บานหน้าต่างรางเลือนเปื้อนรอยร้าว
ม่านบางขาวปลิวไหวคล้ายใจฉัน
ห้องสี่เหลี่ยมเปี่ยมเหงาเฝ้ากักกัน
ดั่งคุมขังผนังคั่นกั้นกางไว้
นอกผ้าม่านผ่านมองช่องหน้าต่าง
ดูเวิ้งว้างว่างเปล่าเหงาเพียงไหน
นั่งเหม่อพลอยลอยใจไปแสนไกล
คิดถึงใครใต้ฟ้าคราไร้ดาว
แก้วบางใสใส่เบียร์คลอเคลียข้าง
ไม่เคยห่างร้างไกลยามใจหนาว
เปิดบรรเลงเพลงเศร้าเคล้าเรื่องราว
หวนถึงคราวดาวพร่างอยู่กลางฟ้า
ล้มลงนอนหมอนกอดทอดตัวนิ่ง
คล้ายจมดิ่งในห้วงบ่วงเสน่หา
นอนปล่อยใจให้ผ่านกาลเวลา
พร่ำเพ้อหาคว้าดาวคราวมืดมน
อยู่คนเดียว เปลี่ยวเหงา ใต้เงาโศก
เหมือนทั้งโลก สาปวาง กลางเวหน
เย็นจดเช้า เคล้าคลุก ความทุกข์ทน
สุดดิ้นรน พ้นบ่วง แห่งห้วงกาล
นิจนิรันดร์ ผันเปลี่ยน หมุนเวียนหลอน
ยามกินนอน ร้อนใจ ดั่งไฟผลาญ
ทนหนาวเหน็บ เจ็บแค้น นานแสนนาน
ทรมาน ปานนรก ในอกร้อง
คืนไร้ดาว ดับดิ้น สิ้นแสงสาด
ดั่งรอยบาด แผลใจ ที่ไหม้หมอง
ความมืดมิด พิษเหงา เข้าจำจอง
กอดประคอง โอบรัด บีบมัดทรวง
ในราตรี สิ้นแรง แสงสลัว
นอนหวาดกลัว หัวใจ ไร้ใครหวง
ฤาปีศาจ วาดบาป มาสาปลวง
ให้ดาวดวง ร่วงเลือน หล่นเปื้อนดิน
เหมือนต้องมนต์ วนหลง ในวงกต
รอยรันทด บดบัง ความหวังสิ้น
ซากวิญญาณ ร่วงโรย กร่อนโบยบิน
ร้างรสกลิ่น แสงดาว เคยพราวพราย
รอเสพสม ความงาม ของยามเช้า
ความมืดเหงา เฝ้ากลืน ให้ตื่นสาย
จนแสงสาด บาดชอน แสบร้อนกาย
แต่สบาย กว่าใจ คืนไร้ดาว