จะเล่าเรื่องเบื้องหลังในครั้งหนึ่ง
ที่ติดตรึงตราใจพาไหวหวั่น
ไปคุมงานเช้าค่ำขุดน้ำมัน
ทุกทุกวันไปกลับขับรถเอง
ถึงวันเสาร์รับคนงานจากบ้านเช่า
ตื่นแต่เช้าตั้งใจให้รีบเร่ง
นั่งเต็มรถเบียดกันมิหวั่นเกรง
แล้วเปิดเพลงให้ฟังนั่งงัวเงีย
ระยะทางร้อยแปดสิบกิโลเมตร
จึงเข้าเขตเซซังลูกรังเรี่ย
สองชั่วโมงโค้งไกลยังไม่เพลีย
รีบเข้าเคลียร์เรื่องงานให้ผ่านลุย
สั่งงานเสร็จรีบกลับซื้อกับข้าว
ต้องวิ่งอ้าวสามสิบโลโผล่ฉลุย
เข้าในเมืองซื้อของยังต้องคุย
ภาษาแขกกระจุยคุยรู้กัน
ซื้อของเสร็จบึ่งรถไม่คดค้อม
ต้องเตรียมพร้อมอาหาร,ของหวานนั่น
ทั้งเนื้อ,ไก่,ผักสด,หมดทุกวัน
แล้วแบ่งปันกันกินยามสิ้นแรง
วิ่งสองรอบรวดเร็วท่ามเปลวแดด
ที่ร้อนแผดเผาไหม้เหมือนใครแกล้ง
เสียงลูกน้องวิ่งมาทำตาแดง
พูดเสียงแห้ง แก๊สหมดรันทดใจ
จะไม่มีข้าวกินในตอนเที่ยง
มันสุดเลี่ยงหลบหน้าทำบ้าใบ้
ทั้งร้อนแดดร้อนลมต้องงมไป
จะให้ใครขับแทนก็ไม่มี
ทั้งแสนเหนื่อยแสนเพลียละเหี่ยจิต
มันเป็นกิจของเราต้องเอานี่
เข้าไปดื่มน้ำส้มอารมณ์ดี
ไปอีกทีเถิดหนาไม่ช้านาน
ขับมาได้ครึ่งทางจึ่งวางแผน
พอรถแล่นถึงที่พอดีผ่าน
ทั้งโรงแก๊ส,ข้าวหมกไก่,คงได้การ
ขอทนทานถึงปั๊มเก่าจะเข้านอน
คิดได้ถึงตอนนี้น้องพี่เอ๋ย
ตามันหลับลงเลยดั่งเกยหมอน
รถวิ่งออกนอกทางระหว่างดอน
จนหัวคลอนรู้สึกสำนึกตน
เสียงตึงตึงตังตังลูกรังร่วน
รถมันจวนแล้วจะตกถนน
ได้สติเตือนใจมิให้ชน
รีบเวียนวนเข้าทางกระจ่างตา
ขึ้นถนนพ้นทรายรอดตายแล้ว
โอ้ลูกแก้วเกือบจบไม่พบหน้า
ถ้าถึงคราวเคราะห์ร้ายถึงตายมา
เสาไฟฟ้าข้างทางทุกอย่างพัง
นี่แหละคือครั้งหนึ่งในชีวิต
ฟ้าลิขิตให้รอดไม่จอดชั่ง
ถ้าไม่ตายก็พิการสงสารจัง
กลับคืนรังนั่งเล่าก่อนเข้านอน
“ไพร พนาวัลย์”