ลืมตาตื่น ตีห้า ฟ้าฉ่ำฝน
พิรุณหล่น จนหม่นเทา ไร้เงาสี
ลมกรรโชก โบกมา พนาลี
ธรณี ฉ่ำชุ่ม อุ้มวาริน
หลายวันผ่าน กาลเคลื่อน ยังเปื้อนเปรอะ
พื้นแฉะเฉอะ เลอะเทอะ เผลอล้มดิ้น
รถสัญจร ไปมา ถลาบิน
เมื่อไรสิ้น หน้าฝน บ่นกันจม
ต่างจากที่ ทางเหนือ เบื่ออากาศ
ถิ่นเขาขาด ฝนพรำ น้ำไม่สม
สวน,ไร่,นา พาแห้งขอด กอดเข่าตรม
ไยมิก้ม ดูนั่น ท่านเทวดา
ขอส่งใจ ไปช่วย อวยหนุนเกื้อ
อย่าเพิ่งเบื่อ เลยหนอ อย่าท้อหนา
รู้ว่าอยู่ แห้งแล้ง แบ่งดินฟ้า
ดวงชีวา ศศิ-รพีฯ มีหนึ่งเดียว
พิรุณหล่น จนหม่นเทา ไร้เงาสี
ลมกรรโชก โบกมา พนาลี
ธรณี ฉ่ำชุ่ม อุ้มวาริน
หลายวันผ่าน กาลเคลื่อน ยังเปื้อนเปรอะ
พื้นแฉะเฉอะ เลอะเทอะ เผลอล้มดิ้น
รถสัญจร ไปมา ถลาบิน
เมื่อไรสิ้น หน้าฝน บ่นกันจม
ต่างจากที่ ทางเหนือ เบื่ออากาศ
ถิ่นเขาขาด ฝนพรำ น้ำไม่สม
สวน,ไร่,นา พาแห้งขอด กอดเข่าตรม
ไยมิก้ม ดูนั่น ท่านเทวดา
ขอส่งใจ ไปช่วย อวยหนุนเกื้อ
อย่าเพิ่งเบื่อ เลยหนอ อย่าท้อหนา
รู้ว่าอยู่ แห้งแล้ง แบ่งดินฟ้า
ดวงชีวา ศศิ-รพีฯ มีหนึ่งเดียว
"ดิน"
เป็นประจำค่ำคืนตื่นตีห้า
พอลืมตาฟ้าจางปางแห้งเหี่ยว
จากที่นอนร้อนทั่วตัวเลยเชียว
พาหมดเี่รี่ยวแรงอ่อนสะท้อนใจ
จำต้องรีบสูบน้ำนำมาพัก
แล้วค่อยจักสูบต่อรอเอาใส่
สองสามทอดข้ามแดนยาวแสนไกล
กว่าจะได้ใช้น้ำปลูกทำนา
ที่เขาไม่ต้องการตกบานเบอะ
ท่วมขังเฉอะแฉะจนถูกบ่นด่า
เขาอยากได้ขุดล่อบ่อเลี้ยงปลา
แค่น้ำตาสักหยดรดไม่มี
รับน้ำใจจากดินก่อนสิ้นซาก
ถึงลำบากอย่างไรไม่คิดหนี
ยิ่งหน้าแย้มแก้มปริ.ศศิ-รพี
มอบชีวีใจสกนธ์สู้จนตาย
รพีกาญจน์ 59