คิดแต่งกลอนให้ไพเราะเสนาะหู
แต่ก็รู้ฝีมือเราไม่เอาไหน
ใช่กวีศรีปราชญ์อาจเกรียงไกร
เป็นแค่ใครหนึ่งคนบนทางกลอน
จะให้เลิศงามหรูดั่งครูเทพ
ใครจะเสพกลอนเราเฝ้าสลอน
เขาดูหมิ่นเหยียดหยามไม่งามงอน
เป็นพวกอ่อนไร้มนตร์ คนกวี
แล้วจะต้องทำไงแต่งได้เพราะ
ถ้าเธอเยาะเย้ยหยันฉันคงหนี
เพราะอับอายขายหน้าประชาชี
อยู่ที่นี้หนามไหน่ตำใจพรุน
ฟังเยาะเย้ยถากถางก็หมางหมอง
อยากร่ำร้องเพื่อเปลื้องที่เคืองขุ่น
สู้ลงแรงลงใจไฉนขาดทุน
ไม่การุณดังเช่นมิตรจนนิดเดียว
หากแบ่งชั้นขั้นฝีมือถือเหนือกว่า
เห็นไร้ค่าไม่ควรคู่อยู่สักเสี้ยว
รุมประนามหยามหมิ่นให้ปีนเกลียว
เกินเกาะเกี่ยวเหนี่ยวใจจะใส่กานท์
อันรอยร้าวฉาวโฉ่เสียงโห่ไล่
ฉันอยากไปไกลนักหลักประหาร
ช่างกินแหนงแคลงใจใส่ประจาน
ดังโทษฐานหนักหนาสารพัน
จนน้ำจิตคิดมีดั่งพี่น้อง
ก็ลอยล่องถูกฆ่าให้อาสัญ
เหลือเศษซากจากเหยือเพื่อใครกัน
ได้หฤหรรษ์สาสมอารมณ์จินต์
คิดแต่งกลอนให้ไพเราะเสนาะหู
แต่ก็รู้อยู่ว่าเรานั้นเขาหมิ่น
ใช่บรรเจิดเลิศบรรเลงดั่งเพลงพิณ
เป็นแค่ดินใช่ดาวสกาวใด
เพียงแค่ดินจิตนาว่าเลิศล้ำ
แต่งร้อยคำค่างามตามสมัย
สัมผัสรับกับสระประทับใจ
สัมผัสในเนื้ออักษรกลอนพี่งาม
น้องคิดแต่งแจ้งกลอนย้อนไพเราะ
ถ้อยเสนาะน้ำคำจำไหวหวาม
หวานบ่มเพาะเหมาะสมคมในความ
ขอติดตามตาอ่าน ณ ลานกลอน
อย่าเพิ่งหายคล้ายจากพรากไปไหน
ร่วมร้อยเรียงเพียงใจใส่อักษร
ย่อมไพเราะเสนาะล้ำคำสุนทร
ค่างามงอนงดงามท่ามจิตเรา
หทัยกาญจน์ ฤทัยกานท์
๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕