เคยได้ฟัง ผู้เฒ่า ท่านเล่าว่า
กระต่ายหมายจันทรา คราเฉิดฉาย
หวังชมโฉม จันทร์เจ้า พราวพริ้มพราย
จึงพากาย เยี่ยมเย้า กระเซ้าจันทร์
แต่หาเป็น เช่นกระต่าย ที่หมายจ้อง
ทุกสิ่งมอง ปองเห็น ดังเช่นฝัน
ความว่างเปล่า หลุมบ่อ ก่อรวมกัน
บนพื้นผิว ผกผัน ให้หวั่นใจ
หลงรูปเพียง ผิวเผิน เพลินสนอง
จึงหม่นหมอง ร้องร่ำ ช้ำหวั่นไหว
โอ้จันทรา สวยผ่อง เมื่อมองไกล
หากแต่เห็น เนื้อใน ร่ำไห้ครวญ
คงเป็นอุทาหรณ์ วอนบอกเล่า
จากผู้เฒ่า เตือนไว้ ให้คิดหวน
งามรูปโฉม หรือจิตใจ ให้ทบทวน
ทุกสิ่งล้วน ประจักษ์ได้ เมื่อไตร่ตรอง
เหมือนใบหน้า ผ่องพรรณ อันงามงด
แต่ดวงใจ เคี้ยวคด รันทดหมอง
มิได้งาม ตามค่า หน้าชวนมอง
มิใช่ทอง ยองใย เช่นใจตน
แต่อีกหนึ่ง ยากค้นงาม ตามใบหน้า
เทียวเสาะหา พาจ้อง มองสับสน
แต่ใจอาจ งามวิไล ชวนให้ยล
คือข้อเปรียบ เทียบผล คนโบราณ....
“สุนันยา”
คล้ายมะเดื่อสุกใสที่ใครว่า
มองด้วยตาหวานลิ้นกินคงหวาน
ดูข้างในเฟะฟอนหนอนไชทาน
อนุมานเปรียบปรายไว้คล้ายกัน
ธรรมชาติของคนไม่พ้นผิด
ด้วยไม่คิดตามคำธรรมรังสรรค์
อย่าเชื่อตาจ้องจับในฉับพลัน
เพราะสิ่งนั้นอาจไม่เป็นเช่นตามอง
ใช้สัมผัสไม่ครบเลยจบเจ็บ
สัมผัสเก็บฉาบฉวยเลยซวยหมอง
หลงตะกั่วชุบชั่งเหมือนดั่งทอง
เหมือนหลงปองหน้าใสคนใจดำ
มองด้วยตาหวานลิ้นกินคงหวาน
ดูข้างในเฟะฟอนหนอนไชทาน
อนุมานเปรียบปรายไว้คล้ายกัน
ธรรมชาติของคนไม่พ้นผิด
ด้วยไม่คิดตามคำธรรมรังสรรค์
อย่าเชื่อตาจ้องจับในฉับพลัน
เพราะสิ่งนั้นอาจไม่เป็นเช่นตามอง
ใช้สัมผัสไม่ครบเลยจบเจ็บ
สัมผัสเก็บฉาบฉวยเลยซวยหมอง
หลงตะกั่วชุบชั่งเหมือนดั่งทอง
เหมือนหลงปองหน้าใสคนใจดำ