"ดั่งม่านมัว"
ดั่งคลุมเครือเจือเศร้าเมื่อเหงาแทรก
โลกใกล้แหลกแยกส่วนครวญถวิล
ธาตุทั้งสี่ใกล้ดับลับลงดิน
ใกล้แดดิ้นสิ้นใจไปกับกาล
จะเหลือใดให้ชื่นในคืนนี้
หนึ่งฤดีเคว้งคว้างกลางระหาน
ขาดหางเสือขาดแรงแข่งสายธาร
เกินจะต้านแรงโหมตระโบมลม
มากขวากหนามยามใฝ่ไปให้ถึง
มากแรงดึงเหนี่ยวรั้งตั้งจิตข่ม
แม้รู้ตัวตั้งมั่นคอยบั่นปม
ยังซานซมคมกรรมกระหน่ำเต็ม
เหมือนดั่งม่านมัวบังเป็นฝั่งฟาก
เกินจะบากหน้าพ้นดั่งฝนเข็ม
มืดบังใจให้หม่นทนและเล็ม
สีดำเข้มบังทิศบังจิตคน
เหลือเพียงหวังนั่งรอขอพักฟื้น
ใดไหนอื่นปล่อยวางทางสับสน
ปลุกปลอบใจให้ตื่นคืนมืดมน
กว่าจะพ้นราตรีที่ทรมาน
เถอะ..ชีพยัง หวังมี ฤดีใฝ่
มุ่งมั่นไปอีกฝั่งตั้งตระหง่าน
ได้พบบ้างสิ่งใดใจต้องการ
หรือจะยิ่งร้าวราน..กว่าด้านนี้..
โลกใกล้แหลกแยกส่วนครวญถวิล
ธาตุทั้งสี่ใกล้ดับลับลงดิน
ใกล้แดดิ้นสิ้นใจไปกับกาล
จะเหลือใดให้ชื่นในคืนนี้
หนึ่งฤดีเคว้งคว้างกลางระหาน
ขาดหางเสือขาดแรงแข่งสายธาร
เกินจะต้านแรงโหมตระโบมลม
มากขวากหนามยามใฝ่ไปให้ถึง
มากแรงดึงเหนี่ยวรั้งตั้งจิตข่ม
แม้รู้ตัวตั้งมั่นคอยบั่นปม
ยังซานซมคมกรรมกระหน่ำเต็ม
เหมือนดั่งม่านมัวบังเป็นฝั่งฟาก
เกินจะบากหน้าพ้นดั่งฝนเข็ม
มืดบังใจให้หม่นทนและเล็ม
สีดำเข้มบังทิศบังจิตคน
เหลือเพียงหวังนั่งรอขอพักฟื้น
ใดไหนอื่นปล่อยวางทางสับสน
ปลุกปลอบใจให้ตื่นคืนมืดมน
กว่าจะพ้นราตรีที่ทรมาน
เถอะ..ชีพยัง หวังมี ฤดีใฝ่
มุ่งมั่นไปอีกฝั่งตั้งตระหง่าน
ได้พบบ้างสิ่งใดใจต้องการ
หรือจะยิ่งร้าวราน..กว่าด้านนี้..
"บ้านริมโขง"
๒๔ เมษายน ๒๕๕๕