Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ตอนที่สองมาแล้วค่ะ)
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
21 พฤศจิกายน 2024, 07:10:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ  (อ่าน 70399 ครั้ง)
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


« เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2014, 12:02:PM »

        ตอนที่ 2 ไม่เป็นไปดังหวัง
    พวกเรานั่งคุยกันจนเพลิน กระทั่งอาจารย์เดินเข้ามานั่นแหละ ถึงรู้สึกตัวกัน เพื่อนๆต่างแยกย้ายไปนั่งประจำที่ของตัวเอง อาจารย์ท่านใหม่แนะนำตัวเอง และชี้แจงรายละเอียดประจำวิชาที่สอน เมื่อหมดคาบเรียน อาจารย์ท่านใหม่ก็เข้ามาแทนอีก ฉันนั่งฟังอาจารย์ทุกท่านอย่างตั้งใจ กระทั่งถึงเวลาพักรับประทานอาหาร เมื่อนักเรียนกล่าวทำความเคารพเสร็จ ทุกคนต่างก็ค่อยๆทยอยกันออกไป มีเพื่อนสามสี่คนเดินเข้ามาหาฉันแล้วเอ่ยชวน
“ไปกินข้าวกัน” ฉันลุกขึ้นตามแรงดึงของเพื่อน มือข้างขวาก็เอื้อมไปหยิบไม้เท้าในกระเป๋าออกมา
“นั่นอะไรหนะ”
“อะไรเหรอ” ฉันถามออกไปอย่างงงๆ
“ก็ไอ้ที่เธอถืออยู่นี่ไง” ฉันถึงบางอ้อในทันที เจ้าสิ่งที่ถืออยู่นั้นมันมีลักษณะยาวๆ เป็นแท่งๆสามถึงสี่แท่ง ยึดกันไว้ด้วยเชือกที่มีความยืดหยุ่นได้ สามารถพับและพกพาได้สะดวก
“อ๋อ ไอ้นี่เหรอ มันคือไม้เท้า มีไว้สำหรับนำทางคนตาบอด”
“มันบอกเราได้ด้วยเหรอว่าจะไปทางไหน” แจงถามขึ้นด้วยความสงสัย ทำให้ฉันถึงกับยิ้มขำ
“มันบอกไม่ได้หรอกว่าจะไปทางไหน เพียงแต่ช่วยเราไม่ให้เดินชนหรือตกบันไดเท่านั้นเอง ใช้อย่างนี้ไง”ฉันลองเดินให้ทุกคนดู จังหวะหนึ่ง ฉันเอาไม้เท้าไปฟาดขาของเพื่อนคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เพื่อนคนนั้นหันมา ฉันหัวเราะแหะๆ พึมพำขอโทษ เขาไม่ว่าอะไร หัวเราะแล้วจับมือฉันเขย่าเบาๆ
“พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ” ฉันเดินอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ดีใจมากที่ทุกคนเอาใจใส่ และให้ความช่วยเหลือ พวกเรานั่งกินข้าวกันไปคุยกันไปอย่างร่าเริงจนถึงเวลาเข้าเรียน
“ไปกันเถอะพวกเรา” ทุกคนเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้ง การเรียนของภาคบ่ายก็ไม่ต่างอะไรกับภาคเช้าเลย วันนี้อาจารย์แค่ชี้แจงรายละเอียดประจำวิชาที่สอน และให้ทุกคนทำความรู้จักกันเท่านั้น กระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน เมื่อพ่อมารับ ฉันโบกมือลาเพื่อนๆแล้วยิ้มอย่างเป็นสุข
 “พรุ่งนี้พบกันจ้า” ฉันเอ่ยเสียงใส
“บ๊ายบาย” ทุกคนต่างพูดพร้อมกัน ฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กอดเอวพ่อซิ่งกลับบ้านด้วยความเบิกบาน หวังหมดใจเลยว่า ฉันจะเรียนที่นี่ได้อย่างมีความสุข
...
    เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันแต่งตัวไปโรงเรียนด้วยความเบิกบาน เมื่อเข้าแถวเคารพทงชาติเสร็จ พวกเราก็เดินขึ้นห้องกันตามปกติ วิชาแรกที่พวกเราต้องเรียนในวันนี้คือ วิทยาศาสตร์ อาจารย์ให้ทุกคนทำข้อสอบก่อนเรียน น้ำฝนเป็นคนอ่านข้อสอบให้ฉัน หลังจากนั้น ก็เข้าสู่การเรียนอย่างเต็มรูปแบบ
“สถานะของสารคือ...สารนี้คือ...สารนี้คือ...” ฉันไม่เข้าใจที่อาจารย์พูดเลยสักนิด ฉันหันไปทางเพื่อนที่นั่งข้างๆ แล้วถาม “ทำไมอาจารย์ไม่บอกละว่าคืออะไร”
“อ๋อ อาจารย์เขียนบอกบนกระดานจ้า” ฉันเริ่มรู้สึกแย่ อาจารย์ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามีคนตาบอดเรียนอยู่ด้วย ถ้าเขียนบนกระดานแล้วไม่พูด ฉันจะรู้ได้ยังไง
“ฟ้า อาจารย์เขียนอะไรบ้างเหรอ”
“เรากำลังจดอยู่อ่ะตะวัน เดี๋ยวเราบอกทีหลังนะ” นั่นทำให้รู้สึกแย่ขึ้นไปอีก ฉันเริ่มมองเห็นถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับผู้อื่น อาจารย์นิชาภาเดินเข้ามาหาฉันแล้วถาม
“หนู เข้าใจที่ครูสอนไม๊ลูก”
“ไม่เข้าใจค่ะ” ฉันตอบโดยไม่ลังเล ครูนิชาภาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอไม่รู้ว่าจะสอนเด็กคนนี้อย่างไร ตั้งแต่เป็นครูมาก็ไม่เคยสอนเด็กพิการทางสายตามาก่อน
“แล้วครูจะสอนหนูยังไงดีหละ” ‘สอนหนูเหมือนที่ครูสอนทุกคนนั่นแหละค่ะ เพียงอธิบายให้หนูฟังสักนิด ไม่ใช่เอาแต่เขียนอย่างเดียว’ ฉันทำได้เพียงคิดอยู่ในใจเพราะไม่กล้าพูด สิ่งที่ตอบอาจารย์นิชาภาไปคือความเงียบ
“แล้วเขาไม่มีโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษเหรอลูก” ครูนิชาภาเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งไปครู่ ‘เด็กพิเศษ’ เอาอีกแล้ว คำนี้อีกแล้ว อยากจะรู้จริงๆ ว่าฉันพิเศษกว่าเด็กคนอื่นตรงไหน จึงถามออกไปดั่งใจคิด
“หนูพิเศษกว่าเด็กคนอื่นตรงไหนเหรอคะคุณครู” อาจารย์นิชาภาชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามนั้น
“ก็...เอ่อ หนูมองไม่เห็นไงคะ” มองไม่เห็นเนี่ยนะพิเศษ ฉันไม่เข้าใจในความคิดของอาจารย์เลยจริงๆ ไม่เพียงแค่อาจารย์เท่านั้นหรอก แม้แต่คนส่วนมากก็เช่นกัน เห็นคนตาบอดสามารถทำอะไรหลายๆอย่างเองได้ก็คิดว่าเป็นเรื่องแปลก อยากบอกทุกคนเหลือเกินว่า ฉันไม่ใช่เด็กพิเศษ ถ้าพิเศษจริง ทุกคนก็ต้องอยากเป็นเหมือนฉันสิ ใช่ไหม?
“มีค่ะ แต่หนูจบจากที่นั่นมาแล้ว ถึงได้เข้ามาเรียนที่นี่ไงคะ”
“อ่อ เสียดายนะคะ เค้าหน้าจะมีให้ถึงมหาลัยเลย หนูจะได้ไม่ต้องลำบากมาเรียนกับคนปกติเค้า เฮ่อ...” อาจารย์ถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนเอ่ยทิ้งท้าย
“ครูจะพยายามหาวิธีสอนละกันนะคะ”อาจารย์นิชาภาเดินจากไปแล้ว ทิ้งให้ฉันจมอยู่กับความคิดของตัวเอง นี่หมายความว่า เราไม่ปกติอย่างนั้นเหรอ ความตาบอดมันทำให้พิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน ในใจเฝ้าแต่ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่อย่างนั้น
...
วันนั้นทั้งวัน ฉันไม่มีความสุขเลย ทุกวิชาเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด เมื่อพ่อมารับ เพื่อนๆเดินมาส่งที่รถตามเคย ฉันโบกมือลา แล้วยิ้มเซียวๆให้เพื่อนๆ ทุกคนบ๊ายบาย แล้วเดินจากไป ฉันขึ้นรถกลับบ้านอย่างหงอยๆ เมื่อถึงบ้าน ฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟัง ฉันโทษครูที่สอนไม่รู้เรื่อง โทษเพื่อนที่ไม่ยอมบอกอะไร โดยตอนนั้นมิได้เข้าใจเลยว่า ทุกอย่างมันต้องเริ่มจากตัวเอง มัวแต่รอให้ผู้อื่นหยิบยื่นให้ แล้วเราจะทำอะไรเป็น
“อดทนและเข้มแข็งไว้นะลูก เราจะต้องผ่านมันไปได้ เชื่อแม่สิ”
“ค่ะ” ฉันพูดได้เพียงแค่นั้น แม่ไม่เป็นหนู แม่ไม่มีทางเข้าใจหรอก ใครเลยจะอยากเป็นแบบนี้ หนูไม่อยากตาบอด หนูอยากมองเห็น หนูไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ฉันได้แต่คร่ำครวญกับตัวเองอยู่อย่างนั้น
...
    เกือบสองอาทิตย์แล้ว ที่ได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ สิ่งที่ฉันเคยวาดหวังเอาไว้ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพื่อนๆที่คอยช่วยเหลือกัน ก็ค่อยๆหายไปทีละคนสองคน เมื่อถึงเวลาพักรับประทานอาหาร ทุกคนต่างทยอยกันออกจากห้อง ฉันลุกขึ้นยืนรอเพื่อนๆมาชวนไปทานอาหารตามปกติ แต่วันนี้ ไม่มีใครเดินเข้ามาหาเลย ภายในห้องเงียบสนิท ฉันยืนเคว้งอยู่คนเดียว ทำไมเพื่อนๆต้องทิ้งเราด้วย จะทำยังไงต่อไปดี ฉันตั้งสติ ควานหาไม้เท้าในกระเป๋า แล้วค่อยๆพาตัวเองเดินสะเปะสะปะออกมานอกห้อง ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ฉันจึงใช้ไม้เท้าเดินตามเสียงนั้นไป ไม่นานนัก ฉันก็มาหยุดยืนอยู่ใกล้คนเหล่านั้น แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ขอโทษนะคะ เอ่อ ไม่ทราบว่าโรงอาหารไปทางไหนเหรอคะ”
“ทางนี้ค่ะ” ‘แล้วไอ้ทางนี้ที่ว่าละมันทางไหนหละ ไม่บอกให้ชัดๆจะรู้ได้ไง’
“ไหนคะ” ฉันหันไปซ้ายทีขวาที คนเหล่านั้นต่างหัวเราะในการกระทำของฉัน เสียงหัวเราะเหล่านั้นทำให้หยุดชะงักลงในทันที ชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้อยแก ไปส่งเค้าหน่อยสิ น้ำใจหนะมีไม๊” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อ่าว แล้วทำไมแกไม่ไปส่งเองหละ” อีกคนโต้กลับทันควัน ทั้งหมดต่างเกี่ยงกันไปมา ฉันรู้สึกราวกับตัวเองเป็นภาระของคนอื่น
“ไม่ต้องแล้วค่ะ จะไปไหนก็ไปกันเถอะ” ฉันหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง มีเสียงกระซิบไล่หลังตามมา แต่ตอนนั้นไม่สนใจแล้วว่า คนเหล่านั้นพูดว่าอย่างไร ฉันกลับมานั่งในห้องเรียนแล้วร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น ‘สิ่งที่เราหวังเอาไว้ คงไม่เป็นไปดังคาดเสียแล้ว เราควรทำอย่างไรต่อไปดี’
...
เมื่อเพื่อนๆกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทุกคนต่างจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่สนใจฉันแม้แต่นิดเดียว ฉันจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ถ้าเรามองเห็น ทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม ฉันพึ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า ตอนแรกที่เพื่อนๆเข้ามาหาเรา เพราะเห็นว่าเราเป็นของแปลก พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน พอรู้แล้วก็หมดความสนใจ เรามันก็แค่สิ่งมหัศจรรย์ที่ทุกคนไม่เคยเจอเท่านั้นเอง บ่ายทั้งบ่ายฉันเรียนหนังสือแบบไม่รู้เรื่อง เรียกว่าแทบไม่ให้ความสนใจกับมันเลยก็ว่าได้ ตกเย็นเมื่อพ่อมารับ ฉันก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามแรงจูงของพ่อออกไปทันที วันนี้ ไม่มีเพื่อนๆมาส่งอย่างที่ผ่านมา ฉันขึ้นรถกลับบ้านด้วยความห่อเหี่ยวใจเป็นอย่างยิ่ง เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟังตามเคย
“แม่ขา หนูไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว มันท้อ หนูแทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ”
“อดทนนะลูก ยังไงเราก็ต้องผ่านมันไปได้” แม่บอกให้อดทนตามเคย ฉันไม่อยากทำให้แม่เสียใจ เลยรับคำออกไปอย่างจนใจ ทั้งที่รู้ดีว่า ความอดทนมันใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว
...
ตอนที่สองยังไม่จบนะคะ แต่มันไม่พออ่ะ ติดตามอ่านกระทู้ต่อไปนะคะ^^

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

พิณจันทร์

ข้อความนี้ มี 15 สมาชิก มาชื่นชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มิถุนายน 2014, 03:21:PM โดย มนัสศิยา » บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s