กาลามสูตร เป็นพระสูตรที่ยาวกว่านี้ ขอนำกลอนซึ่งเขียนไว้นานแล้วมาลง ซึ่งมีข้อความจนจบพระสูตร โดยพยายามรักษาถ้อยคำให้ใกล้เคียงที่สุด เพื่อมิให้ใจความที่ทรงสั่งสอนผิดเพี้ยนความหมายไป
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "กาลามะ
อย่าเชื่อเพราะ...วาทะที่โจษขาน
อย่าเชื่อเพราะ...คำเก่าเล่ามานาน
อย่าเชื่อเพราะ...ข่าวสารสื่อต่อกัน
อย่าเชื่อเพราะ...ตำราว่าเอาไว้
อย่าเชื่อเพราะ...เดาได้ถูกแม่นมั่น
อย่าเชื่อเพราะ...คาดเห็นเป็นเช่นนั้น
อย่าเชื่อเพราะ...คิดฝันกันเรื่อยไป
อย่าเชื่อเพราะ...เขาบ่งตรงลัทธิ
อย่าเชื่อเพราะ...เขาสิน่าเชื่อได้
อย่าเชื่อเพราะ...คำครูผู้สอนใจ
แต่เมื่อไรรู้ผลด้วยตนแล้ว
ธรรมนี้เป็น"อกุศล"ดลให้โทษ คุณประโยชน์อย่างไรไร้แน่แน่ว
ท่านผู้รู้ตำหนิมิเพริศแพร้ว มีทุกข์ใจไม่แคล้วท่านควรละ
เมื่อไรท่านรู้ผลด้วยตนว่า ธรรมนี้ค่าเป็น"กุศล"ผลกระจะ
ธรรมเหล่านี้ปราศโทษโฉดเลยนะ ย่อมเป็นประโยชน์ถ้าสมาทาน
ธรรมเหล่านี้มีผู้รู้สรรเสริญ เมื่อเจริญหมดทุกข์ทุกสถาน
ควรถึงพร้อมธรรมนั้นนิรันดร์นาน"
อีกประการสอนบรรดากาลามชน
"อริยสาวกไม่พกโลภ มีจิตใจไร้ละโมบมิฉ้อฉล
เว้นการผูกพยาบาทอาฆาตคน ไม่หลงตนมีสติตรองพิจารณ์
รู้ตัวอยู่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาพรหมวิหาร
จิตวิสุทธิ์ประเมินเกินประมาณ เป็นผู้ผ่านอารมณ์เว้นจากเวรภัย
การเบียดเบียนเลิกละทุกประเภท แผ่ความเมตตาทั่วทิศน้อยใหญ่
สรรพสัตว์เริงรื่นชื่นหทัย ย่อมอุ่นใจอย่างดี ๔ ประการ
ถ้าโลกหน้าเป็นสิ่งมีจริงแท้ ผลกรรมนี้มีแน่หลายสถาน
ตายไปย่อมบันเทิงเริงสราญ สู่วิมานสวรรค์อันลำยอง
ถ้าโลกหน้าไม่มี...ชาตินี้จบ ดีชั่วลบไปหมดงดสนอง
ย่อมเป็นสุขปัจจุบันตามมั่นปอง ไร้ทุกข์ผองไม่เบียดเบียนบีฑา
ถ้าการทำบาปกรรมทำแล้วบาป ความชั่วหยาบย่อมหยุดพิสุทธิ์ค่า
ไฉนทุกข์จักต้องพ้องพานมา เหตุเพราะว่าบาปใดได้ละวาง
ถ้าทำบาปเท่าไรไม่เป็นบาป ย่อมเอิบอาบจิตใจไม่มีหมาง
บริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งสองทาง"
ทรงสอนอย่างนี้ไว้ให้ประพฤติ.
ดาว อาชาไนย
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "กาลามะ
อย่าเชื่อเพราะ...วาทะที่โจษขาน
อย่าเชื่อเพราะ...คำเก่าเล่ามานาน
อย่าเชื่อเพราะ...ข่าวสารสื่อต่อกัน
อย่าเชื่อเพราะ...ตำราว่าเอาไว้
อย่าเชื่อเพราะ...เดาได้ถูกแม่นมั่น
อย่าเชื่อเพราะ...คาดเห็นเป็นเช่นนั้น
อย่าเชื่อเพราะ...คิดฝันกันเรื่อยไป
อย่าเชื่อเพราะ...เขาบ่งตรงลัทธิ
อย่าเชื่อเพราะ...เขาสิน่าเชื่อได้
อย่าเชื่อเพราะ...คำครูผู้สอนใจ
แต่เมื่อไรรู้ผลด้วยตนแล้ว
ธรรมนี้เป็น"อกุศล"ดลให้โทษ คุณประโยชน์อย่างไรไร้แน่แน่ว
ท่านผู้รู้ตำหนิมิเพริศแพร้ว มีทุกข์ใจไม่แคล้วท่านควรละ
เมื่อไรท่านรู้ผลด้วยตนว่า ธรรมนี้ค่าเป็น"กุศล"ผลกระจะ
ธรรมเหล่านี้ปราศโทษโฉดเลยนะ ย่อมเป็นประโยชน์ถ้าสมาทาน
ธรรมเหล่านี้มีผู้รู้สรรเสริญ เมื่อเจริญหมดทุกข์ทุกสถาน
ควรถึงพร้อมธรรมนั้นนิรันดร์นาน"
อีกประการสอนบรรดากาลามชน
"อริยสาวกไม่พกโลภ มีจิตใจไร้ละโมบมิฉ้อฉล
เว้นการผูกพยาบาทอาฆาตคน ไม่หลงตนมีสติตรองพิจารณ์
รู้ตัวอยู่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาพรหมวิหาร
จิตวิสุทธิ์ประเมินเกินประมาณ เป็นผู้ผ่านอารมณ์เว้นจากเวรภัย
การเบียดเบียนเลิกละทุกประเภท แผ่ความเมตตาทั่วทิศน้อยใหญ่
สรรพสัตว์เริงรื่นชื่นหทัย ย่อมอุ่นใจอย่างดี ๔ ประการ
ถ้าโลกหน้าเป็นสิ่งมีจริงแท้ ผลกรรมนี้มีแน่หลายสถาน
ตายไปย่อมบันเทิงเริงสราญ สู่วิมานสวรรค์อันลำยอง
ถ้าโลกหน้าไม่มี...ชาตินี้จบ ดีชั่วลบไปหมดงดสนอง
ย่อมเป็นสุขปัจจุบันตามมั่นปอง ไร้ทุกข์ผองไม่เบียดเบียนบีฑา
ถ้าการทำบาปกรรมทำแล้วบาป ความชั่วหยาบย่อมหยุดพิสุทธิ์ค่า
ไฉนทุกข์จักต้องพ้องพานมา เหตุเพราะว่าบาปใดได้ละวาง
ถ้าทำบาปเท่าไรไม่เป็นบาป ย่อมเอิบอาบจิตใจไม่มีหมาง
บริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งสองทาง"
ทรงสอนอย่างนี้ไว้ให้ประพฤติ.
ดาว อาชาไนย
กาลามสูตร เป็นพระสูตรที่มีข้อความยาวกว่านี้ ขอนำบทกลอนที่เขียนจนจบพระสูตรซึ่งเขียนไว้นานแล้วมาลง
โดยพยายามใช้ถ้อยคำให้ใกล้เคียงพระสูตรมากที่สุด เพื่อมิให้ผิดใจความของพระสูตร ต่อไปนี้เป็นข้อความจนจบพระสูตร
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "กาลามะ
อย่าเชื่อเพราะ...วาทะที่โจษขาน
อย่าเชื่อเพราะ...คำเก่าเล่ามานาน
อย่าเชื่อเพราะ...ข่าวสารสื่อต่อกัน
อย่าเชื่อเพราะ...ตำราว่าเอาไว้
อย่าเชื่อเพราะ...เดาได้ถูกแม่นมั่น
อย่าเชื่อเพราะ...คาดเห็นเป็นเช่นนั้น
อย่าเชื่อเพราะ...คิดฝันกันเรื่อยไป
อย่าเชื่อเพราะ...เขาบ่งตรงลัทธิ
อย่าเชื่อเพราะ...เขาสิน่าเชื่อได้
อย่าเชื่อเพราะ...คำครูผู้สอนใจ
ต่อเมื่อไรรู้ผลด้วยตนแล้ว
ธรรมนี้เป็น"อกุศล"ดลให้โทษ คุณประโยชน์อย่างไรไร้แน่แน่ว
ท่านผู้รู้ตำหนิมิเพริศแพร้ว มีทุกข์ใจไม่แคล้วท่านควรละ
เมื่อไรท่านรู้ผลด้วยตนว่า ธรรมนี้ค่าเป็นกุศลผลกระจะ
ธรรมเหล่านี้ปราศโทษโฉดเลยนะ ย่อมเป็นประโยชน์ถ้าสมาทาน
ธรรมเหล่านี้มีผู้รู้สรรเสริญ เมื่อเจริญหมดทุกข์ทุกสถาน
ควรถึงพร้อมธรรมนั้นนิรันดร์นาน"
อีกประการสอนบรรดากาลามชน
"อริยสาวกไม่พกโลภ ทำจิตใจไร้ละโมบมิฉ้อฉล
เว้นการผูกพยาบาทอาฆาตคน ไม่หลงตนมีสติตรองพิจารณ์
รู้ตัวอยู่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาพรหมวิหาร
จิตวิสุทธิ์ประเมินเกินประมาณ เป็นผู้ผ่านอารมณ์เว้นจากเวรภัย
การเบียดเบียนเลิกละทุกประเภท แผ่ความเมตตาทั่วทิศน้อยใหญ่
สรรพสัตว์เริงรื่นชื่นทั่วไป ย่อมอุ่นใจอย่างดี ๔ ประการ
ถ้าโลกหน้าเป็นสิ่งมีจริงแท้ ผลกรรมนี้มีแน่หลายสถาน
ตายไปย่อมบันเทิงเริงสราญ สู่วิมานสวรรค์อันลำยอง
ถ้าโลกหน้าไม่มี...ชาตินี้จบ ดีชั่วลบไปหมดงดสนอง
ย่อมเป็นสุขปัจจุบันตามมั่นปอง ภัยทุกข์ผองไม่เบียดเบียนบีฑา
ถ้าการทำบาปกรรมทำแล้วบาป ความชั่วหยายบ่อมหยุดพิสุทธิ์ค่า
ไฉนทุกข์จักต้องพ้องพานมา เหตุเพราะว่าบาปใดได้ละวาง
ถ้าทำบาปเท่าไรไม่เป็นบาป ย่อมเอิบอาบจิตใจไม่มีหมาง
บริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งสองทาง"
ทรงสอนอย่างนี้ไว้ให้ประพฤติ.
ดาว อาชาไนย