยูร  ตระกูลใด
องค์จอมไท้  ใคร่เชิญไป  เข้าในวัง

เป็นสะใภ้  ราชา  โอกกากราช
ให้ทายาท  สืบชาติไท  ไอศวรรย์
พร้อมแจ้งหมาย  กำหนดงาน  ประมาณวัน
จักยกขัน  หมากมาขอ  ลออนาง

ตรัสจบคำ  เจ้านางพลัน  เห็นอำมาตย์
หน้าประหลาด  ปากอ้า  ตาเบิกค้าง
ด้วยสับสน  งุนงงหนัก  ดำรัสความ
หันรีขวาง  พลางสะดุด  ผุดผ่องอนงค์

จึงตระหนก  หกคะมำ  ถลันกราบ
โฉมพิลาส  ผุดผาดเด่น  เช่นนางหงส์
รูปหล่อนาง  ตั้งเยื้องห่าง  ตั่งบรรทม
ท้าวสนม  พระองค์ใด  ไม่คุ้นเคย

องค์ชายา  ทอดตาขัน  ท่านอำมาต์
ลนลานกราบ  มาศถี  ที่นิ่งเฉย
เห็นรูปหล่อ  ลออนัก  ทึกทักเลย
จึงทรงเผย  เฉลยไป  ในทันใด

หลังรับทราบ  อมาตฟัง  ยังขัดข้อง
แท้รูปทอง  หลอมขึ้นมา  พาสงสัย
จึงคลานเข่า  เข้าไปจับ  หัตถ์ทรามวัย
พอรู้ให้  ตกใจ  ไหวผละพลัน

เอ่ยสำเนียง  เสียงสั่น  อัศจรรย์ยิ่ง
ช่างเหมือนจริง  สิ้นสรรพางค์  นางสวรรค์
นารีใด  ไหนจักเปรียบ  จักเทียบทัน
คงหนีหัน  ไม่จังหน้า  ลาหลบไป

ช่างล้ำเลิศ  ประเสริฐล้น  องค์รัชทายาท
แสนเก่งกาจ  มากเหลือ  น่าเลื่อมใส
เหล่าพสก  หมดแคว้น  แดนไผท
ต่างเทิดให้  เป็นมิ่งใน  ดวงใจประชา

แล้วหันมา  ทูลชายา  อย่าพรั่นจิต
เกล้าอุทิศ  ชีวิตตน  ท่องค้นหา
แม้ไม่พบ  ประสบนาง  ตามบัญชา
จักไม่หวนพารา  กุสาวดี

จบคำมั่น  ท่านเสนา  ทูลลากลับ
เร่งรีบจัด  สัมภาระคน  ออกค้นถี
ทรัพย์เสบียง  เตรียมไว้เหลือ  เผื่อนานปี
เสร็จสรรพดี  จรลี  ราตรีกาล



ถึงชุมชน  นิคมคาม  คาราวานพัก
โพล้เพล้จัด  ประดับอนงค์  คนแบกหาม
นั่งแคร่ทอง  มองผาดไป  วิไลงาม
วางแคร่ข้าง  ทางลงท่า  ชลาลัย

แล้วหลบพุ่ม  ไม้บัง  ฟังคำอ้าง
คำวิจารณ์  นางรูปหล่อ ลออใส
หากยินว่า  งามน้อยกว่า  นารีใด 
สูงเพียงไหน  ต่ำเพียงใด  ไม่เลือกวรรณ

ก็จักพลัน  ถลันออก  สอบปากถาม
นามหญิงงาม  ตระการเนตร  ปานเสกสรร
ถิ่นพำนัก  สำนักใด  อยู่ไหนกัน
ประยูรวรรณ  พันธุ์พงศ์ วงศ์วานใด

แต่จนแล้ว  จนเล่า  เพียงเฝ้าซุ่ม
ไม่เคยพุ่ง  ออกมา  พาสงสัย
ฤาพิภพ  หมดนาง  งามอำไพ
ถึงจึงได้  ไม่กรายใกล้  ให้แปลกจริง

ท่องธราดล  เที่ยวค้นอร  ค่อนผืนหล้า
ผ่านนครา  พาราหลาก  มากแม่หญิง
ไม่ปะนาง  งามหยาดฟ้า  มาสู่ดิน
ไม่สูญสิ้น  ความหวัง  ฟันฝ่าไป



จนมาถึง  นครงาม  นามสาคละ
เจ้ามัททะ  กษัตรา  ประชาเลื่อมใส
ไม่เหี้ยมหาญ  ชำนาญทัพ  สักเท่าใด
แต่มีใจ  รักชาติ  มากคุณธรรม

ภูบดี  มีธิดา  สง่าแสน
เฉิดแฉล่ม  แจ่มงาม  ปานเสกสรร
ถึงแปดนาง  สะคราญโฉม  เด่นโนมพรรณ
เลื่องลือลั่น   สนั่นไกล  ไปทั่วแดน

ยิ่งเทวี  ศรีสุดา  ธิดาใหญ่
งามไฉไล  กว่าหญิงใด  ไท้หวงแหน
ผิวผุดผ่อง  ส่องประกาย  เลื่อมพรายแกม
วาววับแสง  ยามค่ำ  ช่างอัศจรรย์

เหลืองอร่าม  วามนวล  ชวนให้พิศ
ห้องมืดมิด  ยังสว่าง  กระจ่างสีสัน
เมื่อนางอยู่  ภายใน  สดใสพลัน
ดุจสวรรค์  บันดาล  งามเหนือใคร

ประภาวดี  ศรีนงราม  นามไพเราะ
ตั้งได้เหมาะ  เสนาะฟัง  คำความหมาย
หญิงผิวงาม  ตระการเด่น  เปล่งประกาย
พักตร์เฉิดฉาย  ชายใดจ้อง  ดั่งต้องมนต์

องค์เทวี  มีทาสี  สตรีค่อม
เป็นต้นห้อง  คล่องวาจา  พาเคลิ้มหลง
ชื่อขุชชา  ข้ารับใช้  ใกล้พระองค์
อีกอนงค์  แปดนาง  ข้างกายา

ทุกสายัณห์  ตะวันหลบ  หมดแสงสี
แปดนารี  มีภาระ  ต้องจัดหา
น้ำอาบสรง  องค์เทวี  ศรีสุดา
ได้เวลา  พากันจร  คอนครุไป

ผ่านเวรยาม  ทวารวัง  พลันเริงร่า
ต่างพูดจา  พาที  สีหน้าใส
บ้างเอ่ยหลอก  หยอกเย้า กระเซ้าไป
บ้างสนใจ  ใคร่รู้  ดูผู้คน

จนใกล้ท่า  ชลาลัย  ไม่ไกลห่าง
มีนงคราญ  งามนวล  ชวนลุ่มหลง
นั่งตะคุ่ม  ข้างพุ่มไม้  คล้ายอนงค์
ริมถนน  บนแคร่ทอง  มองแปลกใจ

นางรับใช้  ผู้ใคร่รู้  หันดูเห็น
ให้ตื่นเต้น  เพ่งจ้อง  ต้องสงสัย
ฤาพระธิดา  ลอบมา  ชลาลัย
ช่างกระไร  ไหนทรงตอบ  บอกสรงวัง

จึงหันขวับ  กลับมา  พี่ยาใหญ่
กล่าวถ้อยไป  ดูซิใคร  ไยหุนหัน
แอบหนีออก  นอกเวียง  เพียงลำพัง
ซ้ำยังนั่ง  ประชันกล้า  ท้าตาชน

ขณะกล่าว  เล่าความ  มือพลางชี้
ยังเทวี  ที่ริมทาง  ข้างถนน
เหล่ากำนัล  หันไปมอง  ตาพองยล
เห็นระหง  นงลักษณ์  คลับคล้ายคลับคลา

สำคัญว่า  ประภาวดี  นารีรัตน์
ไยดื้อนัก  แอบปะคน  ซนนักหนา
ซ้ำเผยพักตร์  ประจักษ์กัน  ทั้งพารา
ไม่ไว้หน้า  พระบิดา  กล้าเกินองค์

จึงเหล่านาง  กำนัล  พลันเยื้องย่าง
ตรงหานาง  งามตา  พาใหลหลง
พอเข้าใกล้  พี่ยาใหญ่  เอ่ยทักองค์
ไหนบอกสรง  ในห้องหับ  กลับเปลี่ยนใจ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 ตุลาคม 2024, 04:06:PM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #7 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2024, 04:06:PM »
ชุมชนชุมชน

เหตุไฉน  ไยลอบมา  ท่าน้ำเล่า
ไร้คนเฝ้า  ข้างเคียง  เสี่ยงเพียงไหน
หากภูวนาถ  ทราบข่าว  บ่าวหลังลาย
ปากซักไซ้  มือไพล่จับ  หัตถ์เทวี



บัดนั้น..ข้าธิดา  หน้าซีด  รีบถอยผละ
เปล่งคุณพระ  ผงะกาย  คล้ายเห็นผี
ให้ตระหนก  สบจ้อง  มองเทวี
เจ็ดนารี  ทันทีเห็น  เผ่นคนละทาง

โลดเตลิด  เปิดเปิง  กระเจิงวิ่ง
เนื้อความจริง  สิ่งใด  ไม่ใคร่ถาม
โกยหน้าตั้ง  ไปตั้งหลัก  ตามหลักการ
อย่าผลีผลาม  หาญกล้า  รอท่าที

จนกระทั่ง  กำนัลใหญ่  คลายหวาดจิต
เพ่งพินิจ  พิจารณา  มารศรี
ไยกนิษฐ์  ผิดแผก  แปลกท่าที
จึงทาสี  พี่สาว  ก้าวกลับคืน

ถึงกลั้นใจ  ไม่พรั่น  มือพลันจับ
องค์นงลักษณ์  พักตร์นิ่ง  ไม่ติงขืน   
นางข้ามอง  ร้องเฮ่อ  เก้อเขินยืน 
เปลี่ยนหน้ารื่น  ชื่นสบาย  หายตกใจ

ฝ่ายเจ็ดนาง  หนีห่างกลัว  ใจรัวจ้อง
ให้ขับข้อง  แอบย่องดู  ทนอยู่ไม่ไหว
พากันเดิน  เข้ามา  สีหน้าอาย
แสร้งเฉไฉ  ใจกระดาก  เอ่ยปากพลัน

ที่น้องทิ้ง   วิ่งปร๋อ  ไม่รอพี่
ใช่ไม่มี  ไมตรี  ลี้หลบหัน
หรือหวาดกลัว  เอาตัวรอด  ลอบหนีกัน
แท้จริงนั้น  หวังรายล้อม  คุ้มครองภัย

แล้วตัดบท  กลบเกลื่อน  เอื้อนถามว่า
ไยพี่ยา  ผวาตระหนก  อกใจหาย
ไฉนจึง  ตะลึงหวาด  ขยาดใด
โปรดจงไข  ให้ฟัง  กันสักครา

พี่ใหญ่ฟัง  คำน้อง  อ้อมค้อมเอ่ย
กระไรเลย  ภิเปรยไป  ให้ขายหน้า
เห็นรูปปั้น  สำคัญเป็น  พระธิดา
เขลานักหนา  ตามัวฝ้า  น่าเจ็บใจ

หากจ้องนาง  งามนี้  ให้ดีนั้น
เรืองผิวพรรณ  วรรณกระจ่าง  สว่างใส
แต่กระด้าง  ดูกร้านแข็ง  แกร่งเกินไป
ไม่ละไม  ละมุน  ไม่นุ่มคลำ

เปรียบเทวี  ศรีสะอาง  สะคราญโฉม
ยังห่างองค์  นงราม  งามเฉิดฉัน
ทั่วสรรพางค์  อร่ามวาว  ราวพระจันทร์
ดุจสวรรค์  บันดาล  สรรค์สร้างมา

พอสิ้นคำ  กำนัลเผย  เฉลยไข
พุ่มไม้ไกว  ใบสั่น  น่าหวั่นผวา     
เสียงสวบสาบ  บาทสาว  ก้าวเข้ามา
แปดนางข้า  หน้าซีดพลัน  กอดกันกลม

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s