เมฆหม่น ผ่านพ้นไป แสงรำไพ ฉายแผ้วผ่อง
เวหา อ่ารงรอง อาบสีทอง ลำยองตา
ดั่งคน พ้นรันทด หายสลด หมดปัญหา
ดื่นทัณฑ์ อันค้างคา พลันเยียวยา มาเป็นดี
ชีวิต ติดล้ม,ลุก หลอมรวมทุกข์ และสุขศรี
สำแดง แห่งโลกีย์ ไร้วิถี ทางจีรัง
ธรรมดา โลกามิส ห้ามท้อจิต ยามผิดหวัง
มานะ แก้ประทัง ดีกว่าชัง นั่งโทษใคร
วันนี้ มีทุกข์ครัน อาจสุขสันต์ เมื่อวันใหม่
อิ่มหนำ คือกำไร เลิกฝักใฝ่ ในราคี
กอบกู้ สู้ชีวิต สุจริต ไม่คิดหนี
อุเบกขา ธรรมจารี จนหรือมี อยู่ที่ใจ
สุนทรวิทย์
ร้ายดี..มิจีรัง
ตนลำพัง...ควรแก้ไข
หลอมเหลว..แห่งเปลวไฟ
มิจรัส...เหมือนจัดเจน
เรียนรู้..ดูเอาบ้าง
ใช่เอ่ยอ้าง...มองไม่เห็น
โง่งม..ใต้ตมเย็น
ถากด้วยสิ่ว...มิหลิ่วตา
เข้าเมือง..ก็ควรมอง
ไยคะนอง...ดั่งโหยหา
เป็นบัว..ใต้ธารา
ฤๅยากเย็น..บำเพ็ญเพียร
อุเบกขา..ธรรมจารีต
เขาปราณีต...จึ่งคลื่นเหียน
สู้หน้า..ว่าข้าฯเนียน
ยังบ่ห่อน...อ่อนวินัย
เฉกเช่น..ชาติคางคก
ยางหัวตก...นั่นไฉน
ครึ่งบก..เหมือนตกใจ
ครึ่งน้ำคำ...ยังทำงอน
โสว..จัสสตา
เปล่งวาจา...เพื่อจะสอน
อย่าขึง..ตะบึงตะบอน
อยู่ต้องอาลัย...ไปต้องคิดถึง