จำต้องร้าง ห่างเจ้า จึงเหงาหงอย
ไร้ผู้คอย เคียงข้าง เส้นทางฝัน
หวนคำนึง ถึงกาล ที่ผ่านวัน
แต่ก่อนนั้น บ่งชี้ ว่ามีใจ
มโนหวน ครวญหา ทุกคราค่ำ
ฤดีย้ำ ยามตื่น สะอื้นไหว
โลกหมองหม่น ป่นหล้า นภาลัย
มิเรืองใส สดหวาน ดั่งวารเคย
มันระทม ขมขื่น มิชื่นจิต
จนชีวิต ช้ำฟก โอ้...อกเอ๋ย
ความสุขสันต์ อันซ่าน ได้ผ่านเลย
ฤ สรวงเย้ย หยันข้า ให้อาวรณ์
แม้นชีวิน สิ้นจบ ในภพนี้
แต่ฤดี มั่นรัก มิจักถอน
จะข่มทรวง ล่วงก้าว ผ่านร้าวรอน
คว้ารักก่อน เคยชื่น กลับคืนมา
เจ้ารู้ไหม ใครเล่า ที่เฝ้าหวง
สี่ห้องทรวง รอคอย ละห้อยหา
หยดน้ำใส ไหลนอง คลั่งสองตา
หวังเพียงว่า ความสรวล จะหวนคืน
เหมือนสวรรค์ กลั่นสาป มาอาบเศร้า
โลมสีเทา ทาบรัก ยากหักฝืน
ขอทนเก็บ เหน็บช้ำ ด้วยกล้ำกลืน
แล้วหยัดยืน ย่ำถิ่น ถวิลรอ
เพลากาล ผ่านเลย มิเคยเห็น
เช้าจรดเย็น ร่ำไร โอ้...ใจหนอ
เสียงบรรเลง เพลงเศร้า มาเคล้าคลอ
กมลท้อ ทุกข์ล้น ท่วมท้นทรวง
แม้นชาติหน้า ข้าขอ ทนรอเจ้า
จักคอยเฝ้า สุดสาย ที่ปลายสรวง
หมายสลัก รักฝัน บนจันทร์ดวง
ประทับห้วง หนเกลื่อน กลาดเดือนดาว
หลายปีกาล ผ่านไป ยังไม่กลับ
กระส่ายสับ ทุกค่ำ ระส่ำหนาว
หนทางบอด มอดแล้ว ฝันแพรวพราว
ก็ถึงคราว สิ้นแกร่ง หมดแรงเพียร
จึงผูกเชือก เลือกสาน กับคานเสา
แล้วขึงเคล้า คล้องคอ รอยต่อเศียร
จบชีวิน สิ้นภักดิ์ ความรักเอียน
พร้อมเปลวเทียน ที่ลับ เลือนดับลง...
โดย
วจีอัปสร
(ปล.งานเก่าเก็บครับ)