หลายพรรษาว่าวอนอ้อนถวิล
กลั่นจากจินต์ระบิลเห็นเป็นอักษร
สื่อประสงค์จำนงผ่านบทกานท์กลอน
เพื่อหวังวอนอ้อนอ่านสำราญรมย์
บางครั้งเศร้าเหงาสลดปรากฏแจ้ง
เสมือนแสร้งแกล้งให้ฤทัยขม
แต่ความจริงสิงอกให้ตกตรม
ร่ำระงมพรมผ่านสื่อสารมา
ยามมีสุขสนุกสนานเบิกบานจิต
ก็ลิขิตชีวิตชื่นรื่นหรรษา
ผู้ใดเห็นเป็นประจักษ์ในอักษรา
ก็พลอยพาอุราสุขไปทุกคน
เมื่อดวงมานประสานกลอนอักษรจด
ได้ปรากฏรดร่ำดั่งฉ่ำฝน
ไหลรินอาบซาบซ่านบันดาลดล
ซึ้งกมลสนเท่ห์เสน่ห์กานท์...
" บูรพ์ "
สี่ปีแล้ว แผ้วถาง ทางอักษร
ทั้งร้าวรอน อ้อนพร่ำ ถึงฉ่ำหวาน
เฝ้าเพียรร้อย ถ้อยคำให้สำราญ
ด้วยรักรส บทขาน งานกวิน
อ่อนด้อยด้วย ความรู้ ไร้ครูสอน
ได้แต่วอน ผู้ชำนาญ สื่อสาส์นศิลป์
ช่วยแนะเตือน เยือนดู อยู่อาจิณ
หวังได้ริน เรียงร่าย ใส่ใจจำ
แม้นถูกหยัน งานไร้ ซึ่งไหลลื่น
ยังคงยืน หยัดอยู่ ให้ดูขำ
เขียนด้วยใจ ใส่ลง ตรงน้ำคำ
เป็นลำนำ คนเหงา คละเคล้าไป
เทพเจ้าแห่งกาลแม้ผ่านพ้น
ยังส่งผล ในรัก มิผลักไส
รักอักษร กลอนกานท์ สานสายใย
เป็นเพื่อนใจ ยามเรา ต้องเศร้าตรม...
“สุนันยา”
ทั้งร้าวรอน อ้อนพร่ำ ถึงฉ่ำหวาน
เฝ้าเพียรร้อย ถ้อยคำให้สำราญ
ด้วยรักรส บทขาน งานกวิน
อ่อนด้อยด้วย ความรู้ ไร้ครูสอน
ได้แต่วอน ผู้ชำนาญ สื่อสาส์นศิลป์
ช่วยแนะเตือน เยือนดู อยู่อาจิณ
หวังได้ริน เรียงร่าย ใส่ใจจำ
แม้นถูกหยัน งานไร้ ซึ่งไหลลื่น
ยังคงยืน หยัดอยู่ ให้ดูขำ
เขียนด้วยใจ ใส่ลง ตรงน้ำคำ
เป็นลำนำ คนเหงา คละเคล้าไป
เทพเจ้าแห่งกาลแม้ผ่านพ้น
ยังส่งผล ในรัก มิผลักไส
รักอักษร กลอนกานท์ สานสายใย
เป็นเพื่อนใจ ยามเรา ต้องเศร้าตรม...
“สุนันยา”