วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
O คาบปลายผกายรุจิพิราม
ขณะยามนะค่ำเย็น
แว่วร้องคะนองวิหคะเห็น-
จะละเล่นระเริงลม
O ร่ำร่ำ .. ตะวันจะละจะลา
ประลุภาวะจ่อมจม
เห็นเห็น .. ก็เพ็ญศศิวิกรม
ชุติห่ม ณ ห้วงหน
O แสงอ่อนสะท้อนอุทกะผืน
ประลุตื่น ณ ในตน
จึงเลศและเนตระก็สน-
ธิกมละอาวรณ์
O คร่ำครวญกระบวนภวะถวิล
กระอุจินตะกำจร
อบอวลก็ส่วนรตินิวรณ์
ฤ จะถอนถวิลถึง
O เยียบเย็นเพราะเร้นสุริยะแสง
รติแรงก็รัดรึง
ล้อมลาม ฤ ห้ามพิษะคะนึง
ขณะหนึ่ง ก็ หนักหนา
O ใจเห็นจะเช่นอุทกะ-ลม
ขณะพรมประโลมรา-
ตรียามเพราะงามภวะสถา-
ปนะภาวะรมย์เพ็ญ
O ปมเหตุเพราะเนตระชม้อย
ฤดิคอย ก็ ลำเค็ญ
ตอบเลศกะเนตระ ก็ เห็น-
ภวะเต้นขจ่างตา
O โดยเลศะเนตระยุพะเยา-
วะระเร้า บ ร้างลา
เชื่อมใจและใจประดุจะผา-
ณิตะทา ณ ดวงมาน
O ดั่งปาริชาตินิรมิต
เฉพาะพิศะพิมพ์พาล
ดลเดชวิเศษรติพิศาล-
ะสมาน ณ แรกมอง
O เพรงบุญ ฤ หนุนรติพิจิตร
สุจริตะรับรอง
เพรงบาป ณ คาบนิระสนอง
จิตะสอง ก็ ร่วมสาน
O ร่วมบาตร ณ ชาติบุพะประภพ
ฤ จะทบและเป็นทาน
เจ้าเอย ฤ เคยอธิษฐาน
อุปการะร่วมกรรม
O สองชาติสวาดิพิสมัย
สมะนัยะน้อมนำ
โอนใจและใจปณิธิสัม-
ผัสะย้ำผสานใย
O สืบจิตเพราะฤทธิ์อธิษฐาน
บุพะกาละก่อนไกล
เห็นพลัน ก็ พลันอุปธิใน-
จิตะไห้ละห้อยเห็น
O อาวรณ์สะท้อนประดุจะแสง
ผละละแหล่ง ณ ยามเย็น
น้ำพลิ้ว ก็ ริ้วศศินะเพ็ญ
กระจะเต้นกระจ่างตา
O สูรย์สิ้นศศินะก็ถวัล-
ยะสวรรคะเชิญรา-
ตรีเนาและเยาวะก็สถา-
ปนะภาวะล่าม-ล้อม !
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2015&date=22&group=2&gblog=84