รัตติกาล กาลใดใคร่มืดมิด
อาทิตย์ปิด ปิดแสงแจ้งเสมอ
ดาราพราว พราวแสงแจ้งไม่เบลอ
ครวญพร่ำเพ้อ เพ้อรักหักใจลา
คราเมื่อจันทร์ จันทร์สาดวาดแสงรุ่ง
เหมือนจะปรุง ปรุงแต้มแซมเวหา
นวลแสงเจิด เจิดจันทร์มั่นดารา
กัลยา ยาใจใคร่อับจน
คราแลเห็น เห็นดาวพราวแสงเจิด
จันทร์แพร้วเพริศ เพริศงามท่ามเวหน
เมื่อคราแล แลเห็นเพ็ญทุกข์ทน
เหมือนหมองหม่น หม่นรักให้หักลา
"พิพพ์วาส"
อาทิตย์ปิด ปิดแสงแจ้งเสมอ
ดาราพราว พราวแสงแจ้งไม่เบลอ
ครวญพร่ำเพ้อ เพ้อรักหักใจลา
คราเมื่อจันทร์ จันทร์สาดวาดแสงรุ่ง
เหมือนจะปรุง ปรุงแต้มแซมเวหา
นวลแสงเจิด เจิดจันทร์มั่นดารา
กัลยา ยาใจใคร่อับจน
คราแลเห็น เห็นดาวพราวแสงเจิด
จันทร์แพร้วเพริศ เพริศงามท่ามเวหน
เมื่อคราแล แลเห็นเพ็ญทุกข์ทน
เหมือนหมองหม่น หม่นรักให้หักลา
"พิพพ์วาส"
เป็นน้ำ"ถ้อย ถ้อย"ความ ยามคิดถึง
คือใคร"หนึ่งหนึ่ง"ในใจห่วงหา
คำคม"ฝากฝาก"ไว้ ในสัญญา
วอนบอก"ฟ้าฟ้า"เห็น เป็นพยาน
ด้วยว่า"รักรัก"จริงทุกสิ่งสรรพ
จึงยอม"รับรับ"ด้วย ช่วยขับขาน
พร้อมดู"แลแล"เหลียวทุกเสี้ยวกาล
ตราบเท่า"นานนาน"เนา อยู่เคล้าคลอ
หากแม้"ใครใคร"หมาย ได้เกี่ยวข้อง
ไม่คิด"มองมอง"กลับรับคำขอ
เธอคือ"หนึ่งหนึ่ง"เดียว เกี่ยวใจรอ
ก็เกิน"พอ พอ"แล้ว นะแก้วใจ
ร่วมสร้าง"ฝันฝัน"เคียง เพียงเราสอง
สร้างรัก"ครองครอง"กัน มิหวั่นไหว
อย่าคิด"เปลี่ยนเปลี่ยน"รัก จากกันไกล
ประครอง"ใจใจ"มั่น นิรันดร
“สุนันยา”