ละอองไอ ม่านหมอก ดุจหยอกเย้า
สายลมเบา พัดผ่าน ม่านเวหน
บนเส้นทาง ดังเปล่าให้เราทน
ช้ำกมล เมื่อไร้ ใครเหลียวมอง
เพียงเดียวดาย ความหมาย ในรู้สึก
ที่ส่วนลึก สุดเหงา เฝ้าแต่หมอง
ด้วยห่างร้าง อยู่เดียว เปลี่ยวคู่ครอง
อยู่เมืองทอง แสงสี ศิวิไล
แต่เหมือนเดิน บนทาง ที่ร้างเปลี่ยว
อีกยังเคี้ยว-คดขวาง สร้างหวั่นไหว
หลากฝูงชน คนเมือง เรืองแสงไฟ
ระคนไป ร้ายดี มิรู้เลย
เหงาสุดเหงา เฝ้ามอง แต่ท้องฟ้า
ไยเทวา เบื้องบน ทนเมินเฉย
แสนเดียวดาย เพ้อพก โอ้อกเอย
ยากจะเผย ร้ายดี ที่ปลายทาง
ละอองไอ ม่านหมอก ออกสีหม่น
คราวที่ฝน โปรยมา ครารุ่งสาง
ความเหว่ว้า เกาะกิน ไม่สิ้นวาง
แม้ฝนจาง...ยังอดสู...เมื่ออยู่เดียว....
"สุนันยา"
เกิดเพียงหนึ่งพึงรับกับชีวิต
ฟ้าลิขิตหนึ่งใครไหนแลเหลียว
ยามเติบใหญ่ใฝ่ฝันสัมพันธ์เกลียว
ยากจริงเจียวเหนี่ยวหนึ่งมาพึงชม
ต้องแรมทางห่างจิตชีวิตคู่
หามวลหมู่ซึ้งซับกับสุขสม
ในทางเลือกเปลือกสวยอวยอารมณ์
ข้างในตรมขมขื่นสะอื้นทรวง
ใบหน้ายิ้มพริ้มผ่องละอองอุ่น
แต่จิตขุ่นฝุ่นฟุ้งพุ่งสู่สรวง
ไม่หวังเกินหวังสูงดุจยูงยวง
แต่ยังร่วงทุกครายามคว้ามือ
ชะแง้หาตามองป้องตาฝัน
ปากรำพันพลันรำร่ายหมายเอื้อมถือ
เสนอสนองปองไว้ใดร่ำลือ
คำตอบคือโดดเดี่ยว..แสนเดียวดาย
ฟ้าลิขิตหนึ่งใครไหนแลเหลียว
ยามเติบใหญ่ใฝ่ฝันสัมพันธ์เกลียว
ยากจริงเจียวเหนี่ยวหนึ่งมาพึงชม
ต้องแรมทางห่างจิตชีวิตคู่
หามวลหมู่ซึ้งซับกับสุขสม
ในทางเลือกเปลือกสวยอวยอารมณ์
ข้างในตรมขมขื่นสะอื้นทรวง
ใบหน้ายิ้มพริ้มผ่องละอองอุ่น
แต่จิตขุ่นฝุ่นฟุ้งพุ่งสู่สรวง
ไม่หวังเกินหวังสูงดุจยูงยวง
แต่ยังร่วงทุกครายามคว้ามือ
ชะแง้หาตามองป้องตาฝัน
ปากรำพันพลันรำร่ายหมายเอื้อมถือ
เสนอสนองปองไว้ใดร่ำลือ
คำตอบคือโดดเดี่ยว..แสนเดียวดาย
"บ้านริมโขง"