บทนำ
"แย้มดอกเหมยเกยลมห่มฤกษา ต้นกุมภาภาพฉายกลีบผายผัน เหมยระบายสายน้ำไหลรำพัน คำจำนรรจ์ที่รู้ชมพูพริ้ง" กลีบปากหยักได้รูปเปิดคลี่ยิ้มก่อนที่ดวงตาสีแดงเพลิงอันอบอุ่นจำจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีชมพูหวานสีดอกเหมยนัยน์ตาคู่ที่จ้องกลับดูหวานประดุจดอกเหมยบนต้นที่กำลังบานสะพรั่ง
"เหม่ยเหมยอีกสักกี่วันเจ้าจึงจะไปจากที่นี่ล่ะ อยู่ก่อนหรือจะไปเลย นี่ก็วันงานวันสุดท้ายแล้วมิใช่หรือ?" เสียงนุ่มของเจ้าของดวงตาสีแดงเพลิงอันอบอุ่นเอ่ยถาม ดวงหน้าหล่อเหลาคมคายเสจับตรงไปยังทิศเบื้องหน้าเพื่อทอดดูทิวทัศน์ยามเย็น
"ยังไม่รู้เลยค่ะพี่ซัน" น้ำเสียงหวานเย็นเอ่ยตอบก่อนจะจรดสายตาไปกับพระอาทิตย์ยามอัสดงเบื้องหน้า ดวงตาสีชมพูหวานหลับพริ้มปิดบังความสร้อยเศร้าขนตาหนาเป็นแพถูกประกบปิดลงแนบใต้ขอบตา เรือนกายอันผุดผ่องกับผิวพรรณอันขาวจัดเมื่อแลดูบางยามก็ช่างน่ากลัวนัก บางยามก็ช่างดูงดงามน่าหลงใหลบัดนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงสุดท้ายของวัน
"เมื่อไหร่พี่วลีจะยอมเรียกน้องว่าบุปผาแก้วกันคะ?" เจ้าของดวงตาสีชมพูหวานเอ่ยถามเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น ในใจของตนก็ไม่ได้หวังคำตอบแต่อย่างใดเธอเพียงหวังแต่จะยื้อเวลาออกไปเพียงเท่านั้น
"ก็จนกว่าเจ้าจะยอมเรียกพี่ว่าหยาง หมิงนั่นล่ะ"
"มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือคะ"
"ถ้าเช่นนั้นก็ชื่อเจ้าก็คลับคล้ายมิใช่หรือ...บุปผาแก้ว"
"ก็แค่คล้ายไม่ใช่หรือค เมื่อกี้พี่เรียกน้องว่า..."
ยิ้มอบอุ่นเผยออกมาด้วยความเอ็นดู ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องผู้เปิดใบหน้าดีใจไม่ลดละสายตา ดวงตาสีแดงที่จับจ้องอยู่นั้นจะรู้ไหมหนอว่าผู้ถูกจับจ้องบัดนี้ภายในอกของเจ้าหล่อนดูหวามหวั่นอยู่ไม่น้อย
อาทิตย์เริ่มละละอองแสงสีแดงครั้งสุดท้ายฉาบลงบนธารการพูดที่ต่างสำเนียงแต่ดูสุขอิ่มเอมใจไม่น้อยกำลังจะหมดลง ฉับพลันเวลาที่เหลืออันน้อยนิดนั่นก็หายไปในบัดดล เมื่อเจ้าของร่างสูงโปร่งนำพาตนเข้ามาขัดขวางการสนทนาที่ดูอิ่มเอมนี้
"วลีแก้วสุดที่รักไอหายูตั้งนานแน่ะ อะเอ๊ย" ร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาร้องเสียงหลงทันใด ฉับพลันที่เสียงร้องดังผู้ที่สนทนาอยู่ทั้งคู่จำต้องหันไปหาต้นเสียงทันใด
"อ้าว...โสตแก้วเองหรือ เราขอโทษนะไม่ได้ตังใจเลย" เจ้าของดวงตาสีชมพูหวานซึ้งเอ่ยแล้วเอื้อนคำขอโทษ พร้อมทำตากะพริบปริบๆจบประโยคปิดท้าย
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ถึงบุปผาแก้วที่รักจงใจคว้างจักรคำใส่ไอก็ตามที ไอก็จะรับมันไว้" เจ้าของร่างสูงโปร่งผู้ทีดวงตาสีฟ้าใสเอ่ยบอกแล้วยิ้มกริ่มสำเนียงแปลกสำหรับสองบุคคลถูกส่งมาให้ผู้ฟังตะขิดตะขวงใจในบางที
"เมื่อกี้ไอได้ยินว่า 'ผู้ขัดขวางทางสุขทุกข์จงโถม เคียวชโลมร่างปร่าให้อาสัญ บทสนทนาค่ารักอย่ากักกัน จงสะบั้นบาดคมให้ล่มซะ' โถ..ยูช่างทำร้ายไอได้ลงคะนะมายด์สวีทฮาร์ท ยูไม่สงสารไอบ้างเลยหรือ" ดวงตาสีฟ้าใสของผู้ขัดจังหวะสั่นริกไหว ก่อนที่ใบหูอันแหลมจะลู่ลงเล็กน้อย
บุปผาแก้วใช้ดวงตาคู่สีชมพูหวานกวาดมองสรีระ การแต่งกายของผู้เตรียมพร้อม ดวงตาคู่สวยไล่พิศมองตั้งแต่ดวงหน้าหวานสวยประดุจสตรี กลีบปากบางสีชมพูดั้งจมูกคมสันรับกับโครงหน้าสวยหวาน ดวงตาสีฟ้าใสประดับด้วยแพขนตาสีเทางอนหนา ใบหูที่ยาวแหลมลายกนกอ่อนช้อย และผมสีเดียวกับดวงตา
บุปผาแก้วไล่ตาดูเพียงเครื่องหน้าแล้วก็ต้องส่ายหน้าเบาๆ ในใจของเธอรู้สึกอิจฉาสรีระของผู้ที่เอ่ยคำงอนไม่น้อย โสตแก้วผู้กรุ่นไปด้วยความงอนหันหลังกลับทำท่าจะเดินหนีเพราะประโยคร่ายคาถาศาสตราวุธที่เอ่ยเหมือนตนเป็นคนอื่นคนไกล
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะโสตแก้ว เราก็แค่อยากคุยกับพี่วลีแก้วต่ออีกแค่สักวินาทีเดียวก็ยังดี..." คำของบุปผาแก้วหยุดเพียงเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยต่อ
"ก็จะจากรุ่นพี่...ที่สนิทกันขนาดนี้ไปตั้งไกลนี่นา ว่าไหมล่ะ"
โสตแก้วผงกหัวตามช้าๆแต่โดยดี เสียงอันงอนเอ่ยถามเพียงคำสั้นๆ
"ไม่ได้ตั้งใจจริงหรอ?"
"จ้ะ ทำเป็นขี้งอนไปได้นะโสต"
"ไอไม่ได้งอนยูสักหน่อยบุปผา"
"จริงหรอ?" บุปผาแก้วแกล้งถามกลับคนที่กำลังลืมอาการงอน
"จริงสิ ไม่ได้งอนเลย ไอแค่จะมาตามยูกับพี่วลีแก้วไปที่งานเลี้ยงปัจฉิมเท่านั้นเอง"
"อ่า...งั้นยิ้มสิ"
ดวงหน้าอันสวยหวานบอกให้ผู้ที่งอนยิ้ม ก่อนดวงตาคู่สวยจ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าเนิ่นนาน เมื่อรู้ตัวอีกทีประโยคในเชิงแก้เขินก็ถูกเอ่ยออกมา โดยไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร
"ปะ ไปกันเถอะนะฉัตรแก้ว กับคนอื่นๆคงรอนานแล้วล่ะ" บุปผาแก้วเอ่ยถึงผู้มีสมยานามว่า 'บ๊วยสวรรค์' ก่อนจะพิจารณาดูอาการของตนที่รู้สึกไปเมื่อครู่ แล้วดวงหน้าสวยก็ส่ายหน้าไปมาคล้ายจะละทิ้งความรู้สึกวูบหนึ่งที่ตนรู้สึก
หูใบใหญ่ของผู้ที่ฟังประโยคเมื่อครู่อยู่ตั้งขึ้นอย่างดีใจไม่น้อย ก่อนตนจะนำพาร่างอันสูงโปร่งเดินน้ำหน้าไปอย่างอารมณ์ดี
"ผู้ลิขิตชะตาของพวกเจ้า ก็คือพวกเจ้าเอง" เสียงสุดท้ายหายลับไปกับลมโชย ดวงตาสีแดงสั่นระริก ยิ้มเผยที่มุมปากก่อนจะตามคนทั้งสองไป