วาดฝันวิมานน้ำค้างพร่างพฤกษ
กลางดึกก่อนดอกพิกุลจะร่วง
ผูกมัดแน่นชัดกระหวัดทรวง
ถึงแดนสรวงขอบฟ้าวรรณาลัย
ท่ามกลางดาริการะยิบระยับ
ที่ประดับขอบฟ้าสกาวใส
ดวงสุมาทอแสงผ่องอำไพ
ในสวรรค์ชั้นหฤทัยใฝ่ปอง
ให้เมฆาหมอกม่านมืดมิด
ปกปิดกลับกลายเป็นหอห้อง
รินพระพายสายดาราอันเรืองรอง
มาประครองสายใยความผูกพัน
แต่มินานฝันก็ร้ายมลายสิ้น
มล้างกลิ่นรสหวานวันสุขสันต์
ณ.แดนสรวงปวงวิมานอันสำคัญ
ก็ถึงกาลคืนวันกระหวั่นคลอน
หอมเอยเคยหอมกลิ่นแก้ว
จบแล้วหมองมนหม่นเกสร
ที่หวงห่วงแหนแสนอาทร
พลันสิ้นไร้อาลัยอาวรณ์ต่อกัน
เดือนดาวพราวแสงแจ้งฟ้า
หามีแล้วแวววาวความเฉิดฉัน
โลมพระพายสายใยความผูกพัน
เพียงแค่วันวันเก่าที่ร้าวราน
เมื่อกาลหมอกม่าคคนานต์แจ้ง
เปลวแสงสุริยามาแผดผลาญ
สิ้นสวรรค์อันวิจิตอลังการ
มาเป็นความทรมานในอุรา
โอ้วิมานน้ำค้างที่พร่างแพร้ว
ก็หมดแล้วรอยอาลัยสิเนหา
ถึงรุ่งสางกระจ่างแจ้งในสองตา
เมื่อกลัยาเผยหทัยความจริง
ดอกแก้วกลิ่นกรุ่นการุญรัก
ถึงคราจักลาร้างจากก้านกิ่ง
ลมเอยรำเพยเจ้าละทิ้ง
หลากสิ่งหลายกาลวันคืน
เศษร้างซากสรวงดวงจิต
ยังคิดหยัดยืนยั้งฝืน
ในห้วงบ่วงทรมานกล้ำกลืน
ยามดึกดื่นที่กลางระหว่างใจ
ขวัญเอยขวัญใจหทัยพี่
สิ้นขวัญนี้ฤๅมีอีกขวัญไหน
สิ้นขวัญแล้วแก้วพิกุลทรามวัย
สิ้นแววใสพราวน้ำค้างที่พร่างพฤกษ
โอ้อกเอยละเลยลาล้าง
เหินห่างแม้เสี้ยวความรู้สึก
บาดร้ายทำลายในส่วนลึก
แค่สำนึกก็เจียนขาดใจ
ด้วยฝันคือฝันสวรรค์สร้าง
จักเคียงข้างแท้จริงสิ่งไหน
ต้องสิ้นสูญสลายสายหทัย
เลือนลบจบจากไกลพินาศพัง
สิตางศุ์
๒๕๑๐๒๕๕๔