เหนื่อยอ่อน ค่อนชีวิต
ไม่มีสิทธิ์ แม้คิดหวัง
หากิน ดิ้นประทัง
สุดกำลัง ยังยากจน
ลำบาก สู้ตรากตรำ
มิก่อกรรม ทำฉ้อฉล
หลายปี ที่อดทน
สาละวน อยู่คนเดียว
คืน,วัน เงียบสันโดษ
เป็นชายโสด ร้างโดดเดี่ยว
หนทาง ช่างลีบเรียว
จิตห่อเหี่ยว เปลี่ยวซึมเซา
ผู้ใด ไหนรู้ซึ้ง
ชีวิตหนึ่ง ซึ่งอับเฉา
ขาดชู้ คู่แบ่งเบา
สุดหงอยเหงา เศร้าหัวใจ
ระอา หน้าหมองคล้ำ
ขายส้มตำ น้ำแข็งไส
ตระเวน เข็นรถไป
ชุ่มเหงื่อไคล กายโงงเงง
วันนั้น ฉันเมื่อยล้า
เดินชักช้า หน้ารถเก๋ง
เสียงไล่ คล้ายนักเลง
“ไอ้เส็งเคร็ง” จากเก๋งงาม
เศรษฐี มั่งมีเกียรติ
คนจนเฉียด พลันเหยียดหยาม
เอะอะ ก็ประณาม
ชอบหาความ ตามราวี
เหนื่อยอ่อน ค่อนชีวาตม์
ไร้โอกาส ปราดถอยหนี
เจ็บช้ำ ถูกย่ำยี
โดยผู้ดี ที่แสนทราม
สุนทรวิทย์
ไม่มีสิทธิ์ แม้คิดหวัง
หากิน ดิ้นประทัง
สุดกำลัง ยังยากจน
ลำบาก สู้ตรากตรำ
มิก่อกรรม ทำฉ้อฉล
หลายปี ที่อดทน
สาละวน อยู่คนเดียว
คืน,วัน เงียบสันโดษ
เป็นชายโสด ร้างโดดเดี่ยว
หนทาง ช่างลีบเรียว
จิตห่อเหี่ยว เปลี่ยวซึมเซา
ผู้ใด ไหนรู้ซึ้ง
ชีวิตหนึ่ง ซึ่งอับเฉา
ขาดชู้ คู่แบ่งเบา
สุดหงอยเหงา เศร้าหัวใจ
ระอา หน้าหมองคล้ำ
ขายส้มตำ น้ำแข็งไส
ตระเวน เข็นรถไป
ชุ่มเหงื่อไคล กายโงงเงง
วันนั้น ฉันเมื่อยล้า
เดินชักช้า หน้ารถเก๋ง
เสียงไล่ คล้ายนักเลง
“ไอ้เส็งเคร็ง” จากเก๋งงาม
เศรษฐี มั่งมีเกียรติ
คนจนเฉียด พลันเหยียดหยาม
เอะอะ ก็ประณาม
ชอบหาความ ตามราวี
เหนื่อยอ่อน ค่อนชีวาตม์
ไร้โอกาส ปราดถอยหนี
เจ็บช้ำ ถูกย่ำยี
โดยผู้ดี ที่แสนทราม
สุนทรวิทย์