"วิเวกรำพึง"
ม่านหมอกงอกเงยไม่เผยแสง
มีเพียงเรี่ยวแรงตะแคงหัน
มองตอบรอบกายที่ใดกัน
เหมือนกึ่งครึ่งฝันจะพลันเลือน
ขาวควันคั่นตาพาให้หลง
ขุ่นข้องหมองลงคงเขยื้อน
ขยับจับรับแสงจากแรมเดือน
ขยาดเจื่อนเคลื่อนคล้ายกายทุรน
ดึกสงัดผลัดเปลี่ยวเกี่ยวใจหาย
ดอดตะกายร่ายเร้นไม่เห็นหน
ดูสลัวตัวชืดเพราะมืดมน
ดุจจะทนด้นไปไม่ได้นาน
ลมเย็นเข่นเนื้อจนเหลือปอด
ลงลึกสึกตลอดยอดสะท้าน
ลวงล้วงดวงใจให้ทรมาน
แลเห็นวิญญาณที่ซานซม
รายล้อมห้อมหาพาสะบัด
ราวจะปัดพัดคืนที่ขื่นขม
รื้นน้ำตาชาเฉาเศร้าระทม
ร้องระงมจมเสียงเพียงนิทรา
ว่ายวนปนคลุกทุกขโลก
เวียนโศกโขกเคล้าคะนึงหา
วิงวอนจรจากให้กลับมา
แว่วเสียงร่ำลาที่อาลัย
มีเพียงเรี่ยวแรงตะแคงหัน
มองตอบรอบกายที่ใดกัน
เหมือนกึ่งครึ่งฝันจะพลันเลือน
ขาวควันคั่นตาพาให้หลง
ขุ่นข้องหมองลงคงเขยื้อน
ขยับจับรับแสงจากแรมเดือน
ขยาดเจื่อนเคลื่อนคล้ายกายทุรน
ดึกสงัดผลัดเปลี่ยวเกี่ยวใจหาย
ดอดตะกายร่ายเร้นไม่เห็นหน
ดูสลัวตัวชืดเพราะมืดมน
ดุจจะทนด้นไปไม่ได้นาน
ลมเย็นเข่นเนื้อจนเหลือปอด
ลงลึกสึกตลอดยอดสะท้าน
ลวงล้วงดวงใจให้ทรมาน
แลเห็นวิญญาณที่ซานซม
รายล้อมห้อมหาพาสะบัด
ราวจะปัดพัดคืนที่ขื่นขม
รื้นน้ำตาชาเฉาเศร้าระทม
ร้องระงมจมเสียงเพียงนิทรา
ว่ายวนปนคลุกทุกขโลก
เวียนโศกโขกเคล้าคะนึงหา
วิงวอนจรจากให้กลับมา
แว่วเสียงร่ำลาที่อาลัย
เมฆสีรุ้ง
๑๘ เม.ย. ๒๕๕๕
๑๘ เม.ย. ๒๕๕๕