O แล้วดวงดาวอีกดวงก็ร่วงหล่น
ร่วงลงบน .. อนิจจังแห่งสังขาร
ให้ผู้คนจดจำเป็นตำนาน-
ผู้ล่มลาญวงวัฏฏ์ .. ล้างอัตตา
O อีกภาพการหล่นร่วง ..ใต้ดวงสูรย์
เพรียกโอดอื้นอาดูร .. เพียบพูนหน้า
ละภาพผ่านเลื่อนลั่นในสัญญา
ล้วนคุณค่าแนบในหัวใจชน
O สิ้นภพชาติ .. บรรดาเคยปรากฎ
เพียงกำสรดโศกปวง ..ค่อยร่วงหล่น-
ลงทับถมอาลัย .. ของใจคน-
ผู้ยังวนเวียนว่าย .. เมื่อปลายวัน
O ภาพรูปองค์บรรทมกลางร่มไม้-
พร้อมอาลัยอาดูรเพียบพูนขวัญ-
ผู้แวดล้อมโหยไห้กลางไพรวัลย์-
ก็ฉับพลัน .. วาบสู่ให้รู้คิด
O ว่า .. ย่อมคืออนิจจังแห่งสังขาร
ที่ล่มลาญดับล่วง .. พร้อมดวงจิต
ตามกฎเกณฑ์ท่วงทีของชีวิต
ด้วยเกินบิดเบือนเบี่ยง .. หรือเลี่ยงพ้น
O จึง .. ภาพธรรมในกาลเมื่อผ่านช่วง
คือภาพยามชีพปวง .. นั้นร่วงป่น
ภาพ .. ใบไม้ร่วงตกพลิ้ว .. วก-วน
ต่างฤๅภาพตัวตน .. เมื่อหล่นคว้าง ?
O ใบไม้หล่นคว้างปลิว .. พลิก .. พลิ้วรูป
ลมผ่านวูบ .. เรียวใบร่อนไปห่าง
กลางแวดล้อมเปล่าเปลี่ยว .. ในเที่ยวทาง
กลาดเกลื่อนใบไม้บาง .. ก็วางตน
O กลางรูปธรรมเงียบเหงา .. ความเปล่าเปลี่ยว-
ย่อมกรากเชี่ยวกำลัง .. ทุกครั้งหน
ใบไม้ร่วงทับถม .. สายลมบน-
ก็พาวนเวียนไหวอยู่ในยาม
O นั่น .. หล่นพลิ้วพลิกคว้าง .. อีกบางใบ
หล่นรูปให้น้อมนำสู่คำถาม
ที่ .. รอบกาลโหมรุก .. เข้าคุกคาม
ใครเล่าอาจหักห้าม .. ได้ตามใจ
O อีกแล้ว-อีกบางใบ .. ร่วงในที่
ด้วยท่วงทีเฉกกัน .. เช่นนั้นได้
อีกหนึ่ง-รอบ .. หล่นคว้าง .. ของบางใบ
ทุกหนึ่งนั้น .. เช่นในหัวใจเรา
O หล่นรูปร่วงแผ่ราบ .. ระนาบดิน
เพื่อยอกลิ่นสร้อยโศก .. สุมโลกเหงา
สิ้นสุดปลายเส้นทาง .. เพียงร่างเงา-
เหลืออยู่เฝ้าดินต่ำ .. เป็นธรรมดา
O หล่นร่วงแห่งดวงแก้ว .. ครั้งแล้ว-เล่า
จนความเปล่าเปลี่ยวห้อม .. เข้าล้อมหา
นานแค่ไหน-หล่นคว้าง .. อาจร้างลา
หรือ-กี่กาละจะพ้น .. การหล่นลง ?
O ชั่วเพียงสิ้นโบกบ่ม .. จากลมร่ำ
ก็ตอกย้ำ .. ลำดับ .. การรับส่ง
มองเห็นไหม .. ช่องว่างที่กลาง-วง
หรือมั่นคงก้านขั้ว .. ของตัว-ใบ ?
O ฤๅจะยังหล่นคว้าง .. ณ กลางหน
ที่ว่างจน .. ลับล่ม .. แรงลมไหว
ที่อาจหล่นร่วมวิถี .. จะมีใด
ก็เพียงใจ .. ว่าง-วนของตนเอง
O พญาโศกคร่ำครวญ .. เสียงหวนไห้
แทนอาลัยเศร้าสร้อยที่ค่อยเบ่ง-
บานภาวะสุมสั่ง .. กลางวังเวง
เพื่อฉุดเร่งอารมณ์ .. สู่ตรมตรอม
O ศัพท์เสียงความคร่ำครวญ .. ก็ล้วนแต่-
ตอบรับความผันแปร .. ที่แห่ห้อม
กลางสายลมโรยริน .. ผู้ยินยอม-
เข้าแวดล้อมอาดูร .. เพียบพูนแล้ว !
O แล้วอีกดาวแสงช่วงกลางห้วงหน-
ก็ร่วงหล่นลับล่มกลางลมแผ่ว
ตรึงวาท, วัตรผ่องใสอยู่ในแวว-
ตาคู่วามผ่องแผ้ว .. ทุกแววตา
O ร้างสิ้นโบสถ์เจดีย์ .. ในที่นั้น-
จักเสกสรรค์ปั้นแต่งสำแดงค่า
ยินแต่ถ้อย .. แห่งธรรมผู้สัมมา-
ประพฤติ .. ปฏิปทา .. ค้ำคาใจ
O แทนเชิงชั้นงามลออ .. ของช่อฟ้า
คือศรัทธาปวงชนค่อยล้นไหล-
ลงแวดล้อมกาลลา .. ด้วยอาลัย-
ครั้งสมัยรูปขันธ์ .. จักอันตรธาน
O ล้วนคือหลักแห่งธรรม .. ชี้นำทาง
ให้ยกย่างเหยียบก้าว .. อย่างห้าวหาญ
คือองค์ธรรมรั้งฉุด .. แต่พุทธกาล-
ฉุดวิญญาณตื่นรู้ .. น้อมสู่ธรรม !
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=03-2011&date=04&group=41&gblog=21