มีนิทานอาหรับเรื่องหนึ่ง เชื่อว่าหลายๆท่านคงเคยอ่านผ่านมาแล้ว ขอเล่าเผื่อผู้
ที่ไม่เคยอ่านนะครับ
พ่อลูกคู่หนึงจะเดินทางไปต่างเมือง แต่มีลาอยู่เพียงตัวเดียว ทั้งคู่จึงนั่งลาตัวนั้น
ไปพร้อมกัน ครั้นออกพ้นหมู่บ้านมาพบคนกลุ่มหนึ่งมองมาทางเขา มีชายคนหนึ่ง
ชี้มาพร้อมตะโกนว่า "ดูพ่อลูกคู่นี้สิ ใจดำมาก สองคนนั่งอยู่บนหลังลาผอมๆตัวเดียว
ไม่รู้จักสงสารลาบ้างเลย" ผู้คนได้ยินก็พลอยเออออไปด้วย ชายผู้นั้นคิดว่าจริงอย่าง
ที่ชาวบ้านพูด เขาจึงลงจากหลังลา แล้วให้ลูกชายนั่งเพียงคนเดียว
ครั้นเดินไปได้อีกระยะหนึ่ง พบคนอีกกลุ่มหนึ่ง พลันมีคนตะโกนมาอีกว่า
"ดูเจ้าเด็กคนนี้สิ เห็นแก่ตัวมาก ตัวเองนั่งบนหลังลาสบาย ปล่อยให้พ่อเดินเหนื่อยคนเดียว"
ชาวบ้านได้ยินก็คล้อยตามกันอีก
ชายผู้นั้นไม่อยากให้ลูกถูกตำหนิ จึงให้ลูกลงเดิน ส่วนตัวเองขี่หลังลาไป ครั้นมาพบคน
อีกกลุ่มหนึ่ง ก็มีคนตะโกนมาอีกว่า
"ดูชายคนนี้สิ ใจดำมาก ตัวเองขี่ลาแต่ปล่อยให้ลูกเดิน ใช้ไม่ได้จริงๆ" ชายผู้นั้นได้ยิน
เช่นนั้นก็คิดว่าจริงดังคำชาวบ้าน เขาจึงตัดสินใจลงจากหลังลา และเพื่อมิให้ใครต่อว่าอีก
ทั้งสองจึงเดินจูงลาไปโดยไม่ไม่ขี่ลาอีก ครั้นผ่านไปพบชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่ง ชาวบ้าน
เหล่านั้นก็ชี้มาที่เขาทั้งสองแล้วหัวเราะเฮฮาพร้อมตะโกนว่า
"เจ้าพ่อลูกคู่นี้โง่บัดซบจริงๆ มีลาก็ไม่ขี่ ดันเดินจูงไปเฉยๆ" ชายผู้นั้นจึงนึกขึ้นได้ว่า ต่อ
ให้เราปฏิบัติตัวอย่างไร ก็ไม่สามารถทำถูกใจทุกคนได้ แล้วเราจะสนใจคำผู้อื่นทำไม คิด
แล้วเขาก็ขึ้นลาขี่ไปทั้งพ่อลูกโดยไม่สนใจคำพูดใครอีก
นิทานเรื่องนี้สอนให้ว่า ไม่มีใครสามารถทำให้ทุกๆคนถูกใจได้ และไม่มีใครทำให้เราถูกใจ
ทุกอย่างด้วยเช่นกัน
ตัวผมเองก็อยากทำทุกอย่างให้คนชอบแต่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จริงๆชอบเขียนกลอน
ตลก แต่ก็พยายามปรับเปลี่ยนเพื่อเลี่ยงคำตำหนิ แต่ก็อีกนั่นแหละเปลี่ยนยังไงเดี๋ยวก็คง
ถูกต่อว่าอีกแน่ เพราะลองคนเราถ้าไม่ชอบหน้ากันแล้วไม่ว่าทำอะไรก็ดูผิดไปหมดครับ ไม่รู้
จะทำยังไงเหมือนกันครับ
ความจริงผมจะลงนิทานนี้ตั้งแต่วันก่อน แต่บังเอิญมีเรื่องโต้แย้งกันอยู่จึงระงับไว้ เกรงถูก
มองในแง่ลบว่าเป็นฝ่ายไหน ไม่ใช่นะครับ ผมเป็นทุกฝ่ายครับไม่ว่าใครรักผมหรือเกลียดผมๆ
ก็อยากเป็นฝ่ายเดียวกับคุณทั้งนั้นครับ
สุนทรวิทย์
ที่ไม่เคยอ่านนะครับ
พ่อลูกคู่หนึงจะเดินทางไปต่างเมือง แต่มีลาอยู่เพียงตัวเดียว ทั้งคู่จึงนั่งลาตัวนั้น
ไปพร้อมกัน ครั้นออกพ้นหมู่บ้านมาพบคนกลุ่มหนึ่งมองมาทางเขา มีชายคนหนึ่ง
ชี้มาพร้อมตะโกนว่า "ดูพ่อลูกคู่นี้สิ ใจดำมาก สองคนนั่งอยู่บนหลังลาผอมๆตัวเดียว
ไม่รู้จักสงสารลาบ้างเลย" ผู้คนได้ยินก็พลอยเออออไปด้วย ชายผู้นั้นคิดว่าจริงอย่าง
ที่ชาวบ้านพูด เขาจึงลงจากหลังลา แล้วให้ลูกชายนั่งเพียงคนเดียว
ครั้นเดินไปได้อีกระยะหนึ่ง พบคนอีกกลุ่มหนึ่ง พลันมีคนตะโกนมาอีกว่า
"ดูเจ้าเด็กคนนี้สิ เห็นแก่ตัวมาก ตัวเองนั่งบนหลังลาสบาย ปล่อยให้พ่อเดินเหนื่อยคนเดียว"
ชาวบ้านได้ยินก็คล้อยตามกันอีก
ชายผู้นั้นไม่อยากให้ลูกถูกตำหนิ จึงให้ลูกลงเดิน ส่วนตัวเองขี่หลังลาไป ครั้นมาพบคน
อีกกลุ่มหนึ่ง ก็มีคนตะโกนมาอีกว่า
"ดูชายคนนี้สิ ใจดำมาก ตัวเองขี่ลาแต่ปล่อยให้ลูกเดิน ใช้ไม่ได้จริงๆ" ชายผู้นั้นได้ยิน
เช่นนั้นก็คิดว่าจริงดังคำชาวบ้าน เขาจึงตัดสินใจลงจากหลังลา และเพื่อมิให้ใครต่อว่าอีก
ทั้งสองจึงเดินจูงลาไปโดยไม่ไม่ขี่ลาอีก ครั้นผ่านไปพบชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่ง ชาวบ้าน
เหล่านั้นก็ชี้มาที่เขาทั้งสองแล้วหัวเราะเฮฮาพร้อมตะโกนว่า
"เจ้าพ่อลูกคู่นี้โง่บัดซบจริงๆ มีลาก็ไม่ขี่ ดันเดินจูงไปเฉยๆ" ชายผู้นั้นจึงนึกขึ้นได้ว่า ต่อ
ให้เราปฏิบัติตัวอย่างไร ก็ไม่สามารถทำถูกใจทุกคนได้ แล้วเราจะสนใจคำผู้อื่นทำไม คิด
แล้วเขาก็ขึ้นลาขี่ไปทั้งพ่อลูกโดยไม่สนใจคำพูดใครอีก
นิทานเรื่องนี้สอนให้ว่า ไม่มีใครสามารถทำให้ทุกๆคนถูกใจได้ และไม่มีใครทำให้เราถูกใจ
ทุกอย่างด้วยเช่นกัน
ตัวผมเองก็อยากทำทุกอย่างให้คนชอบแต่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จริงๆชอบเขียนกลอน
ตลก แต่ก็พยายามปรับเปลี่ยนเพื่อเลี่ยงคำตำหนิ แต่ก็อีกนั่นแหละเปลี่ยนยังไงเดี๋ยวก็คง
ถูกต่อว่าอีกแน่ เพราะลองคนเราถ้าไม่ชอบหน้ากันแล้วไม่ว่าทำอะไรก็ดูผิดไปหมดครับ ไม่รู้
จะทำยังไงเหมือนกันครับ
ความจริงผมจะลงนิทานนี้ตั้งแต่วันก่อน แต่บังเอิญมีเรื่องโต้แย้งกันอยู่จึงระงับไว้ เกรงถูก
มองในแง่ลบว่าเป็นฝ่ายไหน ไม่ใช่นะครับ ผมเป็นทุกฝ่ายครับไม่ว่าใครรักผมหรือเกลียดผมๆ
ก็อยากเป็นฝ่ายเดียวกับคุณทั้งนั้นครับ
สุนทรวิทย์