Re: O เช้านั้น O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
24 พฤศจิกายน 2024, 11:43:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: O เช้านั้น O  (อ่าน 6659 ครั้ง)
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« เมื่อ: 08 มกราคม 2019, 06:30:PM »



O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O





O กัมปนาทวิชชุโชติ .. เหมือนโกรธเกรี้ยว
จันทร์รูปเรียวเคยประดับก็ลับหาย
อัสสุชลหล่นฟ้า .. กลับพร่าพราย-
ด้วยชม้ายชายตา .. แฝงท่าที
O ครั่นครื้น-เสียงลมฟ้า .. เสียงห่าฝน
หากใจคนกลีบสุมาลย์เริ่มบานคลี่
วิชชุเฟื้อยเส้นปราด .. ลงฟาดตี
และกลีบสีบุษบันเริ่มสั่นสะทก
O รับรู้ - คลื่นลมฝนอีกฝนหนึ่ง
พร้อมทั้งความหวานซึ้งติดตรึง .. อก
ไร้แสงดาวดื่นเรียง, ไร้เสียงนก-
หากสาธกไร้เสียง .. จักเลี่ยงฤา ?
O พระท่านว่าตาจบกรรทบรูป
จิตอาจวูบด้วยพฤติ .. แล้วยึดถือ
ตั้งแต่เนตรเหลือบเหลียว-เยี่ยงเรียวมือ-
เข้ายุดยื้อเพรียกถวิลให้ดิ้นรน
O พอสิ้นเสียงธรรมพระ .. ก็จะแจ้ง-
ถึงนัยแฝงเร้นผจง .. ให้ส่งผล
สาธุการแผ่วพลิ้วกลางริ้วสุคนธ์
และใจคนอบอุ่นละมุนละไม
O เบื้องนอก-ลมเฉื่อยโชย .. ฝนโปรยปราย
เบื้องหน้า-สายตานั้นเหมือนสั่นไหว
วาบวิ่งแสงวิชชุยังคุไฟ
และวาบวับตาใครเล่าไหววน
O นับเนื่องแต่บ่วงกรรม .. พาจำพราก
สืบช่วงจากแดดอุ่นถึงฝุ่นฝน
ตราบ-ธรรมแว่ว, เพทนา, นัยน์ตาคน-
หวานหอมกลีบสุคนธ์ .. ก็หล่นคอย
O สิ้นคาบยามน้ำหยาดบำราศแล้ว
เหลือเพียงคีตผ่านแว่ว อย่างแผ่วค่อย
พร้อมคู่ดาววาบแสงลงแฝงรอย
เพรียกละห้อยห่วงเห็นไม่เว้นยาม
O ดึกดื่นเสียงกัมปนาทค่อยขาดช่วง
หากแต่ท่วงทีละม่อม .. กลับล้อม-ล่าม
อิริยาพฤติจริตย่อมติดตาม-
เข้าคุกคามถวิลอยู่แต่ผู้เดียว
O ภาพ-กบก้มประนมกรอันอ่อนช้อย,
เนตรชม้อยชม้ายตอบยามลอบเหลียว,
พร้อมสายลมแผ่วพลิ้ว-ด้วยนิ้วเรียว-
กบ-เหมือนเหนี่ยวจิตชายอย่าคลายคะนึง
O ผมหล่นล้อมรูปหน้าเมื่อหน้าก้ม
เพียงสายลมขวางอยู่เมื่อรู้ถึง-
ความอาวรณ์ในจิต .. ว่าติดตรึง-
กับรูปซึ่ง .. ธรรมพระ-ต้องละวาง !
O ทุกลอบเหลือบเหลียวอยู่ก็รู้เลศ
เหมือนดลเวทย์มนต์อุบัติขึ้นขัดขวาง
ธรรมพระแว่ว .. ดวงขวัญก็กั้นกลาง
อนัตตาความว่างก็ห่างไกล
O จาก-อ่อนเอนแกว่งไกวของไม้พุ่ม-
ถึงลมรุมเร้าผ่าน .. กิ่ง .. ก้านไหว
ฤาต่างความรุมเร้า – รูปเงาใคร-
เผยผ่านงาม .. สดใส .. คอยไหววน
O กี่ปีกนกล้อลม .. กี่ร่มพฤกษ์-
ผ่าน .. รำลึกย้อนหลัง, สักครั้งหน-
ที่รูปคราญโลมไล้ .. หัวใจคน-
จัก .. ฝ่าพ้นผ่านงาม .. สักงามนั้น ?
O สิ้นจันทร์ .. สิ้นคืนค่ำ .. ลมร่ำ-หนาว
หากเนตรวาววับนัย ยังไหวสั่น-
เหมือนคอยยั่วคอยย้ำ .. แทนรำพัน-
โอบอุ้มแรงใฝ่ฝันให้สั่นรัว
O กุมเหงนั่นเพียบพร้อม .. ละม่อมหน้า
เติบเต็มโหมคุณค่ากลางฟ้ารั่ว
มธุรสบุษบันก็กลั่นตัว
หยาดโลมทั่วดวงจิต .. รอชิดเชย
O พร่างพรายจันทร์อีกดวงในทรวงนี่
หากหลีกลี้ .. อ้อยอิ่งทำนิ่งเฉย-
หนี้อาวรณ์ทบต้น .. จักล้นเลย-
ความอันเคยเอ่ยนับทุกกัปกัลป์
O พร่างพรายแล้วเสน่หา .. คันธารส
แต่เผยบทบาทน้อม .. เข้าล้อมขวัญ
เถิด-ถ้อยคำบวงโอ่ .. ทั้งโลกันต์
เพียงเศษเสี้ยวส่วนอนันต์ .. รำพันนี้ !




https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2017&date=12&group=11&gblog=681

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, ไผ่เดียวดาย

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s