เพรงกาลเอื้อนเลือนลาจวบฟ้าสาง
เมฆหมอกบางกางกั้นปิดคั่นสรวง
เฝ้าแลมองจ้องดาวให้หนาวทรวง
ถ้อยคำห่วงดวงขวัญแสนหวั่นใจ
ว่าระหว่างทางดาวเคยวาววับ
ประกายจับกลับเลือนมิเคลื่อนไหว
ฤาสังหรณ์ก่อนจากจำพรากไกล
สลายไปไม่หวนดั่งครวญมา
เคยอวลกลิ่นรินรักเป็นสักขี
ถ้อยวจีที่วาดปรารถนา
ประทับจูบรูปโลมโฉมสุดา
มินำพาตราสิทธ์ที่ปิดบัง
เพียงขอแค่แลตาสักคราหน
ปลุกปลอบมนคนเหงาที่เฝ้าหวัง
ร่วมบรรเลงเพลงฝากจากภวังค์
ลืมความหลังครั้งโศกทิ้งโลกย์ลวง
เมฆหมอกบางกางกั้นปิดคั่นสรวง
เฝ้าแลมองจ้องดาวให้หนาวทรวง
ถ้อยคำห่วงดวงขวัญแสนหวั่นใจ
ว่าระหว่างทางดาวเคยวาววับ
ประกายจับกลับเลือนมิเคลื่อนไหว
ฤาสังหรณ์ก่อนจากจำพรากไกล
สลายไปไม่หวนดั่งครวญมา
เคยอวลกลิ่นรินรักเป็นสักขี
ถ้อยวจีที่วาดปรารถนา
ประทับจูบรูปโลมโฉมสุดา
มินำพาตราสิทธ์ที่ปิดบัง
เพียงขอแค่แลตาสักคราหน
ปลุกปลอบมนคนเหงาที่เฝ้าหวัง
ร่วมบรรเลงเพลงฝากจากภวังค์
ลืมความหลังครั้งโศกทิ้งโลกย์ลวง
อาบสายลมห่มหนาว ณ ราวป่า
ในอ้อมฟ้าพร่าพรายผกายสรวง
ปุยฝันปลิวพลิ้วแลจ่อมแดดวง
เบิ่งทีท่วงทำนองละอองเพรง
ยะเยียบจินต์ถวิลวานสะท้านอก
ดั่งแก้พกฟกตรมก็ข่มเหง
หนึ่งรอยเกี่ยวเรียวก้อยร้อยเลบง
บัดนี้เคว้งเชลงพจน์ล้วนบทครวญ
พิร่ำสรรปั้นสุขหมายปลุกปลอบ
ชำเลืองลอบกอบหวานในกาลหวน
มาโจมทรวงห้วงรักติดปลักตรวน
สู่โอบอวลไออุ่นละมุนเจือ
เถิดดื่มด่ำเพรงกาลกู่ขานขับ
ที่เพรียกรับขวัญเจ้าจากเงาเฝือ
เคยตรอมตรมขมขื่นสะอื้นเครือ
จงถากเถือทิ้งขว้างห่างกมล
อย่าจ่อมจมถมทรวงในห้วงโศก
เพียงเพราะโลกย์โกรกช้ำระกำผล
ปลุกหทัยไล่รุกท้อทุกข์ทน
ฝ่าวังวนกลพ่ายมิหน่ายนาน
อาบสายลมห่มหนาวมองดาวดาษ
ประจงวาดแวววามท่ามสถาน
กำซาบซับจับร้อยเป็นถ้อยกานท์
เยาวมาล์จารนี้พลีอนงค์
ปภัสร์
๘ ธันวาคม ๒๕๕๔