" ดาวน้ำค้าง "
ก่อนฟ้ารุ่ง ลมหนาว ดาวน้ำค้าง
คล้ายทุกอย่าง เย็นยะเยียบ และเงียบเหงา
แสงดาวเดือน เหมือนหม่น บนฟ้าเทา
คือความเศร้า ความขมขื่น ของคืนวัน
ซึ่งความงาม น้ำกับฟ้า เคยปรากฏ
บัดนี้ลด แรมร้าง ทางคนฝัน
เหลือร่องรอย คอยคืน เคยตื้นตัน
ก็ยังสั่น ซบเศร้า เท่าธุลี
ลอยคว้าง กลางโพยม ห่มห้วงหนาว
ประหนึ่งร้าว โรยแรง ร้างแสงสี
เหลือแต่ตัว หัวใจ เหมือนไม่มี
หวั่นวิถี ท้อทาง จะย่างยืน
ดั่งโลกร้าง วางหวั่น ไว้ตรงตัก
ซึ่งชะงัก เงื้อมเงา มิเฝ้าฝืน
หล่นลงจม ถมทับ กับกล้ำกลืน
เหมือนเป็นอื่น อ้างว้าง กลางเวลา
ผู้หลับใหล ลืมคำ เคยพร่ำพจน์
ยากกำหนด ทิศทาง วางค้นหา
อาจจำนน ทนท้อ รอระอา
เสมือนฟ้า มืดห้วง แห่งดวงจันทร์
ยิ่งลำธาร แห้งหาย เป็นทรายดิน
นกหลงถิ่น ก็ท้อ ต่อความฝัน
จะเหลือหล้า ฟ้าไหน ในรำพัน
จึงหวาดหวั่น เหลือเกิน นักเดินทาง
" ขออนุญาตไม่สัมผัสบทนะครับ "
ธรรมดา
ดาวน้ำค้างกลางไพรของใครหนอ
ที่เฝ้ารอแสงทองของยามสาง
ส่องประกายหวามหวานผ่านหมอกบาง
ผู้เดินทางใคร่พักหยุดทักทาย
เจ้าหลบใต้ใบบังไม่หวังอวด
ใจร้าวรวดเพราะรักมาหักหาย
หรือเป็นเพราะหัวใจใกล้วางวาย
ทุกข์กล้ำกรายรุมเร้าจนเจ้าครวญ
คนอีกฝั่งใฝ่ถึงรำพึงหา
ไยหลบหน้าหม่นไหม้ก่นไห้หวน
เปิดหัวใจสักนิดคิดทบทวน
อยากจะชวนร่วมทางสู่กลางฟ้า
จับจูงมือสร้างฝันใต้จันทร์ผ่อง
เฝ้าประคองสัมพันธ์ถึงวันหน้า
ก้าวสู่ห้วงทำนองของเวลา
คนปลายฟ้าขออยู่เคียงคู่ดาว
แซมค่ะ