แสงตะเกียงอาดูรใกล้สูญดับ
ก้มหน้านับอัสสุชลจนเครียดเคร่ง
ดวงฤทัยไหวหวาดด้วยขลาดเกรง
ยิ่งคว้างเคว้งครวญคร่ำร่ำระทม
แม้แหงนมองท้องนภาสักคราก่อน
ศศิธรเรืองรัศมิ์จรัสสม
ดารารายพรายพร่างอย่างชื่นชม
อันตรอมตรมขมขื่นอาจคืนคลาย
โลกมีมืดแล้วสว่างต่างสลับ
เมื่อมีเกิดย่อมมีดับลับสลาย
ทั้งทุกข์สุขคลุกระคนจนชีพวาย
เพียงสุดท้ายปลายทางหมายวางลง
อยู่บนโลกเห็นโลกย่อมโศกสิ้น
เลือนมลทินรักโลภและโกรธหลง
สัทธรรมย้ำถ้อยให้ปล่อยปลง
เพื่อดำรงชีพนี้อย่างมีชัย
*****
ก้มหน้านับอัสสุชลจนเครียดเคร่ง
ดวงฤทัยไหวหวาดด้วยขลาดเกรง
ยิ่งคว้างเคว้งครวญคร่ำร่ำระทม
แม้แหงนมองท้องนภาสักคราก่อน
ศศิธรเรืองรัศมิ์จรัสสม
ดารารายพรายพร่างอย่างชื่นชม
อันตรอมตรมขมขื่นอาจคืนคลาย
โลกมีมืดแล้วสว่างต่างสลับ
เมื่อมีเกิดย่อมมีดับลับสลาย
ทั้งทุกข์สุขคลุกระคนจนชีพวาย
เพียงสุดท้ายปลายทางหมายวางลง
อยู่บนโลกเห็นโลกย่อมโศกสิ้น
เลือนมลทินรักโลภและโกรธหลง
สัทธรรมย้ำถ้อยให้ปล่อยปลง
เพื่อดำรงชีพนี้อย่างมีชัย
*****
แสงตะเกียง เอียงไส้ ใกล้มืดค่ำ
จุดท่องจำ อ่านเขียน เวียนวูบไหว
เจอลมพัด กวัดแกว่ง ดั่งแหว่งไป
ควันโชยไกล ในยามย่ำ แสนกล้ำกลืน
โลกมีมืด กับมืด จึงฝืดขม
โลกมีปม ซ่อนไว้ ไยทนฝืน
มีแต่ทุกข์ สุขหาย มิย้ายคืน
หลับหรือตื่น เช่นกัน นั้นเบี่ยงแท้
อยู่บนโลก แค่กาย หน่ายเสียสิ้น
อยู่บนโลก ไร้จินต์ สิ้นแยแส
อยู่บนโลก โศกเศร้า เหงาดวงแด
อยู่บนโลก ผันแปร แย่ทุกวัน
พันทอง