พี่ค้นข้อมูลเกี่ยวกับวันหยุด สมัยรัชกาลที่ ๗ ถึง รัชกาลที่ ๘ เพิ่มเติมดังนี้นะคะ ( ตัวอักษรแถบสีน้ำเงิน คือ วันหยุดสมัยนั้นค่ะ ) รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีการประกาศวันหยุดราชการนักขัตฤกษ์ โดยออกประกาศเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๘ ซึ่งมีการเลิกหยุดหลาย ๆ วันในช่วงต้นปี และเปลี่ยนแปลงวันหยุดบางวันให้เหมาะสม คือ
๑. ตะรุษะสงกรานต์ (๓๑ มีนาคม – ๓ เมษายน) ๔ วัน
๒. วันที่ระลึกมหาจักรี (๖ เมษายน) ๑ วัน
๓. วิศาขะบูชา (ขึ้น ๑๔ ๑๕ และ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖) ๓ วัน
๔. เข้าปุริมพรรษา (ขึ้น ๑๔ ๑๕ และ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘) ๓ วัน
๕. วันสวรรคตแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (๒๓ ตุลาคม) ๑
๖. วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (๗ – ๙ พฤศจิกายน) ๓ วัน
๗. พระราชพิธีฉัตรมงคล (๒๔ – ๒๖ กุมภาพันธ์) ๓ วัน หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ และการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และการขึ้นครองราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๗ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวันหยุดราชการอีกครั้งหนึ่ง โดยพันเอกพระยาพหลพลหยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ออก “ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันหยุดราชการ” ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๔๘๐ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคมปีเดียวกัน ซึ่งประกาศวันหยุดราชการไว้ ดังนี้
๑.วันตรุษสงกรานต์ (New Year)(๓๑ มีนาคม – ๒ เมษายน) ๓ วัน
๒.วันจักรี (Chakri Day) (๖ เมษายน) ๑ วัน
๓.วันวิสาขะบูชา (Visakha Buja) (ขึ้น ๑๕ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ หรือเดือน ๗ แล้วแต่กรณี) ๒ วัน
๔.วันขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ (Constitution Petition Day) (๒๔ มิถุนายน) ๑ วัน
๕.วันรัฐธรรมนูญชั่วคราว (Provisional Constitution Day)(๒๗ มิถุนายน)๑ วัน
๖.วันเข้าพรรษา (Buddhist Lent)(ขึ้น ๑๕ และ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘) ๒ วัน
๗.วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (The King’s Birthday) (๒๐ กันยายน)๑ วัน
๘.วันรัฐธรรมนูญ (Constitution Day)(๙ – ๑๑ ธันวาคม)๓ วัน
๙.วันมาฆะบูชา (Magha Buja) (เพ็ญเดือน ๓ หรือเดือน ๔ แล้วแต่กรณี) ๑ วัน จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ปลายพุทธศักราช ๒๔๘๒ ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออก “ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ” ซึ่งเริ่มครอบคลุมถึงเรื่องเวลาทำงานของราชการตามปกติด้วย โดยกำหนดให้ข้าราชการทำงานตามเวลา คือ ทำงานตั้งแต่เวลา ๐๙:๐๐ น. – ๑๖:๐๐ น. โดยหยุดพักกลางวันเวลา ๑๒:๐๐ น. – ๑๓:๐๐ น. ส่วน
วันเสาร์หยุดครึ่งวัน คือ ทำงานตั้งแต่เวลา ๐๙:๐๐ น. – ๑๒:๐๐ น. สำหรับ
วันอาทิตย์ให้ถือเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ และได้เปลี่ยนแปลงวันหยุดราชการดังนี้
๑.วันตรุษสงกรานต์และขึ้นปีใหม่ (New Year) (๓๑ มีนาคม – ๑ เมษายน) ๒ วัน
๒.วันจักรี (Chakri Day) (๖ เมษายน) ๑ วัน
๓.วันวิสาขะบูชา (Visakha Buja) (ขึ้น ๑๕ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ หรือเดือน ๗ แล้วแต่กรณี) ๒ วัน
๔.วันชาติ (National Day) (๒๓ – ๒๕ มิถุนายน) ๓ วัน
๕.วันเข้าพรรษา (Buddhist Lent) (ขึ้น ๑๕ และ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘) ๒ วัน
๖.วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (The King’s Birthday) (๒๐ – ๒๑ กันยายน) ๒ วัน
๗.วันรัฐธรรมนูญ (Constitution Day) (๙ – ๑๑ ธันวาคม) ๓ วัน
๘.วันมาฆะบูชา (Magha Buja) (เพ็ญเดือน ๓ หรือเดือน ๔ แล้วแต่กรณี) ๑ วัน อนึ่ง ทางราชการกำหนดให้
วันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์
ของราชการ และโรงเรียนทั่วไป แต่
สำหรับโรงเรียนที่ใช้วัดเป็นสถานศึกษา ให้
หยุดในวันพระ ในปีต่อมา คือ
ปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการบังคับใช้ “พระราชบัญญัติปีประดิทิน พุทธศักราช ๒๔๘๓” ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ การให้ปีปฏิทินเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม (หรือพูดง่าย ๆ คือ เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นแบบที่เราถือกันในปัจจุบันตามแบบสากลนั่นแหละครับ) ซึ่งหมายความว่าปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ มีเพียง ๙ เดือนเท่านั้น และจากการออกกฎหมายดังกล่าว ทำให้
มีการเปลี่ยนแปลงวันหยุดราชการในวันขึ้นปีใหม่ คือ หยุดวันขึ้นปีใหม่ ๓ วัน คือ วันที่ ๓๑ ธันวาคม วันที่ ๑ และ ๒ และใน
ปีพุทธศักราช ๒๔๘๔ เกิดกรณีพิพาทเรื่องดินแดนอินโดจีนกับฝรั่งเศสขึ้น และได้ยุติลงโดยการลงนามในสัญญาพักรบ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๔๘๔ จนต่อมา เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้
เพิ่มเติมวันหยุดราชการอีก ๑ วัน คือ วันลงนามในสัญญาพักรบระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดจีนฝรั่งเศส โดยหยุดในวันที่ ๒๘ มกราคม ของทุกปี และได้ยกเลิกวันหยุดราชการดังกล่าวใน
ปี ๒๔๘๗ ในสมัยที่นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ต่อมาในปลายปี
พุทธศักราช ๒๔๘๘ ในสมัยที่หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี
ได้ประกาศให้วันปิยมหาราช (Chulalongkon Day) เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมอีก ๑ วัน และลดการหยุดในวันขึ้นปีใหม่ให้เหลือเพียง ๒ วัน คือ วันที่ ๓๑ ธันวาคม และ ๑ มกราคม
หากข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ (^_^)
ขอขอบคุณแหล่งอ้างอิง : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=843068