อยากขีดเขียนเจียรกวีสื่อศรีศิลป์
ให้ผู้คนยลสิ้นถิ่นอักษร
หลากอารมณ์ขมหวานผ่านบทกลอน
ด้วยสุนทรถ้อยกลั่นรังสรรค์ความ
สู้พากเพียรเวียนเลาะเสาะแสวง
จวบสำแดงแจ้งใจเพราะไถ่ถาม
จึ่งจารจดรจนาตนว่างาม
ลำเรื่อยลามหยามมิตรจิตผู้ชม
ลืมคำนึงถึงใจผู้ได้อ่าน
เริงสำราญเพียงเราเฝ้าสุขสม
มองเห็นแต่แค่กลุ่มคนนิยม
ปล่อยสังคมส่วนรวมให้อ่วมอาน
จนผู้รู้ครูกวีท่านชี้สอน
จึงสังวรผ่อนปรับพจน์ขับขาน
เราร่ำเรียนเจียรเพรานับเนานาน
ละเลงกานท์เพื่อใครเฝ้าใคร่ครวญ
เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ทับถมจิต
ฤๅเพื่อมิตรเพื่อรักษ์จักสงวน
ฤๅเพื่อฝากเพียงพร่ำลงสำนวน
ฤๅเพื่อมวลมหาอัตตาตน
เถิดเพื่อนพ้องน้องพี่กวีปล่อย
จงเรียงร้อยถ้อยความตามเหตุผล
ฝากเชวงเลบงชื่อในมือชน
อย่าให้คนยลหยามประณามเอา
ตอนที่ผมเข้าบ้านกลอนใหม่ๆไม่เคยรู้เรื่อง กฎ กติกา มารยาท ไม่รู้เรื่องฉันทลักษณ์แม้สักข้อเดียว เขียนผิดบ่อยมากๆ เขียนเพราะอยากเขียน เขียนเพราะอยากให้คนที่เข้ามาอ่านได้รู้ว่าผมก็สามารถ ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอ่านว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบแบบไหน แรกๆเลยไม่มีใครสักคนที่จะแนะนำเรื่องเหล่านี้ให้ ผมเพียรเสาะหาเอาตามเวปต่างๆ ถามผู้รู้ ครูที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนผ่านไปพอสมควรก็มีผู้ใหญ่ใจดีหลายท่าน เข้ามาแนะนำให้เรื่อยๆ(หนึ่งในนั้นก็มีคุณหทัยชนกรวมอยู่ด้วย) ผมก็น้อมรับทุกคำแนะนำเอาไว้ (ท่านอาจรำคาญที่ต้องทนอ่านกลอนที่สะดุดบ่อยๆเนื่องเพราะคำผิดกระมัง คริคริ) ผมก็เขียนไปเรื่อยๆตามอารมณ์ผมนี่แหละครับ จนมาวันหนึ่ง มีผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งท่านเมตตาบอกกับผมว่า “คุณปภัสร์ ทุกข้อความที่เราเขียน ต้องมีผู้อ่าน ในจำนวนผู้อ่านทั้งหลาย ก็จะมีทั้งชอบและไม่ชอบ ฉะนั้นจงเขียนไปเถอะตามที่ใจเราอยากจะเขียน แต่จงจำไว้ว่า หนึ่งวลีของเราสามารถทำให้ส่วนรวมเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้” ซึ่งผมจดจำใส่ใจและถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้
รังสรรค์ไปตามที่ใจปรารถนาแต่อย่าให้ส่วนรวมเสียหาย
ปภัสร์
๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕