คำถามเรื่องวสันตดิลกฉันท์
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
22 พฤศจิกายน 2024, 11:08:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: คำถามเรื่องวสันตดิลกฉันท์  (อ่าน 5610 ครั้ง)
เพรางาย
ผู้ดูแลบอร์ด

*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 553
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,312


ทุกคำถามจะนำมาซึ่งคำตอบ


« เมื่อ: 12 เมษายน 2013, 05:47:PM »

นี่คือคำถามที่คุณงายได้รับมา

อยากถามเรื่องสัมผัสใน วสันตดิลกฉันท์ครับ


จากเรื่อง มัทนพาธา

‘ฟังถ้อยดำรัสมะธุระวอน
ดนุนี้ผิเอออวย
จักเปนมุสาวะจะนะด้วย
บมิตรงกะความจริง.

อันชายประกาศวะระประทาน
ประดิพัทธะแด่หญิง,
หญิงควรจะเปรมกะมะละยิ่ง
ผิวะจิตตะตอบรัก;

แต่หากฤดีบอะภิรม
จะเฉลยฉะนั้นจัก
เปนปดและลวงบุรุษะรัก
ก็จะหลงละเลิงไป.

 

http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/utaradit/watcharee-w/matana/chan5.htm

ในเว็บยกให้เป็นตัวอย่างคำฉันท์นะครับ
ทำไมไม่ต้องส่งสัมผัสวรรคหรึ่งและวรรคสองครับ

มีกฎหรือแบบอย่างให้ทำได้ไหมครับ
รบกวนอาจารย์ครับ


แล้วคุณงายก็ไปควานหาตัวอย่างฉันท์เพื่อมาประกอบคำตอบของตัวเอง  ก่อนจะตอบไปว่า

คุณงายขอโทษที่ตอบช้า  เพราะต้องไปค้นหาคำฉันท์มาประกอบ  ที่มาที่ไปนั้นต้องเริ่มมาจากการเขียนฉันท์และกาพย์ก่อน  ที่ต้องโยงเข้าด้วยกันก็เพราะทั้งสองอย่างนี้มีประวัติความเป็นมาคู่กัน 

ฉันท์นั้นเป็นคำประพันธ์โบราณของอินเดียซึ่งแต่งด้วยภาษาสันสกฤต  ภาษานี้ถือเป็นภาษายากซับซ้อนเรียนรู้กันในหมู่พวกพราหมณ์ชั้นสูงและวรรณะกษัตริย์  ลักษณะคำมักจะมีคำสั้นยาวที่เรียกว่าครุลหุ  พราหมณ์มักจะแต่งฉันท์เพื่อสวดสรรเสริญพระเจ้า  จึงปรากฏเป็นฉันท์ประเภทต่างๆ  สันนิษฐานว่าฉันท์คงเข้ามาในไทยพร้อมกับศาสนาพราหมณ์และพุทธ  เมื่อคนไทยจะแต่งฉันท์ภาษาของไทยมีลักษณะคำแตกต่างจากภาษาสันสกฤต  จะแต่งให้เป็นร้อยกรองสละสลวยตามบังคับคำนั้นจึงต้องยืมคำบาลีและสันสกฤตมาใช้  อ่านฉันท์จึงต้องแปลอีกรอบกว่าจะเข้าใจ  ฉันท์จึงถูกแปลงกายให้เป็นกาพย์เพื่อให้ง่ายต่อการใช้คำไทย  คือมีการแบ่งวรรคและส่งสัมผัสเหมือนเดิมแต่เว้นเรื่องครุลหุเสีย  (คุณงายจึงชอบกาพย์มากกว่าฉันท์  เพราะเหมือนเป็นอาหารต่างชาติที่ได้รับการดัดแปลงให้เหมาะลิ้นคนไทยแล้ว)

ในการส่งสัมผัสสำหรับคำประพันธ์ประเภทฉันท์หรือกาพย์ซึ่งมีอยู่สี่วรรค  แต่เดิมนั้นในหนึ่งบท(ขอไม่พูดถึงสัมผัสระหว่างบท)  บังคับเพียงคำสุดท้ายของวรรคที่สองและสามเท่านั้น  ไม่บังคับว่าต้องมีสัมผัสระหว่างวรรคที่หนึ่งกับสอง  และวรรคที่สามกับสี่  แต่ด้วยวิสัยคนไทยที่รักความคล้องจอง  จึงมีการเพิ่มสัมผัสเข้าไปจนถือตามกันว่าไพเราะ  และนิยมใช้ตามอย่าง  สัมผัสบังคับในบทจึงมีอย่างที่เห็นในปัจจุบัน  มีเพียงกาพย์ยานีที่ยังเหลือเค้าเดิมอยู่บ้างคือ  วรรคที่สามจะส่งสัมผัสหรือไม่ส่งสัมผัสกับวรรคที่สี่ก็ได้ 

เมื่ออ่านวรรณคดีเก่าก่อนจึงสร้างความสงสัยให้คนรุ่นหลังได้ว่า  เหตุใดสมัยก่อนจึงไม่เขียนตามฉันทลักษณ์ที่เราเรียนรู้มา  ครั้นจะว่าผู้เขียนเขาแต่งผิดก็ไม่น่าจะใช่เพราะที่อ่านเจอนั้นเป็นหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณคดีของชาติ  ผ่านตานักปราชญ์มาตั้งหลายยุคสมัย

ตัวอย่างของวสันตดิลกฉันท์ ที่ไม่มีสัมผัสระหว่างวรรคที่หนึ่งและสองยังมีอีกหลายแห่งค่ะ  เช่น

๏แว่นแคว้นมคธนคระรา   ชคฤห์ราชบูรี
ทรงราชวัตร์วิธทวี      ทศธรรมะจรรยา
.......................................................................
๏เช่นหลั่งชะลอดุสิตะเท   วสถานพิมานพรหม
มารังสฤษดิ์ศิริอุตม      ผิวะเทียบก็เทียมทัน
.....................................................................
๏ลวดลายระบายระบุกระหนาบ     กระแหนภาพกระหนกพัน
แผ่เกี่ยวผกาบุษปะวัล      ลิและวางระหว่างเนือง
.........................................................................
๏เรียงรายจรูงรมยะบาท     บริจาริกากร
ปันเวรพิทักษ์อธิบวร     ทิวรัตติ์นิวัทธ์วาร
...............................................................................
๏เมืองท้าวและเทียบทิพยโลก     ภพะแหล่งสุราลัย
เมืองท้าวและสมบุรณไพ        บุละทุกประการมาน
(สามัคคีเภทคำฉันท์: ชิต บุรทัต)
ที่ใส่เครื่องหมายจุดไข่ปลาคั่นคือตัดบทที่มีสัมผัสระหว่างวรรคที่หนึ่งและสองออกไป  เพราะถ้าอ่านตลอดเรื่องจะพบว่าคุณชิต บุรทัตนิยมให้มีสัมผัสระหว่างวรรคที่หนึ่งและสอง  ไม่มีเลยที่จะมีบทที่ปราศจากสัมผัสระหว่างวรรคหนึ่งและสองอยู่ในสองบทติดต่อกัน(เท่าที่คุณงายอ่านเจอนะคะ)

ยังมีอีกค่ะ

๏โอรสพระกรรทมประชา   ปติพรหมบุตรขจร
เจิดคุณธรรมมิกบวร     ทศพิธเพียบเพ็ญ
๏เมตตาประชากรสโม-   สรสุขสลายเข็ญ
ทั่วรัฐมณฑลก็เย็น      สิรราษฎร์สเริงรมย์
(อิลราชคำฉันท์: พระศรีสุนทรโวหาร(ผัน สาลักษณ์)

๏อันซึ่งพระองคก็ขจัด   ปรปักษเบญจมาร
พ่ายแพ้พระเดชภินิหาร   คณพฤกษโพธิ์พลัน
๏หนึ่งข้าก็ยอกรประนม   พระเนาวโลกุดรธรรม์
พระปริยัติสุขุมอัน      คัมภิรภาพสาทร
๏หนึ่งข้าก็ยอกรประนม   อัษฐสงฆสังวร
เปนที่พำนักนิอดิศร      สัตวโลกยธาตรี
(ปุณโณวาทคำฉันท์:  พระนาค วัดท่าทราย)

หวังว่าหลายตัวอย่างจากวรรณคดีไทยจะช่วยยืนยันได้ว่า  บังคับสัมผัสระหว่างวรรคของฉันท์นั้น  แรกเริ่มไม่ได้มีบังคับระหว่างวรรคที่หนึ่งและสองจริงๆ  แต่ภายหลังเมื่อความนิยมเปลี่ยนไป  มันก็เปลี่ยนแปลงมาตามที่เห็น

คงจะพอช่วยคลายข้อข้องใจได้บ้างนะคะ

เพรางาย
๑๒ เมษายน ๒๕๕๖
ป.ล. ขออนุญาตนำไปโพสต์แบ่งให้คนอื่นอ่านด้วยนะคะ


เพื่อนๆ ที่ต้องการเสนอหรือท้วงติงเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถชี้แจงแบ่งปันกันในกระทู้นี้ได้นะคะ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

กรกช, พยัญเสมอ, ไร้นวล^^, ...เป็ดน้ำ..., รพีกาญจน์, @free, รัตนาวดี, พี.พูนสุข, ไพร พนาวัลย์, เนิน จำราย, พิมพ์วาส, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

คนที่กำลังไล่ตามความฝัน  ท่ามกลางความผกผันของเวลา

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s