ในฟ้าบ่มีน้ำ | ในดินซ้ำมีแต่ทราย |
น้ำตาที่ตกราย | ก็รีบซาบบ่รอซึม |
แดดเปรี้ยงปานหัวแตก | แผ่นดินแยกอยู่ทึบทึม |
แผ่นอกที่ครางครึ้ม | ขยับแยกอยู่ตาปี |
มหาห้วยคือหนองหาน | ลำมูลผ่านเหมือนลำผี |
ย้อมชีพคือลำชี | อันชำแรกอยู่รีรอ |
แลไปสดุ้งปราณ | โอ้!อิศาน ฉะนี้หนอ |
คิดไปในใจคอ | บ่ค่อยดีนี้ดังฤา |
พี่น้องผู้น่ารัก | น้ำใจจักไฉนหือ |
ยืนนิ่งบ่ติงคือ | จะใคร่ได้อันใดมา |
เขาหาว่าโง่เง่า | แต่เพื่อนเฮานี่แหละหนา |
รักเจ้าบ่จางฮา | แลเหตุใดมาดูแคลน |
เขาซื่อซิว่าเซ่อ | ผู้ใดเน้อนะดีแสน |
ฉลาดทานเทียมผู้แทน | ก็เห็นท่าที่กล้าโกง |
กดขี่บีฑาเฮา | ใครนะเจ้า? จงเปิดโปง |
เที่ยววิ่งอยู่โทงโทง | เทียวมาแทะให้ทรมาน |
รื้อคิดยิ่งรื้อแค้น | ละม้ายแม้นห่าสังหาร |
เสียตนสิทนทาน | ก็บ่ได้สะดวกสบาย |
ในฟ้าบ่มีน้ำ | ในดินซ้ำมีแต่ทราย |
น้ำตาที่ตกราย | คือเลือดหลั่ง ลงโลมดิน |
สองมือเฮามีแฮง | เสียงเฮาแย้งมีคนยิน |
สงสารอิศานสิ้น | อย่าซุด, สู้ด้วยสองแขน |
พายุยิ่งพัดอื้อ | ราวป่าหรือราบทั้งแดน |
อิศานนับแสนแสน | สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ? |
อัศนี พลจันทร หรือ นายผี ประพันธ์บทกวี อีศาน ลงพิมพ์ใน สยามสมัย (ปีที่ 5 ฉ.256, 7 เม.ย.2495) กาพย์ยานี 11 แบบฉบับของนายผี กลายเป็นบทกวีลือเลื่อง เสมือนเป็นตัวแทนของนายผี ผู้คนได้ขนานนามนายผีเป็น มหากวีของประชาชน
ต่อมา ปี 2554 คณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้าได้คัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าเกียรติยศ